หลายคนแถวนี้คงจำได้เมื่อครั้งเว็บเครือข่ายสังคม Multiply ประกาศเปลี่ยนไปเน้นการทำอีคอมเมิร์ซ โดยทำตลาดเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และปิดให้บริการเขียนบล็อก ฝากรูปทั้งหมด ล่าสุด Multiply ยกธงขาวแล้วครับ
Multiply ประกาศว่าระบบทั้งหมดจะปิดให้บริการในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ และยุติการดำเนินธุรกรรมทั้งหมดในวันที่ 31 พฤษภาคม โดยช่วงเวลาดังกล่าวบริษัทจะจัดการรายการซื้อ-ขายคงค้างทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่ามีการจ่ายเงินและรับสินค้าครบถ้วน
Google ซุ่มทำระบบขายของผ่านอินเทอร์เน็ตแบบส่งสินค้าด่วนภายใต้ชื่อ Google Shopping Express
หัวใจสำคัญของบริการใหม่นี้ คือการส่งสินค้าด่วนถึงมือผู้รับภายในวันเดียวกันกับที่มีการสั่งซื้อ โดยในปัจจุบันมีผู้ที่ให้บริการลักษณะนี้อยู่ก่อนแล้วหลายรายด้วยกัน อาทิเช่น Amazon Prime, eBay Now, Instacart และ Get It Now เป็นต้น
หลังจากกูเกิลปล่อยวิดีโอโชว์การใช้งาน Google Glass ได้ไม่กี่วัน ก็ดูเหมือนว่าใครหลายคนพร้อมจะทุ่มเงินเพื่อจะได้เป็นเจ้าของแว่นดังกล่าวก่อนคนอื่น เพราะราคาประมูลบนเว็บไซต์ eBay ขึ้นไปสูงถึง 15,000 ดอลลาร์ หรือ 10 เท่าของราคาปกติเลยทีเดียว แต่โชคร้ายที่ว่า eBay ได้ถอดรายการดังกล่าวออกจากเว็บเป็นที่เรียบร้อย
สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวของบริษัทไทยบนหน้า TechCrunch ที่อาจจะสะดุดตาหลายๆคน คือบริษัท ShopSpot ได้รับทุนมูลค่า 628,000 ดอลลาร์ (เกือบ 20 ล้านบาท) จาก SingTel Innov8 บริษัทในเครือ SingTel และ Jungle Ventures ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลสิงคโปร์
ShopSpot เป็นกลุ่มของคนทำงานไอทีที่ตัดสินใจมาทำงานร่วมกันสร้างโปรดักของตัวเองเป็นสตาร์ตอัพที่น่าสนใจ จากคนทำงานร่วมกันตัดสินใจมาทำบริการของตัวเอง และหาทางรับเงินทุนเพื่อให้บริการเป็นจริงขึ้นมาได้ วันนี้ Blognone จึงเชิญทีมงานมาพูดคุยกับเรากันครับ
Google ซื้อกิจการบริษัท Channel Intelligence ผู้ให้บริการติดตามข้อมูลการขายสินค้าออนไลน์ ด้วยเงินสด 125 ล้านดอลลาร์
Channel Intelligence ให้บริการติดตามข้อมูลการขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งครอบคลุมสินค้านานาประเภท ซึ่งการซื้อกิจการโดย Google ในครั้งนี้ ก็เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Google Shopping ซึ่งเป็นบริการขายของออนไลน์ที่ Google ให้บริการอยู่นั่นเอง
ในปัจจุบัน Amazon ถือเป็นเจ้าตลาดของระบบร้านค้าออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้มักเข้าไปเลือกดูสินค้าจาก Amazon และค้นหาข้อมูลต่างๆ ของสินค้าจากภายใน Amazon โดยตรง ซึ่งการที่ผู้ใช้ไม่พึ่งบริการค้นหาข้อมูลของ Google ทำให้ Google เสียโอกาสในการขายโฆษณาจากพฤติกรรมผู้ใช้งานดังกล่าว
Facebook เปิดตัวบัตรของขวัญแบบใหม่ที่เรียกว่า "Facebook Card" ซึ่งจะต่างไปจากระบบบัตรของขวัญทั่วไปเล็กน้อย
หลักการทำงานคือเราต้องเข้าไปซื้อ "เครดิตของขวัญ" บน Facebook ให้กับเพื่อนตามต้องการ โดยเราเป็นฝ่ายจ่ายเงินด้วยวิธีปกติ (เช่น บัตรเครดิต) ฝั่งของเพื่อนเราจะได้รับ Facebook Card ทางไปรษณีย์ จากนั้นค่อยนำบัตร Facebook Card ไปแลกเป็นของขวัญในมูลค่าที่กำหนดกับร้านค้าที่ร่วมรายการ
