Uber เริ่มทดสอบการคิดเงินแบบเหมาจ่ายรายเดือน 24.99 ดอลลาร์ เพื่อใช้บริการทุกตัวของ Uber (นั่งรถ, สั่งอาหาร, จักรยาน, สกูตเตอร์) ในราคาถูกลง

ก่อนหน้านี้ Uber เปิดตัว Ride Pass จ่ายเงิน 14.99 ดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อให้ได้เรียกรถในราคาคงที่ (ราคาแตกต่างกันไปในแต่ละเมือง) แต่ยังจำกัดแค่การเรียกรถเพียงอย่างเดียว การทดสอบรอบนี้เพิ่มบริการอื่นๆ อย่างสั่งอาหาร จักรยาน สกูตเตอร์ เข้ามาด้วย

Uber ทดสอบบริการเหมาจ่ายแบบนี้ในบางเมือง เช่น ซานฟรานซิสโก และ ชิคาโก โดยโฆษกของ Uber บอกว่ากำลังทดลองหาวิธีที่เหมาะสมในการให้ Uber เป็นบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานในทุกๆ วัน

เมื่อปีที่แล้ว Uber ร่วมมือกับ Cargo เพื่อนำสินค้า เช่น ขนม, หมากฝรั่ง และที่ชาร์จโทรศัพท์ ขึ้นไปขายบนรถ ล่าสุด Uber กับ Cargo ขยายความร่วมมือไปยังการขายสินค้าที่ราคาแพงขึ้นในระหว่างการโดยสาร ด้วยการเพิ่ม AirPods, Amazon Echo, Away Luggage, Oculus Go หรือเมคอัพของ Glossier ขึ้นมาขายบนรถด้วย

Uber Eats บริการสั่งอาหารเดลิเวอรีของ Uber เปิดตัวบริการใหม่ Dine-In ให้ผู้ใช้สามารถกดสั่งอาหารที่ร้านอาหารล่วงหน้าได้ ก่อนจะเดินทางไปที่ร้านแล้วทานอาหารได้เลยทันที ไม่ต้องนั่งรอที่ร้านเตรียมอาหารให้เสียเวลา วิธีการดังกล่าวก็คล้ายกับเราโทรไปสั่งอาหารล่วงหน้าที่ร้าน ก่อนจะไปนั่นเอง

ผู้ใช้งานจะสั่งอาหารและจ่ายเงินผ่านแอป ส่วนการทิปพนักงานในร้านสามารถเลือกทำได้ทั้งผ่านแอปซึ่ง Uber ไม่มีการหักค่าธรรมเนียม หรือจะให้ทิปที่ร้านก็ทำได้เช่นกัน รูปแบบดังกล่าวทำให้ Uber สามารถเพิ่มร้านอาหารกลุ่มที่ไม่ต้องการทำเดลิเวอรี หรือต้องการรักษาคุณภาพหน้าตาอาหารเวลาเสิร์ฟ กับบรรยากาศในการทานอาหารที่ร้านได้เพิ่มเติมนั่นเอง

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ตอนนี้รัฐบาลอินเดียกำลังวางแผนเพิ่มการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะออกคำสั่งให้บริษัทเรียกรถอย่าง Uber หรือ Ola ซึ่งมีรถยนต์ให้บริการบนแพลตฟอร์มกว่าแสนคันในประเทศว่าต้องมีรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 40% ของฟลีตทั้งหมดภายในเดือนเมษายน 2026

ภายใต้แผนการผลักดันนี้ รัฐบาลจะให้บริษัทรายงานความคืบหน้าอยู่เป็นระยะ ๆ โดยแผนจะเป็นขั้น ๆ คือ 2.5% ในปี 2021, 5% ในปี 2022 และ 10% ในปี 2023

อินเดียนั้นต้องการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ายังนับว่าน้อยมาก โดยยอดทั้งปีนับจนถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีรถยนต์ไฟฟ้าขายได้เพียง 3,600 คันเท่านั้น ในขณะที่รถยนต์ใช้น้ำมันขายได้ถึง 3.3 ล้านคัน

ราคาหุ้นของ Uber ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนมีราคาสูงกว่าราคาไอพีโอเป็นครั้งแรกเรียบร้อย หลังตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดการซื้อขายเมื่อคืนนี้ โดยราคาหุ้นนั้นปิดที่ 45 ดอลลาร์ต่อหุ้น เท่ากับราคาไอพีโอพอดี แต่การซื้อขายระหว่างวันมีราคาสูงสุดที่ 45.66 ดอลลาร์ต่อหุ้น

