ข่าวนี้จะใกล้เคียงกับ Disney กำลังพัฒนาเทคโนโลยีการเป็นเจ้าของหนังแบบใหม่ ซึ่งมันเป็นสัญญาณชี้ไปในทางเดียวกันว่า บริการขายหนังออนไลน์เริ่มจะมาแล้วในสหรัฐ

Best Buy เครือร้านขายอุุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งขายดีวีดีภาพยนตร์ให้กับอเมริกันชนเป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละปี ได้ประกาศความร่วมมือกับบริการ Roxio CinemaNow ของบริษัท Sonic Solutions (เจ้าของเดียวกับโปรแกรม Roxio) เพื่อเปิดบริการวิดีโอสตรีมมิ่งในเร็วๆ นี้

Disney ใกล้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่มีรหัสเรียกว่า Keychest ซึ่งมันจะช่วยจัดการ "ความเป็นเจ้าของ" ของภาพยนตร์ที่ลูกค้าซื้อ

เทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบรับวิธีการดูหนังที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่ซื้อแผ่นดีวีดีมาดูกับทีวีที่บ้านเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันผู้ชมดูหนังผ่านอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ หรือเครื่องเล่นเกม มากขึ้น เทคโนโลยี Keychest ใช้แนวคิดว่าเมื่อเราจ่ายเงินซื้อหนัง เราย่อมเป็นเจ้าของ "สิทธิ์ในการดูหนัง" เรื่องนั้นๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของแผ่นดิสก์หรือสื่อทางกายภาพอีกต่อไป

ดิสนีย์สาขาญี่ปุ่นเตรียมขายภาพยนตร์ที่บรรจุใน microSD เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะขายรวมเป็นแพ็กเกจเดียวกับดีวีดี (ซื้อหนึ่งกล่องได้สองอย่าง) ราคาทั้งชุดอยู่ที่ 4,935 เยน (1,800 บาท) ซึ่งแพงกว่าแบบดีวีดีอย่างเดียว 1,000 เยน

กลุ่มเป้าหมายของตลาดภาพยนตร์ microSD คือผู้ใช้มือถือ, เครื่องเล่นมัลติมีเดียพกพา และกลุ่มดูหนังในรถ หนังสองเรื่องแรกที่จะลง microSD คือชุด Pirates of the Caribbean และ National Treasure ส่วน microSD ใช้ของ Panasonic ยังไม่มีแผนการใดๆ สำหรับประเทศอื่นนอกจากญี่ปุ่น

ที่มา - Yahoo! News, Hot Hardware

ทีมงาน YouTube ออกมาเขียนบล็อกสยบข่าวลือและความเข้าใจผิดต่างๆ ของ YouTube โดยเฉพาะเรื่องรายได้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าไม่คุ้มค่าใช้จ่ายเสียเลย

ประเด็นที่ YouTube ออกมาพูดถึงมี 5 ข้อดังนี้

Telegraph ได้รายงานว่าไมโครซอฟท์เตรียมที่จะเปิดบริการสตรีมมิ่งเพลง (music streaming service) ภายในสิ้นเดือนนี้ (กรกฎาคม) โดยผู้ใช้สามารถสตรีมมิ่งเพลงได้ฟรีหรือดาวน์โหลดมาเก็บไว้เองก็ได้ (ลักษณะคล้ายกับ Spotify โดยบริการสตรีมมิ่งเพลงฟรีของ Spotify จะมีโฆษณาทุกครึ่งชม. แต่หากสมัครสมาชิกจะไม่มีโฆษณามารบกวน)

สำนักพิมพ์ Ziff Davis กำลังมีปัญหาทางการเงินมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเปลี่ยนนโยบายให้ นิตยสาร PC Magazine จะไม่มีแบบกระดาษอีกแล้ว รายต่อไปที่จะโดนคือเว็บไซต์ข่าวและรีวิว ExtremeTech

ExtremeTech จะหยุดอัพเดตเนื้อหาภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ตัวเว็บไซต์จะยังคงอยู่ในฐานะ archive แต่พนักงานทั้งหมดจะถูกปลด และ Ziff Davis จะหันไปมุ่งเน้นเว็บไซต์ PC Magazine เพียงเว็บเดียว

