ช่วงนี้เราเห็นไมโครซอฟท์ปล่อยหมัดออกมาชุดใหญ่ ทั้ง แท็บเล็ต Surface, Windows Phone 8 รวมไปถึงข่าวหลุดของ Xbox 720 อีกด้วย
ถ้าเรามองย้อนกลับไปตอนนี้ เราจะเห็น "จิ๊กซอ" ของไมโครซอฟท์ที่กำลังเริ่มก่อตัวอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และน่ากลัวมากทีเดียว
ความเดิมตอนที่แล้ว รู้จักกับ HTML5 - ภาคหนึ่ง HTML5 คืออะไร?
ตอนแรกเราดู "ภาพรวม" ของ HTML5 ไปแล้ว คราวนี้จะมาดูเจาะเป็นบางประเด็นให้ละเอียดขึ้นนะครับ สำหรับตอนที่สองจะเป็นเรื่องของ Web Video หรือ HTML5 Video ซึ่งเป็นที่สนใจต่อสาธารณะไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่อง "สงคราม codec" ที่ยังไม่จบไม่สิ้น และกลายเป็นความซวยของนักพัฒนาเว็บไปแทน
ช่วงหลังๆ นี่ Blognone มีข่าวโทรคมนาคมจำนวนมากทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ผมพบว่าความเห็นจำนวนมากนั้นจะซ้ำไปมาจากความเข้าใจผิดในความรู้พื้นฐาน ผมจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะเขียนบทความเพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกันเสียที
บทความนี้เน้นระบบ โทรคมนาคมไร้สาย เช่นโทรศัพท์มือถือ หรือการสื่อสารดาวเทียม ฯลฯ นะครับ ผมจะไม่ลงไปอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เราอาจจะเจอคาบเกี่ยวกันบ่อยๆ เช่นโทรทัศน์วิทยุ (ที่ใช้คลื่นความถี่เหมือนกัน), หรือโทรคมอื่นๆ (เช่นโทรศัพท์บ้าน, ADSL, หรือบริการสายไฟเบอร์)
คนที่ติดตามข่าวของ Windows 8 คงเห็นแผนภาพ diagram แสดงโครงสร้างการพัฒนาแอพของ Windows 8 ที่แสดงใน keynote เปิดตัว
เหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างซอฟแวร์ที่ฝั่ง โอเพนซอร์ส (ต่อไปจะเรียก OSS) กับฝั่ง Proprietary Software (ต่อไปจะเรียก PS) ก็จะมีการถกเถียง แลกเปลี่ยนประเด็นและความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นประเด็นเดิม ๆ หัวข้อเดิม ๆ ที่ผมอ่านมาตั้งแต่เริ่มสนใจพัฒนาซอฟแวร์ใหม่ ๆ (ราว ๆ ปี 2002 เห็นจะได้)
จากการลงข่าว WikiLeaks: ไมโครซอฟท์และ BSA กังวลต่อแนวทางโอเพนซอร์สของไทย ใน blognone และก็เหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา ก็จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งพอจะสรุปเป็นความคิดเห็นมีอยู่ 2 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
หมายเหตุ mk มาถึงตอนนี้เราคงเห็นกันชัดว่า cloud computing คืออนาคตของการประมวลผลขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่บ้านเรายังขาดแคลนมากคือประสบการณ์ ความรู้ความเชี่ยวชาญในการสร้างแอพพลิเคชันบนกลุ่มเมฆ (ยังไม่ต้องพูดถึงการสร้าง cloud infrastructure แบบ AWS หรือ Azure ที่ต้องใช้ทรัพยากรเยอะกว่านั้นมาก)
ขอเปลี่ยนบรรยากาศ มา Review Server Platform บ้างนะครับ แก้เลี่ยนการรีวิวกองทัพหุ่นยนต์