Uber เข้าตลาดหุ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ราคาหุ้นนั้นปรับลดลงต่ำกว่าราคาไอพีโอตั้งแต่วันแรก และเพิ่งมีราคาหุ้นเท่ากับไอพีโอในคืนวานนี้ ส่วนหุ้นคู่แข่งอย่าง Lyft ซึ่งราคาปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ก็ยังไม่สูงกว่าราคาไอพีโอ

Uber รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2019 ซึ่งถือเป็นไตรมาสแรกที่มีการรายงานผลประกอบการเป็นทางการ หลังจากบริษัทเข้าตลาดหุ้นไปเมื่อต้นเดือน มีรายได้รวม 1,550 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน แต่กลับมาขาดทุนอีก 1,012 ล้านดอลลาร์ เทียบกับปีก่อนที่มีกำไร

ตัวการดำเนินงานเพิ่มเติมมีดังนี้ รายรับสุทธิก่อนหักค่าใช้จ่าย (Gross Bookings) เพิ่มขึ้น 34% เป็น 14,649 ล้านดอลลาร์ จำนวนทริป 1,550 ล้านเที่ยว เพิ่มขึ้น 36% และจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเป็นประจำทุกเดือนมี 93 ล้านคน

Uber ประกาศเพิ่มคุณสมบัติใหม่คือการกำหนดให้คะแนนเรตติ้งของผู้โดยสาร มีผลต่อการถูกระงับการใช้งาน Uber ซึ่ง Uber ได้อัพเดตประเด็นนี้เข้าไปในกฎความปลอดภัยการใช้งาน เท่ากับว่าถ้าผู้โดยสารหรือผู้เรียกรถแบบเรา ๆ มีคะแนนต่ำมากเกินไป ก็จะไม่สามารถใช้ Uber ได้

ที่ผ่านมาเราทราบดีกว่าผู้โดยสารสามารถให้คะแนนผู้ขับรถได้ และเรตติ้งก็จะส่งผลต่อการได้งานเรียกรถ แต่ขณะเดียวกันฝั่งผู้ขับรถก็มีการให้คะแนนผู้โดยสารได้เช่นกันว่ามีพฤติกรรมเหมาะสมหรือไม่

Uber บอกว่า การระงับบัญชีจะไม่กระทำทันที แต่จะเริ่มแสดงข้อความเตือนผู้โดยสารหากคะแนนต่ำมาถึงระดับหนึ่ง ว่าควรปรับปรุงพฤติกรรมอย่างไรเพื่อให้คะแนนดีขึ้น ซึ่งคำแนะนำพื้นฐานก็มีอาทิ ไม่ทิ้งขยะในรถยนต์ ไม่พยายามข่มขู่คุกคามผู้ขับรถ เป็นต้น

Uber ออกบริการเสริมใหม่สำหรับบริการเรียกรถระดับพรีเมียม Uber Black โดยมีคุณสมบัติเพิ่มเติมหลายอย่าง แต่ที่น่าสนใจคือการระบุว่า Quiet Mode ซึ่งเป็นการกำหนดเลยว่าผู้โดยสารต้องการความเงียบ โดยคนขับจะไม่มีการชวนสนทนาใด ๆ (ถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่า ก็บอกคนขับไปตรง ๆ ก็ได้ ทำไมต้องบอกผ่านแอป)

นอกจากโหมดความเงียบแล้ว คุณสมบัติใหม่เพิ่มเติมที่สามารถระบุไปได้อีก อาทิ แจ้งว่าต้องการให้ช่วยขนกระเป๋าสัมภาระเป็นพิเศษ แจ้งว่าให้ปรับอุณหภูมิรถให้เหมาะสมก่อนเดินทางมารับ แจ้งว่าอาจมาถึงรถยนต์ช้ากว่ากรอบเวลาที่กำหนด ฯลฯ

Uber และ Lyft สองบริการแอปเรียกรถโดยสารในอเมริกา ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกันในวันเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาเมื่อผู้โดยสารต้องการเรียกรถจากสนามบินไปจุดหมายปลายทาง แต่ถึงแม้ในสนามบินหลายแห่งจะจัดพื้นที่สำหรับบริการ Ride-Share แบบนี้อยู่แล้ว แต่การที่มีคนใช้แอปเรียกรถเหมือนกัน ยืนรอกันจำนวนมาก ความลำบากก็เกิดขึ้นทั้งฝ่ายผู้โดยสารที่ต้องมองหารถของตนว่าใช่หรือไม่ ในทางกลับกันฝั่งคนขับรถก็เจอปัญหาเดียวกัน ทำให้การจราจรในบริเวณดังกล่าวติดขัด