ที่มา - DigitalBeat

เรารู้กันดีว่าค่ายเพลงขนาดใหญ่นั้นให้การสนับสนุน RIAA เพื่อเป็นตัวแทนของตัวเอง ในการต่อต้านเพลงละเมิดลิขสิทธิ์ ที่ผ่านมามาตรการของ RIAA ก็คือไล่จับ ไล่ฟ้อง นักเรียนนักศึกษาที่แชร์เพลงผ่านเครือข่าย P2P

กลุ่มนักดนตรีจำนวนหนึ่งนั้นไม่พอใจแนวทางของ RIAA โดยพวกเขามองว่าค่ายเพลงและ RIAA ชูประเด็นเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของค่ายเพลงแต่อย่างเดียว ศิลปินกลุ่มนี้กำลังตั้งกลุ่ม Featured Artists Coalition ขึ้นมาหยุดพฤติกรรมของ RIAA และหาวิธีจัดสรรลิขสิทธิ์ใหม่ให้ศิลปินมีเอี่ยวในผลงานของตัวเองมากกว่าเดิม

ตัวเลขจาก Newspaper Association of America เปิดเผยว่าธุรกิจสิ่งพิมพ์แบบกระดาษในสหรัฐกำลังย่ำแย่ เพราะว่าโฆษณาซึ่งเป็นรายได้หลักนั้นหายไป 16.6% ภายในปีเดียว

รายรับจากค่าโฆษณาโดยรวมลดลงเหลือ 37.85 พันล้านดอลลาร์ (16.6% จากปีก่อน) ถ้าคิดแยกประเภท โฆษณาแบบซื้อพื้นที่หดตัว 17.7% โฆษณาแบบประกาศขายของ (classified) ลดลง 29.7% ส่วนโฆษณาออนไลน์ก็ใช่ว่าจะดี หดตัวเล็กน้อย 1.8%

ถ้าคิดแยกรายไตรมาส ธุรกิจโฆษณารวมติดลบด้วยอัตรามากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2007 หดตัว -7.4% จนมาถึงไตรมาสที่ 4 ของปี 2008 ตัวเลขกลายเป็น -19.74% ส่วนโฆษณาเฉพาะออนไลน์ก็เริ่มจาก +7.20% ลงมาอยู่ที่ -8.10% ในช่วงเวลาเดียวกัน

หลังจากมีข่าวมานานว่าโดนค่ายเพลงกดดันให้ปรับโครงสร้างราคาจากแบบเดิม 99 เซ็นต์ทุกเพลงไม่แบ่งแยก แอปเปิลกำลังจะต้องปรับราคาเพลงใหม่ในวันที่ 7 เมษายนนี้

เพลงฮิตและเพลงคลาสสิคชื่อดังจำนวนหนึ่งจะปรับราคาขึ้นเป็น 1.29 ดอลลาร์ต่อเพลง ในขณะที่เพลงไม่ค่อยดังบางเพลงก็จะลดเหลือ 69 เซ็นต์ ส่วนเพลงที่ราคา 99 เซ็นต์ก็จะยังมีอยู่เช่นเดิม แอปเปิลคงราคาเพลงที่ 99 เซ็นต์มาตั้งแต่ปี 2003 และโดนกดดันจากค่ายเพลงมานาน

Vuze โปรแกรมร่างใหม่ของ Azureus (เราเคยมีรีวิวเมื่อนานมาแล้ว รีวิว Vuze Beta) ได้เริ่มรุกคืบสู่ตลาดความบันเทิงภายในบ้านแล้ว

สิ่งที่ Vuze เพิ่มมาจาก Azureus ที่เป็นแค่ BitTorrent client เพียงอย่างเดียว คือความสามารถในการค้นหาไฟล์จากเครือข่ายของ Vuze รวมถึงสามารถซื้อหนัง-เพลง แล้วดาวน์โหลดมายังเครื่องของเราด้วย BitTorrent (ด้วยเอนจินของ Azureus ได้) คราวนี้ Vuze ต่อยอดจากความสามารถเดิมของตัวเอง โดยเพิ่มฟีเจอร์ในการแปลงไฟล์และส่งต่อวิดีโอไปยังอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงอื่นๆ ได้