ทีมงานของผมได้มีโอกาสร่วมติดตั้งระบบคลัสเตอร์สมรรถนะสูง PHOENIX ของ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นระบบคลัสเตอร์แรกในประเทศไทย ที่สร้างด้วยแพลตฟอร์ม IBM iDataPlex แบบเต็มรูปแบบ วันนี้เลยจะลองนำเสนอรายละเอียดของเจ้า แพลตฟอร์มตัวนี้ว่าของจริงเป็นอย่างไรครับ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ บริษัท eLife System จำกัด โดย 2BeSHOP.com และบริษัท IBM ประเทศไทย ในส่วนของฮาร์ดแวร์ต่างๆ รวมไปถึงรูปภาพเกือบทั้งหมดในบทความนี้ และทางภาควิชาเคมี ที่อนุญาตให้เขียนรีวิวฉบับนี้ครับ
ตอนงาน Google I/O ผมเขียนเรื่อง ทิศทางที่เริ่มแจ่มชัดของ Android และ Chrome OS ไปแล้ว คราวนี้งานแถลงข่าว Windows Phone Mango ก็อยากเขียนบทความลักษณะเดียวกันสักหน่อย
เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น อาจจะต้องย้อนไปอ่าน Windows Phone 7: ก้าวที่ไม่หวือหวา แต่เป็นก้าวที่สำคัญของไมโครซอฟท์ ซึ่งเขียนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่ Windows Phone 7 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ผมมีประเด็นที่อยากนำเสนอ 4 ข้อ
1) พัฒนาการของ Windows Phone
HTML5 ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลายส่วน เช่น แท็กแบบใหม่ๆ, audio/video, canvas, geolocation ฯลฯ ส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยแต่คนไม่ค่อยพูดถึงเท่าไรคือความสามารถของ "เว็บเพจ" (หรืออาจเรียกมันว่าเป็น "เว็บแอพพลิเคชัน" ก็ได้) ในการเก็บข้อมูลแบบออฟไลน์ ซึ่งก็แยกย่อยได้อีกหลายชนิดมาก (HTML4 เก็บได้เฉพาะคุกกี้เล็กๆ นิดเดียว)
เว็บไซต์ InfoWorld สรุปมาสั้นๆ ดี ผมเลยมาสรุปอีกทีให้สั้นกว่าเดิม เพื่อคนที่สนใจ HTML5 จะไปตามต่อได้ถูกครับ
เทคโนโลยีแรกคือ Web Storage ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลแบบง่ายๆ ในรูป key-value (ภาษาโปรแกรมบางภาษาเรียก dictionary) ซึ่งแยกย่อยได้อีก 2 อย่าง คือ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สตีฟ จ็อบส์ ประกาศการลาป่วยรอบที่สาม หลังจากพบว่าเป็นมะเร็งในรอบแรก และต้องเปลี่ยนตับในรอบที่สอง
รอบนี้แอปเปิลแทบไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับอาการป่วยของจ็อบส์เลย บอกเพียงแค่ "ลาป่วย" โดยไม่ระบุระยะเวลา น้อยกว่าคราวก่อนที่บอกว่าลาป่วย 6 เดือนด้วยซ้ำ
ทุกคนย่อมอยากรู้ว่าจ็อบส์ป่วยเป็นอะไร อาการหนักเบาแค่ไหน มีโอกาสหายหรือไม่ ฯลฯ แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่า "แอปเปิลจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีสตีฟ จ็อบส์"
มาถึงวันนี้คงไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่า การเกิดขึ้นของ "อุปกรณ์ชนิดใหม่ๆ ที่ต่อเชื่อมกับอินเทอร์เน็ตได้" (connected devices) ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต เครื่องอ่านอีบุ๊ก ทีวี เกมคอนโซล หรือแม้กระทั่งรถยนต์ ที่เชื่อมประสานร้อยเรียงกับเซิร์ฟเวอร์บนกลุ่มเมฆ กำลังทำให้นิยามของคำว่า "คอมพิวเตอร์" เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยเปลี่ยนมาแล้วหลายครั้ง
เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ ผมเลยอยากเขียนถึง "ประวัติศาสตร์บทใหม่" ของโลกไอทีที่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง (จริงๆ อาจจะเริ่มไปแล้วด้วยซ้ำ)
งานเขียนชิ้นนี้จะไม่ลงรายละเอียดในระดับผลิตภัณฑ์ แต่จะมองภาพรวมว่ากำลังมีแนวโน้มใดก่อตัวขึ้นบ้าง และเรามีปัญหาอะไรรอคอยอยู่เบื้องหน้า
พื้นที่ให้บริการ 3G ในบ้านเราแม้จะยังจำกัดค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีประโยชน์กับคนพื้นที่ให้บริการค่อนข้างมาก เช่นคอนโดหรือหอพักที่ไม่อาจติดตั้งสายโทรศัพท์ด้วยตัวเองได้ โดยทั่วไปแล้วทางเลือกที่ง่ายที่สุดก็คือการซื้อ USB dongle มาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ในบ้าน แต่ก็จะจำกัดอยูกับการใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวเท่านั้น
หลังจากเราได้รู้จักกับ Intel AppUp Center [1] [2] และรู้จักวิธีการใช้ SDK [1] [2] กันเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราจะกรอข้ามช่วงการพัฒนาแอพลิเคชันของเราไปถึงช่วงที่เราจะส่งแอพลิเคชันกันเลย
ก่อนที่เราจะฝันหวานถึงวันที่แอพลิเคชันของเราได้ขึ้นไปอยู่บน Intel AppUp Center ต้องรู้ก่อนว่า ไม่ใช่ทุกแอพลิเคชันที่จะส่งเข้าไปที่ Intel AppUp Center ได้ โดยข้อกำหนดหลัก ๆ ในปัจจุบันมีดังนี้
มาแรงจริง ๆ ครับ สำหรับเทคโนโลยี Cloud Computing วงการเกมส์ก็ได้นำเอาเทคโนยีนี้มาใช้กับเค้าเหมือนกัน ผมเลยรวบรวมจับมาเขียนกันสด ๆ เลย โดยเริ่มต้นจาก 2 ผู้บุกเบิกในสงครามนี้ คือ Gaikai กับ Onlive ที่ได้พัฒนาระบบออกมาเสร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ผมขอสรุปให้ทุกท่านทราบก่อนครับว่า Cloud Gaming เป็นอย่างไร
Cloud Gaming คือการให้บริการเกมส์และเนื้อหาเกมส์ทุกรูปแบบโดยใช้เทคโนโลยี Cloud Computing โดยตัวระบบเน้นการประมวลผลในเรื่องกราฟิกแทนเครื่องผู้ใช้งานเป็นหลัก ส่วนข้อมูลเชิงเทคนิคยังไม่ถูกเปิดเผย
บริการ Cloud Gaming ที่กำลังจะเปิดตัว ได้แก่
เมื่อตอนเย็นผมเริ่มเห็นทวีตข้อความรูปแบบหนึ่งจำนวนมาก คือการเชิญชวนให้แจ้งเบาะแสข้อความหมิ่นไปยัง DSI ด้วยการจับหน้าจอ เช่นข้อความของคุณเจ เจตริน (หลังเบรก)
ในฐานะคนไอทีขอใช้พื้นที่นีชี้แจงว่า ภาพหน้าจอไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเป็นหลักฐานใดๆ ได้ครับ
ในวินาทีนี้คงไม่มีกระแสอะไรจะแรงกว่าเรื่องของ iPad หรือ tablet ตัวใหม่ของแอปเปิลที่ใครๆ ก็ลือกันมานานแสนนาน กระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ทั้งแง่บวกและลบต่างหลั่งไหลกันมา ตกลงแล้ว iPad นี่คืออะไร และจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับโลกใบนี้?