Uber แอปบริการแชร์รถโดยสารที่เพิ่งไอพีโอเข้าตลาดหุ้นไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยระดมทุนเพิ่มไปได้อีก 8,100 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามวันแรกราคาหุ้นไม่ดีนัก โดยลดจากไอพีโอ 7.6% และเมื่อคืนนี้ก็ลดลงอีกกว่า 10% ถึงแม้จะเริ่มต้นไม่สดใสสำหรับไอพีโอ แต่ที่มูลค่ากิจการล่าสุดกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ ต้องถือว่า Uber เติบโตด้วยมูลค่ากิจการมากทีเดียว

หุ้นของ Uber จะได้เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ตามเวลาในไทยเป็นวันแรกเรียบร้อยแล้ว ราคาหุ้นปิดการซื้อขายที่ 41.57 ดอลลาร์ต่อหุ้น ลดลง 7.6% จากราคาไอพีโอที่ 45 ดอลลาร์ ซึ่ง Uber ที่เป็นหุ้นบริการแชร์รถโดยสารรายที่ 2 ที่นำบริษัทซื้อขายในตลาดหุ้นอเมริกาต่อจาก Lyft ซึ่งมีราคาหุ้นปรับลดลงมามากเช่นกัน

Uber ประกาศราคาหุ้นไอพีโอสุดท้ายก่อนนำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กคืนวันนี้ (10 พฤษภาคม 2019) โดยกำหนดราคาหุ้นที่ 45 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากกรอบราคาที่กำหนดไว้ 44-50 ดอลลาร์ ทำให้บริษัทระดมทุนเพิ่มได้จากไอพีโอนี้ 8,100 ล้านดอลลาร์ และมีอีก 500 ล้านดอลลาร์ จากข้อตกลงกับ PayPal ก่อนหน้านี้

ก่อนหน้านี้ Uber ถูกจับตามองว่าจะเป็นไอพีโอหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของปี เนื่องจากบริษัทมีมูลค่ากิจการจากการเพิ่มทุนสูง โดยที่ราคานี้ทำให้ Uber มีมูลค่ากิจการตามราคาหุ้น 82,400 ล้านดอลลาร์ ไม่ถึงแสนล้านอย่างที่นักวิเคราะห์คาดกันไว้

คนขับ Lyft, Uber และบริการแชร์รถรายอื่นๆ เตรียมนัดประท้วงหยุดงานทั่วโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ Uber กำลังเข้า IPO พอดี

Bhairavi Desai ผู้อำนวยการบริหารของ New York Taxi Workers Alliance กล่าวในแถลงการณ์ว่า บรรดานักลงทุน Wall Street บอกกับ Uber และ Lyft ให้ลดรายได้จากคนขับ ลดแรงจูงใจในการขับรถ และให้เร่งดำเนินการไปสู่รถไร้คนขับให้เร็วขึ้น อันเป็นผลมาจากการเข้าตลาดหุ้น IPO ทำให้บริษัท Uber ต้องทำเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในขณะที่คนขับถูกทิ้งให้อยู่ในความยากจนและล้มละลาย

หนึ่งในไอพีโอประวัติศาสตร์ของบริษัทด้านเทคโนโลยีปีนี้อย่าง Uber ที่เตรียมนำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเร็ว ๆ นี้ อาจเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีปนเศร้าเล็กน้อย เพราะ 3 ผู้ก่อตั้ง อาจไม่ได้ร่วมพิธีการสั่นระฆังเริ่มการซื้อขาย ซึ่งเป็นธรรมเนียมสำหรับหุ้นเข้าใหม่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

เป็นอีกหนึ่งในความพยายามของ Uber สู่หนทางของซูเปอร์แอพที่ไปไกลกว่าการเป็นแอพเรียกรถ โดยแอพ Uber ให้ผู้ใช้ในเดนเวอร์สามารถซื้อตั๋วรถไฟ รถบัสโดยสารได้ผ่านแอพเลย

