แนะนำให้อ่านและทำความเข้าใจก่อนอ่านข่าว 3G ทุกข่าวช่วงนี้ครับ
จากข่าวมาตรฐานการให้บริการข้อมูล 2G/3G ของกสทช. ผมพบว่าแม้แต่ผู้อ่านของ Blognone เองที่น่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้เทคโนโลยีมากกว่าเฉลี่ยของสังคมไทยโดยรวมก็ยังถูกการตลาดของค่ายผู้ให้บริการต่างๆ สร้างความหวังและความฝันว่าเมื่อเรามีเครือข่าย 3G ให้บริการกันแล้ว เราจะได้ใช้งานเครือข่ายที่ความเร็วสูงในระดับที่แทบจะไม่ต้องการวายฟายหรือบรอดแบนด์ตามบ้านกันอีกเลย
ขณะที่เครือข่ายไร้สายระยะไกลอย่าง 3G เป็นความหวังของคนไทยอย่างมากว่าน่าจะสามารถเข้ามาขยายโอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยได้มากขึ้น การสื่อสารข้อมูลด้วยสัญญาณวิทยุมีข้อจำกัดในตัวมันเองหลายประการ และในการใช้งานข้อมูลมากๆ เช่น วิดีโอความสะเอียดสูง หรือการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ อย่างต่อเนื่องโดยมีราคาต่ำที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้นั้นกลับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก บทความนี้ผมเขียนเพื่อแสดงข้อมูลพื้นฐานถึงข้อจำกัดโดยทั่วไปของการสื่อสารไร้สาย เราจะได้ตั้งความหวังกับมันได้อย่างตรงความเป็นจริง
ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเป็นข้อมูลดิจิตอลอย่างที่เรารู้กัน ว่ามันประกอบไปด้วยเลขศูนย์และหนึ่ง แต่ในคลื่นวิทยุนั้นการส่งคลื่นเป็นเพียงการบอกว่ามีคลื่นนั้นอยู่หรือไม่ จำเป็นต้องหาทางแปลงคลื่นวิทยุที่เราจับได้ในอากาศมาเป็นข้อมูลศูนย์และหนึ่งอีก กระบวนการหนึ่งที่เป็นไปได้ เช่น เมื่อส่งคลื่นนั้นไปในอากาศในถือว่าช่วงเวลานั้นเป็นการส่งข้อมูลหนึ่ง และเมื่อหยุดส่งให้ถือว่าว่าข้อมูลเป็นศูนย์ เมื่อเรากำหนดช่วงเวลาศูนย์และหนึ่งแต่ละตัวจะกินเวลานานเท่าใด เราก็สามารถจับคลื่นสัญญาณในอากาศออกมาเป็นข้อมูลเหมือนในสายไฟที่เราใช้งานกันได้
การเข้ารหัสสัญญาณแบบ FSK (Frequency Shift Keying) ทำให้ความถี่ของสัญญาณเปลี่ยนไปเพื่อแสดงแทนข้อมูลศูนย์และหนึ่ง เป็นการเข้ารหัสสัญญาณพื้นฐานแบบหนึ่ง ภาพโดย Ktims
เทคนิคการแปลงข้อมูลให้เป็นคลื่นวิทยุนี้ เราเรียกว่ากระบวนการเข้ารหัสสัญญาณ (modulation) เทคนิคการเข้ารหัสสัญญาณมีมากมายหลากหลาย และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้เราสามารถส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายไร้สายอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นมาก วายฟายที่เราใช้งานทุกวันนี้ทำความเร็วเพิ่มขึ้นจาก 1 Mbps ในมาตรฐาน 802.11 ไปเป็น 300 Mbps ในมาตรฐาน 802.11n อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่คู่กันกับการส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุ คือ สัญญาณรบกวนที่เป็นคลื่นวิทยุที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นจากการใช้งานของมนุษย์ด้วยกันเอง ไปจนถึงรังสีจากดวงอาทิตย์ที่ส่งมายังโลก ทำให้ทุกคลื่นความถี่ที่เราใช้งานกัน ล้วนมีคลื่นวิ่งอยู่ในอากาศความแรงคลื่นที่แต่ละความถี่ต่างๆ กันออกไปอย่างคาดเดาไม่ได้
สัญญาณรบกวนเมื่อมาพบกับสัญญาณที่เป็นข้อมูลทำให้สัญญาณรวมเปลี่ยนรูปร่างไป ภาพโดย Yves-Laurent
โดยทั่วไปแล้วเมื่อสัญญาณรบกวนมีไม่มากนัก ก็จะไม่มีผลอะไรต่อการส่งข้อมูล เช่น เสียงที่เราได้ยินกันทุกวันนี้ (ซึ่งเป็นคลื่นแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน) เรายังสามารถพูดคุยกันได้ คือ การรับรู้คลื่นที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมา และแปลความหมายของข้อมูลได้ แม้จะมีเสียงรบกวนรอบข้างก็ตาม แต่หากเสียงรบกวนมีมากเกินไป เช่น มีเครื่องจักรทำงานอยู่ใกล้ๆ สัญญาณรบกวนก็จะเริ่มทำให้การพูดคุยทำได้ลำบาก สิ่งที่เราทำได้ เช่น การพูดให้เสียงดังขึ้น ก็สามารถทำให้แก้ปัญหาเสียงรบกวนเหล่านั้นได้
คลื่นโดยทั่วไปนั้น เมื่อเราใช้ส่งออกไปแล้วความแรงสัญญาณก็จะลดลงตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่ง ความแรงสัญญาณใกล้เคียงกับสัญญาณรบกวนในธรรมชาติจนแยกจากกันไม่ออกในที่สุด
สัญญาณรบกวนและการที่คลื่นอ่อนแรงลงเช่นนี้ ทำให้ระยะทำการของการส่งข้อมูลวิทยุมีข้อจำกัด เช่น วายฟายในมาตรฐาน 802.11b นั้นจะมีระยะทำการในที่โล่งประมาณ 40 เมตร แต่ถ้าเราอยู่ในย่านที่มีคลื่นรบกวนสูงๆ เช่น ในเมือง หรือคอนโดที่มีการใช้งานคลื่นความถี่เดียวกันมากๆ สัญญาณรบกวนก็จะแรงขึ้น ทำให้ระยะทำการลดลง
ประสิทธิภาพในการใช้งานคลื่นความถี่ (Spectral Frequency) เป็นตัวเลขที่บอกเราว่าเมื่อเรามีคลื่นอยู่ในมือเป็นความกว้างค่าหนึ่ง โดยความกว้างของคลื่นความถี่ คือ ความถี่ที่เริ่มใช้งานได้ไปจนถึงความถี่สุดท้ายที่ใช้งานได้ เราจะสามารถส่งข้อมูลผ่านคลื่นความถี่นั้นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน เช่น วายฟาย 802.11b นั้นใช้คลื่นความถี่ 22MHz ตัวอย่างช่อง 1 ของวายฟาย คือ คลื่น 2401MHz – 2423MHz มีความกว้างทั้งหมด 22MHz และใช้ส่งข้อมูลได้ 11Mbps แสดงว่ามันมีประสิทธิภาพการใช้งานคลื่นความถี่ 0.5 bit/s/Hz
มาตรฐานการส่งข้อมูลแบบใหม่ๆ ให้ประสิทธิภาพของคลื่นความถี่ที่ดีกว่าเดิมมาก มาตรฐานเก่าเช่น โทรศัพท์มือถือในระบบ AMPS ที่มีใช้งานถึงสามสิบปีแล้ว อาจจะมีประสิทธิภาพเพียง 0.0015 bit/s/Hz เท่านั้น ขณะที่มาตรฐานใหม่กว่านั้นเช่น GSM จะให้ประสิทธิภาพที่ 0.45 bit/s/Hz ส่วนมาตรฐานใหม่ๆ เช่น HSDPA สามารถให้ประสิทธิภาพได้สูงสุดถึง 8.44 bit/s/Hz วายฟายที่เราใช้งานอยู่ทุกวันนี้ก็พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.4 bit/s/Hz ในมาตรฐาน 802.11n