Blank เป็นหนังสยองขวัญที่ตัวเอกคือ จอห์นนี่ซึ่งเห็นการฆาตกรรมยกครัวของเขาเองเมื่อหลายปีก่อน และค้นพบว่าใครเป็นผู้ร้ายเมื่อโตขึ้น จึงวางแผนจะแก้แค้นคนร้ายเหล่านั้นกลับ กำกับโดย Rick L. Winters และสตูดิโออิสระ Annodam Productions

เนื้อเรื่องก็เข้าหมวดหนังสยองขวัญทั่วไป แต่ว่าความต่างมีอยู่ 2 ประการ อย่างแรกคือส่วนแบ่งรายได้ของหนัง และอย่างที่สองคือวิธีการฉายหนัง

หลังจากที่สื่อบันทึกข้อมูลแบบ SD ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนปัจจุบันเครื่องใช้ต่างๆ ตั้งแต่โทรศัพท์, กล้องถ่ายรูป, คอมพิวเตอร์ และแม้กระทั่งโทรทัศน์บางรุ่นก็สนับสนุนสื่อบันทึกชนิดนี้ วันนี้ที่งาน Consumer Electronics Show สมาคม SD (SD Association) ได้เตรียมเปิดเผยมาตรฐานใหม่ของสื่อบรรจุ SD ตัวใหม่ที่ให้ชื่อว่า SDXC (SD eXtended Capacity) โดยมีความสามารถคร่าวๆ คือ

• ความจุมากที่สุด 2TB
• ความเร็วการอ่านและเขียนอยู่ที่ 104MB/s ในปีนี้และอาจถึง 300MB/s ในอนาคต
• ใช้ระบบไฟล์ exFAT ของไมโครซอฟท์

อย่างไรก็ตามสำหรับมาตรฐานตัวจริงจะถูกประกาศในช่วงไตรมาสแรกนี้

Amazon MP3 Store ร้านขายเพลงออนไลน์ของ Amazon ซึ่งขายเพลงแบบไร้ DRM ได้เปิดเผยอันดับยอดขายประจำปี 2008 ปรากฎว่าอัลบั้มที่เป็นแชมป์คือ Ghosts I-IV ของวง Nine Inch Nails ครับ

บริษัทวิจัยตลาด Nielsen Online เปิดเผยข้อมูลการสำรวจพบว่าเวลาที่คนนิยมดูวิดีโอบนอินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ 9.00-17.00 ของวันทำงาน (จ-ศ)

65% ของกลุ่มตัวอย่างในสหรัฐดูวิดีโอในเวลานี้ (แปลว่าดูในเวลางานนั่นเอง) ส่วนอันดับสองคือวันเสาร์-อาทิตย์​ ระหว่างเวลา 6.00-20.00 คิดเป็น 51% ทาง Nielsen ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะที่ทำงาน 96% มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึง

ส่วนเว็บไซต์วิดีโอออนไลน์ยอดนิยมก็เดาไม่ยาก YouTube นำขาดด้วยจำนวนการดูวิดีโอ 5 พันล้านครั้งในเดือนตุลาคม 2008 อันดับสองตามมาแบบไกลๆ คือ MySpace ที่ 244 ล้านครั้ง อันดับสามคือ Hulu 206 ล้านครั้ง ยอดรวมของเดือนตุลาคม คนอเมริกันดูวิดีโอออนไลน์รวมกันทั้งสิ้นเกือบ 9 พันล้านครั้ง

รางวัลพูลิตเซอร์ เป็นรางวัลที่มอบให้กับสื่อสัญชาติอเมริกันในสาขาต่างๆ ทั้งงานเขียนและภาพถ่าย และเนื่องด้วย เดิมทีนั้นรางวัลพูลิตเซอร์จำกัดอยู่แค่สื่อสิ่งพิมพ์ (printed media) เท่านั้น

หลังจากปล่อยเวอร์ชัน 0.1 มาตั้งแต่ต้นปี 2006 (ข่าวเก่า) และก็ยังคงออกมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้ Songbird ได้ออกเวอร์ชัน 1.0 ออกมาให้ใช้กันแล้ว โดยมีคุณสมบัติใหม่ๆ ดังนี้