ผู้ใช้ในเดนเวอร์จะเห็นตัวเลือกการซื้อตั๋วรถไฟ สามารถกดซื้อได้โดยตั๋วจะมาในรูปแบบ QR Code ให้ไปสแกนต่อ เริ่มใช้งานที่เดนเวอร์และจะไปต่อในอีกหลายเมือง เพราะในการทำโซลูชั่นนี้ Uber ได้ร่วมมือกับ Masabi ผู้ให้บริการขายตั๋วเดินทางที่ทำตลาดในหลายพื้นที่ในเมืองใหญ่ทั้ง เมโทรลิงค์ในลอสแองเจลิส, MTA ในนิวยอร์ก, Thames Clippers บริการรถบัสในลอนดอน และ MBTA ใน Massachusetts

หลังจาก Uber ได้ยื่นเอกสารไฟลิ่ง S-1 เพื่อเตรียมนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น ล่าสุดเอกสารที่ Uber ได้ส่งเพื่อชี้แจงรายละเอียดราคาหุ้นเบื้องต้น ก็มีความน่าสนใจว่ามูลค่ากิจการที่ Uber ต้องการนั้น ออกมาน้อยกว่าที่คาด

โดยมูลค่ากิจการที่ Uber กำหนดช่วงไว้จากราคาไอพีโอ จะอยู่ราว 80,500 ล้านดอลลาร์ ถึง 91,500 ล้านดอลลาร์ น้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ที่ 120,000 ล้านดอลลาร์ และราคานี้ก็ใกล้เคียงกับมูลค่ากิจการล่าสุดหลังการเพิ่มทุนคือ 76,000 ล้านดอลลาร์ ด้วย

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้น Uber น้อยกว่าคาด น่าจะมาจากราคาหุ้นของ Lyft บริการคู่แข่งของ Uber ในอเมริกา ที่ราคาหุ้นลดลงจากราคาไอพีโอมาแล้วกว่า 20%

โตโยต้า, DENSO และกองทุน SoftBank Vision ประกาศจะร่วมกันลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Uber Advanced Technologies ของ Uber เป็นมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งกลุ่ม Uber Advanced Technologies (Uber ATG) นี้ เน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ สำหรับนำมาใช้ให้บริการแชร์รถโดยสาร

ทั้งนี้ โตโยต้าและ DENSO จะลงทุนร่วมกัน 667 ล้านดอลลาร์ ส่วน SoftBank จะลงทุน 333 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจากการลงทุนนี้ทำให้ Uber ATG มีมูลค่ากิจการ 7,250 ล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Uber ได้เริ่มขายเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับให้กับโตโยต้าแล้วด้วย

ที่มา: Uber

Uber ได้ยื่นเอกสารไฟลิ่ง S-1 ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นเรียบร้อยแล้ว ตามที่มีข่าวออกมาเมื่อต้นสัปดาห์ โดยหุ้นของ Uber จะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ใช้ตัวย่อในการซื้อขายคือ UBER

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Uber เตรียมยื่นเอกสารเพื่อเตรียมไอพีโอเข้าตลาดหุ้นภายในสัปดาห์นี้ โดยจะขายหุ้นเพิ่มทุนคิดเป็นมูลค่าราว 10,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 317,000 ล้านบาท ทำให้มูลค่ากิจการอยู่ประมาณ 90,000-100,000 ล้านดอลลาร์ และจะทำให้เป็นไอพีโอหุ้นเทคโนโลยีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ Alibaba ในปี 2014

ทั้งนี้มูลค่ากิจการของ Uber จากการเพิ่มทุนรอบล่าสุดอยู่ราว 76,000 ล้านดอลลาร์

ตามแผน Uber คาดว่าจะนำหุ้นของบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นได้ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

ที่มา: Reuters

เป็นไปตามข่าวลือเมื่อวันก่อน Uber ประกาศเข้าซื้อกิจการของคู่แข่งในพื้นที่ตะวันออกกลาง Careem มูลค่ารวม 3,100 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นเงินสด 1,400 ล้านดอลลาร์ และหุ้นกู้แบบแปลงสภาพ 1,700 ล้านดอลลาร์

Careem จะยังดำเนินงานภายใต้แบรนด์เดิม และทีมผู้ก่อตั้งจะยังบริหารงานต่อไปตามปกติ

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Uber เตรียมประกาศเข้าซื้อกิจการ Careem Network บริการแชร์รถโดยสาร ซึ่งเป็นคู่แข่งในพื้นที่ตะวันออกกลาง ด้วยมูลค่าดีลที่สูงถึง 3,100 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบแสนล้านบาท โดยดีลจะมีการประกาศเป็นทางการภายในสัปดาห์นี้