ประสิทธิภาพเหล่านี้แม้จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามเทคโนโลยีที่ดีขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ โดยมีทฤษฎีบทที่เรียกว่า Shannon-Hartley Theorem ระบุว่า
โดย C คือ ปริมาณข้อมูล bit/s ที่ใส่เข้าไปในช่องสัญญาณได้ B คือ ความกว้างของช่องสัญญาณที่ใช้ และ S/N คือความแรงสัญญาณเทียบกับความแรงของสัญญาณรบกวน
สมการนี้บอกเราสองอย่าง คือ เมื่อเรามีสัญญาณรบกวนในสภาพแวดล้อมจริง เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งข้อมูลได้สองวิธี คือ การส่งสัญญาณให้แรงขึ้น และการส่งผ่านช่องสัญญาณที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวอย่าง เช่น ในมาตรฐาน 802.11n นั้นอนุญาตให้ เพิ่มช่องสัญญาณไปได้ถึงความกว้าง 40MHz
โดยตัวทฤษฎีบทนี้เองเป็นเพียงขีดจำกัดสูงสุดที่เป็นไปได้เท่านั้น ทุกวันนี้หากนำความกว้างช่วงคลื่นและความแรงสัญญาณต่อสัญญาณรบกวนที่เราใช้กันอยู่มาใส่ในสมการนี้จะพบว่าประสิทธิภาพที่เราได้รับต่ำกว่าสมการนี้ แต่เทคนิคในยุคหลังๆ จะเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
คลื่นความถี่ที่เราส่งข้อมูลกัน แม้จะมีเพียงไม่กี่ช่องสัญญาณ เช่น 802.11b ในคลื่นย่าน 2.4GHz นั้นสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 3 ช่องสัญญาณ แต่เราก็สามารถใช้งานกันได้กว้างขวาง เพราะเมื่อพ้นระยะสัญญาณของตัวส่งตัวหนึ่งไปไกลๆ แล้ว สัญญาณจากตัวส่งตัวนั้นก็จะอ่อนลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ต่างไปจากสัญญาณรบกวนในธรรมชาติ ก็จะสามารถใช้ช่องสัญญาณเดิมได้อีกครั้ง เรียกว่า การนำความถี่กลับมาใช้ใหม่ (Frequency Reuse)
ความแรงสัญญาณของเสาส่งสามต้นที่อยู่ติดกัน เมื่อต้นหนึ่งส่งสัญญาณก็จะกระทบไปถึงต้นอื่นๆ แม้ความแรงสัญญาณจะต่ำลงจนกระทั่งอ่านข้อมูลกลับมาไม่ได้แล้วก็ตาม
ในระบบที่มีการจัดการ เช่น ระบบโทรศัพท์มือถือนั้น ช่องสัญญาณจะถูกจัดวางอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนว่าพื้นที่ใดควรใช้ช่องสัญญาณใด เพื่อสับหลีกการใช้คลื่นความถี่เดียวกันในพื้นที่ติดกัน ซึ่งจะทำให้รบกวนกันเองจนกระทั่งไม่มีใครสามารถส่งข้อมูลได้
การวางแผนการใช้คลื่นความถี่ จะพยายามไม่ใช้งานคลื่นความถี่เดียวกัน (สีเดียวกัน) ในพื้นที่ติดกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนกันเอง หากมีช่องสัญญาณมากขึ้นก็จะจัดให้ช่องสัญญาณเดียวกันอยู่ห่างกันได้มากขึ้น