หากกล่าวถึง PC Magazine ทุกคนคงจะรู้จักดี เนื่องจากนิตยสารดังกล่าวเป็นหนึ่งในสื่อแรกๆ (ตั้งแต่ปีค.ศ. 1982) เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง และมีการขายลิขสิทธิ์ออกไปยังหลายประเทศ (รวมถึงประเทศไทยด้วย) แต่วันนี้บริษัท Ziff Davis เจ้าของ PC Magazine ได้ออกมาประกาศว่าจะไม่ผลิตนิตยสาร PC Magazine แบบกระดาษอีกต่อไปแล้ว และจะหันมาเอาดีทางด้านออนไลน์แทน

เมื่ออดีตอันไม่ไกลนัก Dell เคยขายเครื่องเล่นเพลงพกพาใต้แบรนด์ Digital Jukebox (หรือ DJ) ก่อนจะเลิกผลิตไปในปี 2006 แต่พอมาถึงปี 2007 Dell กลับเข้าซื้อกิจการบริษัท Zing ซึ่งทำเกี่ยวกับซอฟต์แวร์การขายเพลงออนไลน์ ทำให้ข่าวลือว่า Dell จะกลับสู่ยุทธจักรด้วยเครื่องเล่นเพลงตัวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีของ Zing กระหึ่มอยู่พักหนึ่ง

มีรายงานจากห้อง mbk ของเว็บ Pantip.com ว่าบริการ Happy Vampire ที่ให้ผู้สมัครดาวน์โหลดเพลง MP3 ได้ไม่จำกัดและไม่มี DRM นั้น ได้เพิ่มคุณภาพเพลงจากเดิม 32kbps เป็น 128kbp ซึ่งใกล้เคียงกับซีดีแล้ว

ไฟล์เพลงที่ให้มาพร้อมกับภาพหน้าปก สำหรับการดาวน์โหลดนั้นใช้เวลาประมาณ 4 นาทีต่อเพลงเมื่อเชื่อมต่อแบบ EDGE และยังมีเฉพาะเพลงใหม่บางส่วนเท่านั้นที่มีไฟล์คุณภาพสูงเช่นนี้

ที่มา - Pantip.com

โรงละคร Metropolitan Opera ของนิวยอร์ก เตรียมฉายโอเปร่าความละเอียด HD ผ่านอินเทอร์เน็ตในสิ้นเดือนนี้ ในเดือนแรกจะมีโอเปร่าให้เลือกดู 50 เรื่อง และเฉพาะเสียงอีก 120 รายการ โดยจะเป็นเทปบันทึกการแสดงในอดีตของ Metropolitan Opera เอง อันเก่าที่สุดย้อนหลังไปถึงปี 1937

ผู้สนใจสามารถเลือกได้ทั้งสมัครสมาชิกรายเดือน 14.99 ดอลลาร์ หรือรายปี 149.99 ดอลลาร์​ ถ้าอยากดูเป็นเรื่องๆ ไปคิดราคา 3.99-4.99 ดอลลาร์ต่อเรื่อง วิธีส่งข้อมูลเป็น Flash ภายในเว็บเบราว์เซอร์ อาจต้องติดตั้งโปรแกรมเสริมเพิ่มเติมสักเล็กน้อย

Wal-Mart หันมาร่วมวงขายเพลงออนไลน์เมื่อเดือนสิงหาคม 2007 โดยช่วงแรกเป็นเพลงแบบติด DRM ก่อนจะฝืนกระแสต้าน DRM ไม่ไหว หันมาขายเพลง MP3 แบบไร้ DRM แทน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008 เช่นเดียวกับร้านขายเพลงออนไลน์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น iTunes หรือ Amazon (อ่าน ลาก่อน DRM ... MP3 รีเทิร์น!)