อย่างที่หลายๆ ที่บอกกัน ไม่มีคำอธิบายอะไรที่ดีกว่าการบอกว่า iPad คือ iPhone / iPod touch ขนาดยักษ์ ด้วยรูปลักษณ์พื้นฐานที่แทบจะถอดแบบกันมา ทั้งกรอบดำ จอขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ทั้งหมด ปุ่ม Home ที่อยู่ด้านล่าง พร้อมปุ่มและพอร์ทต่างๆ ที่แทบจะไม่แตกต่างกัน สิ่งเดียวที่แตกต่าง คือขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าเดิมมาก ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว iPad มีความหนาสูงสุดอยู่ที่ครึ่งนิ้ว และมีน้ำหนักประมาณ 0.68 กิโลกรัม หรือครึ่งหนึ่งของ MacBook Air พอดี
จากที่ผมลงข่าวเรื่อง VESA ประกาศใช้มาตรฐาน Mini DisplayPort (ดูข่าวเก่า) และคุณ lew ก็ได้คอมเมนท์ถามถึงว่าตกลง HDMI มันต่างกับ DisplayPort ยังไงบ้าง ซึ่งผมเองก็สงสัยเหมือนกัน ในวันนี้ผมเลยลองรื้อๆ ข้อมูลดู และพบประเด็นที่น่าสนใจหลายๆ อย่างเหมือนกัน ผมได้พยายามสรุปเป็นข้อๆ จะได้เข้าใจง่ายๆ นะครับ แต่คิดว่าถ้าใครอยากรู้ละเอียด อ่านใน Wikipedia ก็มีเยอะครับ (HDMI, DisplayPort)
ประเด็นหนึ่งเราคงจะได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ถ้าพูดถึง App Store ของ iPhone คือเรื่องของการใช้สิทธิ์ของแอปเปิลในการควบคุมแอพพลิเคชันต่างๆ ที่จะมาทำงานบน iPhone ได้
แน่นอนว่าแนวคิดนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งในด้านที่สนับสนุนและคัดค้าน จริงๆ แล้วเรื่องของการควบคุมแพลตฟอร์มของตนเองให้เป็นไปในทิศทางที่ผู้ผลิตต้องการไม่ใช่เรื่องใหม่ และตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดคือคอนโซลเกมต่างๆ
ยุคนี้สมัยนี้เป็นยุคดิจิทัล เราจะเก็บงาน เก็บหนัง เก็บเพลง หรือโปรแกรมต่างๆ ก็เก็บเป็นไฟล์ใส่ในฮาร์ดดิส ไว้ กันจนเกือบเต็มพื้นที่ไปหมด เป็นการดีส่วนหนึ่งคือเป็นการลดพื้นที่การจัดเก็บข้อมูล ไม่ต้องเก็บข้อมูลที่เป็นกระดาษ หรือเป็นสื่ออื่นๆ เช่น แผ่นฟลอปปี้ดิส, ซีดี, ดีวีดี โดยเปลี่ยนการจัดเก็บเป็นแท่งยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ หรือใส่ในฮาร์ดดิสไปเลย
สืบเนื่องจากหัวข้อ หลุมพรางการตลาดกับการก้าวพ้นกำแพงของความสมเหตุสมผล: กรณี MacBook Pro 17 นิ้ว ของคุณชิตพงษ์ กิตตินราดร นักเขียนจาก Business Week ผมขออนุญาตนำเสนอข้อถกในเรื่องจิตวิทยา แต่เป็นด้าน "ต่อตลาดทั้งตลาด" ไม่ใช่ต่อ "ผู้บริโภค" เพิ่มเติมนะครับ เพราะมีคนพูดในเชิงผู้บริโภคเยอะแล้วในหัวข้อนั้น
ขอยกตัวอย่าง เช่น อุตสาหกรรม Visual Effects บนหนังฮอลลีวู้ด กลุ่มเดียวก็พอเพื่อความเข้าใจง่าย
บทความรับเชิญจากคุณชิตพงษ์ กิตตินราดร นักเขียนจาก Business Week (ผมเคยของานเขียนเรื่อง แบ่งปันอย่างเสรีบนโลกออนไลน์ด้วยครีเอทีฟคอมมอนส์ มาลงให้อ่านไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้ายังจำกันได้) -- mk
หลุมพรางการตลาดกับการก้าวพ้นกำแพงของความสมเหตุสมผล: กรณี MacBook Pro 17 นิ้ว
ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวกับการเปิดตัว MacBook Pro 17 นิ้วรุ่นใหม่ของแอปเปิลซึ่งถ้าไม่ถูกใจใครก็ขออภัยครับ
แอปเปิลเพิ่งเปิดตัว MacBook Pro ขนาดหน้าจอ 17 นิ้วรุ่นใหม่ล่าสุดที่งาน MacWorld ที่มีจุดเด่นตรงแบตเตอรี่แบบใหม่ ที่ถอดเปลี่ยนไม่ได้ แต่สามารถใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมง และชาร์จได้ 1,000 ครั้ง
New 17-inch MacBook Pro
แวดวงในเรื่องของ IT นับได้ว่ามีการพัฒนาขึ้นทุกวัน หากเราพลาดการติดตามข่าวสารในวงการ IT ไปเพียงแค่ครู่เดียวก็อาจจะทำให้เราตกหล่นข้อมูลบางอย่างที่ควรรู้ไปได้ ผมซึ่งส่วนตัวเป็นสมาชิกของเว็บ Blognone ที่ติดตามอ่านข่าวสารมาอย่างเหนียวแน่นเป็นเวลานาน แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้เขียนหรือแปลข่าวอะไรดีๆ เพื่อตอบแทนเว็บ Blognone ซักเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้ผมเคยเห็นรูปภาพการนำตัวอักษร A-Z มาแก้เป็นเทคโนโลยีต่างๆ ที่จัดทำขึ้นโดยชาวต่างชาติท่านหนึ่ง วันนี้ผมจึงได้อยากที่จะสร้างบทความนี้ขึ้นมาโดยอ้างอิงข่าวต่างๆ จากใน Blognone และจัดทำเป็นตัวอักษรเลียนแบบชาวต่างชาติท่านนั้น เพื่อให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่อาจจะพลาดข่าวสารที่ควรรู้บางอย่างได้รู้กันนะครับ
หลังที่ผมเขียน ศึกจ้าว CMS เวลาผ่านไป CMS แต่ละตัวก็มีการปรับตัวเพื่อสู้ศึกในโลกของ CMS ที่มีการแข่งขันสูง ผมขอเสนอแนวทางการพัฒนาของ 4 CMS หลัก (เหตุผลที่เลือก 4 ตัวนี้กรุณาอ่านบทความตามลิงก์บทความเก่า)
วันนี้ผมไปงาน WTTC2008 ที่โรงแรมเซ็นจูรี่ปาร์คจัดโดยศูนย์ไทยกริดร่วมกับกระทรวงวิทย์ หน้าที่ตามเคยของผม คือคุยกับชาวบ้านและนักข่าว พยายามให้เขาเข้าใจว่า ประเทศไทยควรจะรับรู้ว่าเทคโนโลยีใหม่ๆมีอะไรกัน จะได้ไม่ตกรถไฟ ปีนี้เราเชิญ ดร.โทมัส เสตอริ่ง บิดาของแบวูฟล์คลัสเตอริ่งเทคโนโลยีมาได้ ท่านได้ทิ้งข้อคิดไว้หลายประการครับ
ดร.โทมัส เสตอริ่ง เคยทำงานอยู่ NASA ที่ NASA Goddard Space Center ต่อมาย้ายไปที่ NASA JPL ปัจจุบันท่านทำงานที่ Louisiana State University ครับ ท่านผู้นี้เป็นผู้ให้กำเนิดเทคโนโลยีของคลัสเตอร์บนลินุกซ์ที่เรียกว่า แบวูฟล์คลัสเตอริ่งเทคโนโลยี (Beowulf Cluster)
แนะนำเทคนิคการใช้ E-mail Address ขั้นสูงสำหรับผู้ใช้ Gmail โดยเราสามารถใช้เทคนิคที่เรียกว่า “plus addressing” ในการส่งอีเมล์เข้าหาตัวเราได้ ทำให้ง่ายต่อการใช้ Filter กรองจดหมาย ซึ่งมีวิธีการดังนี้
สมมุติว่าอีเมล์ Gmail ของเราคือ blognone@gmail.com เวลาเรานำอีเมล์ไปกรอกตามเว็บไซต์ต่างๆ เช่นเว็บของทาง Bank เราสามารถใช้ blognone+bank@gmail.com ก็ได้ ซึ่งหากมีคนส่งมาที่อีเมล์ดังกล่าว เราก็จะได้รับจดหมายเข้า blognone@gmail.com ตามปกติ เพียงแต่เมล์ฉบับนั้นจะมีช่อง To: blognone+bank@gmail.com แทน ทำให้เราสามารถใช้ Filter ในการกรองจดหมายได้ง่ายขึ้น เช่นถ้าช่อง To: มี +bank ให้ย้ายไป Folder Bank เป็นต้น