การวางแผนนำคลื่นความถี่กลับมาใช้ซ้ำจะทำได้ง่ายขึ้น หากมีคลื่นจำนวนมาก แบนวิดท์ของคลื่นที่มีมากก็จะสามารถเว้นระยะห่างระหว่างคลื่นช่องเดียวกันได้ไกลขึ้น ในสภาพความเป็นจริง คลื่นไม่ได้แผ่ออกเป็นเป็นวงกลมเท่ากันทุกด้านเหมือนในภาพตัวอย่าง เนื่องจากเสาสัญญาณอาจจะบีบให้คลื่นไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือสิ่งก่อสร้างอาจจะสะท้อนหรือปิดกั้นคลื่นบางด้านให้ระยะทางสั้นลง การออกแบบวางแผนคลื่นจึงมีความซับซ้อนขึ้นมาก แต่หลักการยังคงเดิม คือ ระยะทำการของคลื่นช่องสัญญาณหนึ่งๆ จะมีจำกัด และแต่ระยะทางที่มันจะแรงพอที่จะรบกวนการส่งข้อมูลบนช่องสัญญาณเดียวกันนั้นไกลกว่าระยะที่มันทำงานได้ ทำให้ต้องเว้นระยะที่ไม่ใช่ช่องสัญญาณนั้นออกไปช่วงหนึ่ง (นอกจากนี้ยังมีการเข้ารหัสสัญญาณแบบใหม่ๆ ยังเปิดให้มีการบริหารคลื่นแบบอื่นๆ แต่บทความนี้ละไว้)
ในระบบโทรศัพท์นั้น เสาให้บริการโทรศัพท์มือถือต้นหนึ่งๆ อาจจะมีรัศมีให้บริการนับสิบกิโลมเตร กินพื้นที่นับร้อยตารางกิโลเมตร หากให้บริการบนคลื่นความถี่เพียงช่องสัญญาณเดียวก็จะสามารถให้บริการแชร์กันได้ตามความเร็วที่ทำได้ของมาตรฐานแต่ละตัว แล้วแบ่งกันไปตามจำนวนคนใช้งาน เช่น ในระบบ HSDPA สามารถส่งข้อมูลได้ 42Mbps ในพื้นที่การทำงานของเสาต้นเดียวกัน ทุกคนก็ต้องแชร์ช่องสัญญาณดียวกัน ทำให้หากมีคนใช้งาน 10 คนพร้อมกันก็ไม่สามารถทำความเร็วได้เกิน 4.2Mbps ไปได้
การวางแผนจัดการช่องสัญญาณอาจจะใช้เทคนิคอื่นๆ เช่น การลดกำลังส่งของเสาสัญญาณลง ทำให้รัศมีการให้บริการต่ำลง แล้ววางเสาให้ถี่ขึ้นทำให้ผู้ใช้บริการต่อเสาแต่ละต้นนั้นมีจำนวนน้อยลง ในเมืองใหญ่ที่ประชากรหนาแน่นอาจจะมีการวางเสา microcell ที่มีรัศมีทำการเพียงหลักร้อยเมตร จนกระทั่งมีการเสนอบริการ femtocell ที่มีรัศมีให้บริการไม่กี่สิบเมตร พอๆ กับวายฟาย มันช่วยผู้ให้บริการสามารถนำคลื่นความถี่มาใช้ซ้ำได้มากในเมืองใหญ่ที่ประชากรหนาแน่น ผู้ใช้กระจุกตัว แต่ก็สามารถวางเสาสัญญาณได้ง่ายเพราะสาธารณูปโภคพร้อม ขณะที่การวางเสาสัญญาณในพื้นที่ห่างไกล ความหนาแน่นประชากรต่ำอาจจะวางเสากำลังส่งสูงเพื่อจะสามารถให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่เป็นหลัก
บริการที่ผู้ใช้สามารถเคลื่อนที่ไปได้อิสระอย่างโทรศัพท์มือถือยังมีความซับซ้อน เช่น กรณีที่ผู้ใช้รวมตัวกันมากๆ เป็นการชั่วคราวในพื้นที่ที่ปกติมีผู้ใช้งานน้อย พื้นที่นั้นอาจจะวางเสาสัญญาณไว้ให้สามารถให้บริการได้ไกลๆ เป็นหลัก แต่เมื่อผู้ใช้มารวมกันก็เกิดการแย่งช่องสัญญาณกันจนใช้มงานไม่ได้ เหมือนที่เราประสบปัญหาเมื่อมีงานคอนเสิร์ต หรืองานอีเวนต์อื่นๆ แล้วมีคนไปรวมตัวในที่เดียวกันจำนวนมากๆ แล้วไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์มือถือได้