Careem มีมูลค่ากิจการล่าสุดราว 1,000 ล้านดอลลาร์ จากการเพิ่มทุนรอบล่าสุดเมื่อปี 2016 โดยมีผู้ลงทุนสำคัญคือกองทุนของเจ้าชายซาอุฯ Al-Waleed bin Talal และ Rakuten อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของญี่ปุ่น โดย Careem เป็นสตาร์ทอัพจากดูไบ ให้บริการแชร์รถโดยสารในโซนตะวันออกกลางใน 15 ประเทศ 90 เมือง

Uber รายงานผลการดำเนินงานของไตรมาสที่ 4 ปี 2018 กับนักลงทุน โดยยังคงขาดทุนอีก 865 ล้านดอลลาร์ แต่ถือว่าขาดทุนน้อยลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2018 ขณะที่รายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า และตัวเลขรายได้สุทธิ (เงินทั้งหมดที่จ่ายผ่านแพลตฟอร์ม) คือ 14,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11%

แม้จะขาดทุนเยอะมาก แต่สถานะการเงินของ Uber ก็ยังไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะยังมีเงินสดในมือเหลือราว 6,400 ล้านดอลลาร์

ในเอกสารชี้แจงผลประกอบการ Uber ได้พูดย้ำว่าบริการรถโดยสารยังคงครองส่วนแบ่งมากที่สุด ในพื้นที่ซึ่งยังดำเนินงานอยู่ และเริ่มขยายไปสู่บริการใหม่อย่าง Uber Freight, JUMP รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และยังคงโฟกัสการเติบโตของธุรกิจเดลิเวอรี่ Uber Eats ต่อเนื่อง

Uber อินเดีย ทดลองให้บริการ Uber Boat เรียกเรือโดยสารแบบ On-Demand ในเมืองมุมไบ

เราเห็น Uber ทดลองทำบริการยานพาหนะโดยสารในหลายรูปแบบ ล่าสุดที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย Uber ได้เปิดตัว Uber Boat ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานท้องถิ่น ให้บริการเรือสปีดโบ๊ทแบบออนดีมานด์ เพื่อเดินทางจากชายฝั่ง 3 จุดหลักคือ Gateway of India, Elephanta Islands และ Mandwa Jetty โดยเริ่มให้บริการไปตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

บริการเรียกเรือ Uber Boat มีเรือให้เลือก 2 แบบคือ Uber Boat (6-8 ที่นั่ง) และ Uber Boat XL (10 ที่นั่งขึ้นไป) ซึ่งผู้ใช้งาน Uber ในมุมไบจะเห็นสัญลักษณ์ Uber Boat แสดงขึ้นมา เพื่อเป็นตัวเลือกในการเดินทาง

Pew Research Center ได้ออกผลการศึกษาเกี่ยวกับการใช้บริการเรียกรถในสหรัฐฯ​ ตั้งแต่ปี 2015 โดยจากผลการศึกษาพบว่าคนรู้จักบริการเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นมาก จำนวนคนใช้บริการก็มากเช่นกัน แต่พบว่าผู้ที่ใช้งานเป็นประจำรายสัปดาห์นั้นยังคงมีจำนวนน้อย

สำหรับผลศึกษาของ Pew ระบุว่า เมื่อถามว่าเคยใช้บริการเรียกรถหรือไม่ ในปี 2015 ยังมีผู้ตอบว่าเคยเพียง 15% แต่ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 36% ในปีที่แล้ว ส่วนคำถามที่ว่าเคยได้ยินคำว่า “บริการเรียกรถ (ride-hailing)” หรือไม่ ในปี 2015 มีผู้ตอบว่าไม่เคยถึง 33% ในขณะที่ปีที่แล้วเหลือเพียง 3%

Uber เปิดตัว Uber Bus ในอียิปต์ โดยเริ่มให้บริการที่กรุงไคโรก่อนที่แรกของโลก เรียกรถผ่านแอพได้ตามปกติ เมื่อเรียกแล้ว ระบบ Uber จะตามหาคนที่อยู่ใกล้เคียงที่ไปทางเดียวกัน เพื่อแชร์ค่าโดยสารกันได้ไม่ต้องจ่ายแพง ซึ่งเหมือนกับ Uber Pool ผู้โดยสารใช้ QR Code ในการเช็กอินว่าขึ้นรถแล้ว และจ่ายค่าโดยสารได้ด้วย

Uber ทดลองบริการ Uber Bus ในกรุงไคโรมาตั้งแต่เดือนกันยายนแล้ว และยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า Uber จะขยายบริการนี้ไปยังเมืองไหนต่อไป