ถึงแม้จะฟาดฟันเอาชนะ HD DVD มาได้ แต่อนาคตของ Blu-ray กลับไม่สดใสนัก

ตัวเลขยอดขายภาพยนตร์จาก Nielsen VideoScan พบว่าในสัปดาห์เมื่อกลางเดือนกันยายน ส่วนแบ่งตลาดของ Blu-ray (เฉพาะของสัปดาห์นั้น) ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 13.35% (ลงมาเหลือ 8% ของยอดขายรวม) และส่วนแบ่งตลาดของดีวีดีกลับเพิ่มขึ้น 0.15% แทน

ซีอีโอของ Netflix ธุรกิจให้เช่าแผ่นหนังรายใหญ่ของสหรัฐอธิบายว่า นอกจากปัจจัยเรื่องภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐแล้ว ปัจจัยเรื่องราคาของ Blu-ray (เครื่องเล่น+จอ+แผ่น) ก็ยังมีผลสูง เขาให้ข้อมูลว่าลูกค้าของ Netflix มีเพียงนิดเดียวเท่านั้นที่เช่า Blu-ray ส่วนกลุ่มลูกค้าที่มี HDTV อยู่แล้ว Blu-ray ก็เจอคู่แข่งคือการเช่าหรือขายหนังออนไลน์ ที่ถูกกว่าหรือบางครั้งฟรีเพราะมีโฆษณาสนับสนุน

SanDisk จับมือพาร์ทเนอร์ซึ่งเป็นเครือร้านค้าปลีกอย่าง Best Buy และ Wal-Mart กับค่ายเพลงได้แก่บิ๊กโฟร์ทั้งสี่ Sony BMG, EMI, Warner และ Universal ขายเพลงเป็นอัลบั้มที่อยู่ใน SD card โดยใช้ชื่อว่า slotMusic

เปรียบเทียบง่ายๆ slotMusic คือซีดีเพลงที่แปลงร่างมาเป็น SD card ขนาด 1GB ภายในจะมีเพลงในอัลบั้มที่เป็นไฟล์ MP3 แบบไร้ DRM บีบอัดที่ 320 kbps โดยแพกเกจที่ขายจะให้หัวเสียบ USB มาด้วย เผื่อในกรณีที่เครื่องไม่มีตัวอ่าน SD แต่น่าจะพอนึกภาพออกว่ากลุ่มเป้าหมายหลักคือโทรศัพท์มือถือที่มีตัวอ่าน SD ในตัว ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา

สำนักข่าวหลายแห่งมีความเห็นตรงกันโดยไม่นัดหมายว่า ไม่น่ารอด

Best Buy ห้างค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของสหรัฐ​ เข้าซื้อกิจการ Napster ตำนานอันหนึ่งของวงการเพลงออนไลน์ ด้วยมูลค่า 121 ล้านดอลลาร์

การซื้อกิจการรอบนี้บ่งชี้ว่า บรรดายักษ์ค้าปลีกในสหรัฐกำลังปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจเพลงออนไลน์แทนการขายซีดีเพลงแบบเดิม นอกจาก Best Buy แล้วยังมี Walmart ที่เปิดบริการ Walmart Music Download ส่วนร้านออนไลน์อย่าง Amazon เองก็เพิ่มการขายเพลง MP3 เข้ามานอกเหนือจากการขายซีดี

ที่มา - GigaOm

เทคโนโลยี DRM เตรียมกลับมาอีกครั้ง คราวนี้บรรดาค่ายหนังค่ายเพลง รวมถึงผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผนีกกำลังมาอย่างหนาแน่น โดยชื่อของมันคือ Digital Entertainment Content Ecosystem (DECE)

เป้าหมายหลักของ DECE คือหลุดพ้นจากพันธนาการของแอปเปิลและดิสนีย์ ซึ่ง (ค่อนข้าง) ผูกขาดการขายเพลงและหนังออนไลน์ผ่าน iTunes Store ด้วย FairPlay DRM ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านี้มีอำนาจต่อรองกับแอปเปิลน้อยมาก ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามหลายครั้งที่จะสร้างระบบ DRM ขึ้นมาแข่งกับ FairPlay แต่ก็ไม่สำเร็จด้วยเหตุผลด้านขนาดของตลาด (เทียบกับ iTunes Store แล้วเล็กกว่ากันมาก)​ และบรรดา DRM คู่แข่ง ต่างมีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างกันออกไป ทำให้ลูกค้าสับสนว่าเพลงจากร้านนี้เล่นได้กี่เครื่องกันแน่ ก็อปปี้ได้หรือเปล่า