ขณะที่การสื่อสารแบบไร้สายสร้างความสะดวกสบายอย่างมากในช่วงยี่สิบปีให้หลังมานี้ แต่ข้อจำกัดของการสื่อสารแบบไร้สาย ไม่ว่าจะเป็นระบบ 3G หรือวายฟายก็ยังมีปัญหาของมันเองอยู่ ความได้เปรียบของรัศมีการให้บริการที่ไกล และเสียค่าติดตั้งน้อยกว่า แลกมากับการที่บริการเหล่านี้ต้องให้บริการบนคลื่นความถี่ที่มีจำกัด การเพิ่มกำลังส่งให้ไกลขึ้นเรื่อยๆ จะช่วยให้สามารถให้บริการพื้นที่ห่างไกลได้ดีขึ้น แต่ก็ทำให้จำนวนคนที่ต้องใช้ช่องสัญญาณร่วมกันมีมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
การสื่อสารแบบไร้สายเหมาะสมที่จะมีไว้เพื่อใช้ร่วมกับการสื่อสารแบบมีสายอย่างที่เราใช้กัน เช่น บริการบรอดแบนด์ที่แม้จะมีสายโทรศัพท์มาถึงบ้านเรา แต่เราก็มักเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของเราเองผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยวายฟายในบ้านของเราเองอีกทีหนึ่ง การใช้งานแบบไร้สายเป็นทางเลือกเดียวเมื่อมีการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่สามารถเชื่อมต่อสายกับยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ได้ หรือการให้บริการในพื้นที่ห่างไกล ที่ปกติแล้วไม่คุ้มค่าที่จะให้บริการแบบมีสาย เช่น หมู่บ้านที่ความหนาแน่นประชากรต่ำ บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันมาก การให้บริการแบบไร้สายที่มีรัศมีให้บริการไกลๆ เช่น 3G ทำให้คนในพื้นที่เหล่านี้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น
ขณะที่การให้บริการแบบมีสายนั้นยังมีข้อดีที่สามารถทำความเร็วได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้โครงสร้างพื้นฐานหลักมักใช้ผ่านสายไฟเบอร์ออปติกส์ที่สามารถทำความเร็ว 40Gbps ได้ไม่ยากนัก การเดินสายไฟเบอร์ออปติกส์มักเดินสายไว้ทีละจำนวนมากๆ เพราะค่าดำเนินการเดินสายมีราคาแพง จึงสามารถนำสายที่ยังไม่ได้ใช้งานมาใช้งานได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือกระทั่งเดินสายใหม่หากจำเป็น ขณะที่คลื่นความถี่วิทยุนั้นไม่สามารถหามาเพิ่มได้เรื่อยๆ เหมือนสายเหล่านี้
Comments
ขอบคุณครับ เป็นความรู้ที่ดีมากๆ เลยทีเดียวครับ :)
เยี่ยมครับ
ในช่วงไม่ยี่สิบปีให้หลังมานี้ << ในช่วงไม่กี่สิบปีให้หลังมานี้ หรือเปล่าครับ
ผมอ่านแล้วได้ความรู้เยอะเลย
มีคำถามคับ.....ประสิทธิภาพการใช้งานคลื่นความถี่ มีหน่วยเป็น bit/s/Hz
ซึ่งอ่านจากคำอธิบายของคุณลิ่ว มันคือ (bit/s)/Hz แต่เนื่องจาก Hz ก็คือ s^(-1) ฉะนั้นแล้ว หน่วยนี้จึงกลายเป็น bit เฉยๆ รึเปล่าคับ????
ส่วนอันที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนานที่สุด คือ ทฤษฎีบทที่เรียกว่า Shannon-Hartley Theorem นี่แหละคับ
ไม่ได้เรียนมาทางนี้เลยใช้เวลาตีความกับมันอยู่พักหนึ่งว่ามันสื่ออะไรบ้าง
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
ถ้าจะเขียนให้ไม่งงคงเป็น x bit/s ต่อช่วงความถี่ 1 Hz ล่ะครับ
+1
Hz ในที่นี้หมายถึง spectrum
เช่น
ช่วงความถี่ 2,100,000,000Hz - 2,100,000,001Hz ส่งข้อมูลได้ 1 bit/s เป็นต้น
อา.....หมายความว่า
Spectrum ใช้หน่วย Hz ได้อย่างเดียว แปลงเป็น S^(-1) ไม่ได้ใช่มั้ยคับ
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
มันคือ ΔHz ครับ High frequency - Low frequency ดังนั้นค่าที่ออกมาจึงไม่ใช่จำนวนลูกคลื่นต่อวินาที แต่เป็นจำนวนความกว้างของความถี่ต่อรูปสัญญาณ แปลงเป็น S^(-1) ไม่ได้ครับ
"เสาส่ง" ครับ
แถมครับ
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
เขียนใช้ภาษาชาวบ้านดีครับ คนน่าจะเข้าใจง่าย
ขอบคุณมากครับ เข้าใจเรื่องนี้ขึ้นเยอะ
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
สะดุดอย่างเดียว แบบมันไม่คุ้นตา
วายฟาย
+1
twitter.com/exfictz
ไม่ได้ครับ เดี๋ยวโดนเซนเซอร์ เด็กเดี๋ยวนี้ไวไ_ พิมพ์คำว่าไ_ไฟไม่ได้ครับเดี๋ยวเวลาเด็กอ่านเจอแล้วจะเกิดอารมณ์
นั่นสิ เมื่อวานนั่งดูข่าวทีวีอะไรซักอย่างยังมีนักศึกษาบอกเลยว่ามี 3G และจะใช้ทำรายงานได้เร็วขึ้น ส่ง E-mail ได้ดีขึ้น หาข้อมูลได้เร็วขึ้น
ห๊า.. =_=
ถึงจะ 3G แต่ก็ยังต้องจ่ายค่า Data รายเดือนนะหนู คนยากไร้ห่างไกลก็ยังใช่ว่าจะสามารถใช้มันได้ทุกคน
เจ๋งอ่ะ ถึงจะเป็นความรู้เบื้องต้น แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะเขียนออกมาด้วยภาษาชาวบ้านธรรมดา แถมการเรียบเรียงยังสุดยอด ทำให้อ่านสนุกและเข้าใจง่าย
ส่วนตัวถึงจะเคยเรียนมาแล้ว แต่มันก็ลืมรายละเอียดไปซะเยอะ ตามวันเวลาที่ล่วงเลย 555+
ขอบคุณมากๆครับ แต่เห็นด้วยมากๆเลยว่าการโฆษณามันทำให้คนกลุ่มนึงมองว่า 3G มันจะแทนพวก ADLS หรือพวกการสื่อสารผ่านสายได้ ซึ่งจริงๆแล้วมันทำไม่ได้แน่ๆ (หรืออีกนานกว่าจะทำได้) เจอพวก lead line ผ่าน optic เทพๆ โห...วิ่งกันเท่าไหร่ล่ะนั่นอ่ะ แต่ข้อดีก็ตามที่คุณ lew ได้เขียนไว้นั่นแฮ
ขออย่าให้ล้ม - -"
..: เรื่อยไป
//แอบแซว .. เรียนมาจริงเหรอนาย
ADLS, lead line .. เอิ่มมม :P
เค้าบอกแล้วนี่ครับว่า "ตามวันเวลาที่ล่วงเลย" #กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เขียนบทความได้ดีมากครับ เข้าใจง่าย
ทบทวนวิชา Data Communication and Networking ครับ
ได้ความรู้ดีมากเลยครับ น่าจะขึ้นเป็น feature article เลยนะครับเนี่ย
ผมชอบที่เขียนแล้วอ่านง่าย เอาให้แฟนอ่าน (แฟนเรียนสิ่งแวดล้อม) ก็ยังรู้เรื่องครับ
ผมไม่ชอบคำว่า "วายฟาย" เลยครับ ถ้าจะเขียนก็ WiFi เถอะครับ หรือถ้าจะให้ถูกต้องที่สุด ต้องเขียนว่า Wireless LAN นะครับ เพราะ WiFi ไม่ใช่ชื่อเทคโนโลยี แต่เป็นชื่อ certificate ของเทคโนโลยีครับ แต่เอาเถอะการตลาดมันทำให้คนเรียกแบบนี้ไปหมดแล้ว
มาม่า ซีร็อก แฟ้บ โกเต็ก แพมเพิส โพลาลิส สก็อตไบร๊ ลิขวิด ซาวาอะเบ๊า ว้อกแมน
ถ้าจะมาเขียนข่าว ก็ควรจะเขียนให้ถูกหลักสิครับ ชื่อยี่ห้อที่คุณกล่าวถึงข้างบนก็มีชื่อเรียกประเภทของสินค้าของมันเองนะครับ เผื่อคุณไม่รู้ หรือถ้าคุณจะพิมพ์ประชดผมก็อีกเรื่องนึง
ดีเยี่ยมครับ หลังจากลืมและสับสนจากการโฆษณาเช่นกัน
คิดเหมือนกันเลยแฮะ เกือบเขียนละ ติดอยู่ตรงไม่เทพพอที่จะเขียนเรื่องยาก ๆ ให้อ่านง่ายได้ (และขี้เกียจหาภาพประกอบ) -*-
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ป.ล. เข้าใจว่าสมการของ Shannon-Hartley Theorem แปะให้ดูเป็นรูป เลยไม่เห็นตัวสมการเลย T_T
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
ขอบคุณครับ
เหมือนเป็นเด็กนักเรียน อ่านบทเรียนเบื้องต้น >_<
Frequency Reuse -->อ่านยังไงก็ไม่ค่อยเข้าใจ - -"
หมายถึงพอเสาห่างกันมากพอจะใช้ความถี่เดียวกันได้ เพราะคลื่นมันไม่กวนถึงกันครับ
ไม่ถูกซะทีเดียวครับ
ที่ถูกแล้วคือ "ตัวปล่อยสัญญาณต้องไม่อยู่ใกล้กันมากจนทำให้เป็น noise" แต่ถ้าไม่วางเสาติดกัน ส่วนที่เราเว้นไว้ (เพราะไม่อยากให้มันติดกัน) ก็จะไม่ได้สัญญาณเลย ซึ่งเราคงรับไม่ได้
ดังนั้นเค้าต้องแบ่งความถี่เป็นหลายช่วง แล้วยอมให้เสาคนละความถี่อยู่ติดกันได้ (ซึ่งจะไม่มีปัญหา noise แล้วเนื่องจากความถี่คนละช่วงกัน) จากในรูปหกเหลี่ยมข้างบน ก็แปลว่าผู้ให้บริการเอาความถี่ที่ตัวเองได้มาแบ่งเป็น 3 ช่วงอีกที แล้วกระจายเสาไปลงตามสีครับ
+3 Slot ครับ ได้ความรู้ดีมาก
รอดูราคาว่ามีแบบเหมาไหม ไม่ใช่ต่อ MB แทบไม่อยากใช้งานเลย
คำตอบของข้า คือ ประกาศิต