ในกรณีที่เพื่อนเราได้รับบัตร Facebook Card มาแล้ว ถ้าหากเขาได้รับ "เครดิตของขวัญ" เพิ่มเติม (ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม) ก็สามารถใช้บัตรใบเดิมได้เลย โดยบัตรหนึ่งใบสามารถสะสมเครดิตจากร้านค้าหลายๆ แห่งได้พร้อมกัน
ในเบื้องต้น Facebook Card ยังให้บริการเฉพาะในสหรัฐเท่านั้น
eBay รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของปี 2012 มีรายได้รวม 4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 927 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17%
กูเกิลเปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Zavers (อ่านออกเสียงเหมือน Savers) เป็นระบบคูปองส่วนลดที่ผู้บริโภคสามารถเซฟใส่โทรศัพท์มือถือไปใช้ซื้อสินค้าในร้านค้าจริงๆ ได้
ในแง่ของผู้ใช้งานคงไม่มีอะไรต่างไปจากแอพคูปองส่วนลดที่มีมากมายในตลาด แต่เป้าหมายจริงๆ ของ Zavers คือร้านค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าทั้งหลาย ที่ยังขาดระบบหลังบ้านในการจัดการคูปอง (เช่น การเคลมคูปองระหว่างร้านค้ากับผู้ผลิตสินค้า) ให้มาใช้ระบบของ Zavers ทั้งหมด
กูเกิลบอกว่าจุดเด่นของ Zavers คือสถิติการใช้คูปองแบบเรียลไทม์ และระบบความปลอดภัยป้องกันการปลอมคูปอง ปัจจุบันกูเกิลเริ่มมีพันธมิตรเป็นเครือร้านค้าปลีกในสหรัฐใช้งานบ้างแล้วจำนวนหนึ่ง
แม้ว่า eBay จะไปได้สวยกับแอพบนอุปกรณ์พกพาที่ช่วยเพิ่มรายได้มากขึ้นในปีนี้ และเพื่อปรับกลยุทธ์ในตลาดดังกล่าว ภายในปีหน้า eBay จะเลิกแสดงโฆษณาในแอพบนมือถือแล้ว
Devin Wenig ประธานฝ่ายการตลาดของ eBay บอกว่าโฆษณาในแอพนั้นทำลายประสบการณ์ใช้งานที่ดีบนหน้าจอขนาดเล็กของมือถือ แน่นอนว่ามันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
โฆษณาในแอพ eBay นั้นเพิ่งมีในปีนี้ และมีใน iPhone เท่านั้น การที่ eBay ออกมาบอกแบบนี้นอกจากประเด็นเรื่องประสบการณ์ใช้งานแล้ว น่าจะรวมถึงเงินที่ได้จากโฆษณาคงไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับรายได้หลักอย่างการขายสินค้าออนไลน์ที่ปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญ
IBM เผยผลสำรวจการซื้อสินค้าออนไลน์ช่วงเทศกาลลดราคาประจำปีในอเมริกาหรือ Black Friday พบว่าอัตราการซื้อสินค้าออนไลน์นั้นเพิ่มขึ้น 17.4% จากปีก่อน โดยทราฟฟิกในการซื้อสินค้าออนไลน์นี้ 24% มาจากอุปกรณ์พกพา ซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตราส่วน 14.3% ตัวเลขนี้ช่วยชี้ให้เห็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนไปนั่นเองครับ
บริษัทวิจัย Asymco ได้เจาะตัวเลข 24% ในส่วนทราฟฟิกการซื้อสินค้าออนไลน์บนอุปกรณ์พกพาพบว่า 13% มาจากสมาร์ทโฟน ขณะที่ 11% มาจากแท็บเล็ต เมื่อแยกย่อยที่ส่วนสมาร์ทโฟนพบว่า 2 ใน 3 มาจาก iOS ที่เหลือเป็น Android ส่วนบนแท็บเล็ตนั้น iPad กินส่วนแบ่งถึง 88% ทำให้ภาพรวมแล้วทราฟฟิกการซื้อสินค้าจากอุปกรณ์พกพามาจาก iOS ถึง 77% ขณะที่ Android คิดเป็น 23%
พักหลังๆ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของ Amazon ในการขยายพรมแดนกิจการมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่หันมาทำ Kindle ไปจนถึงมีบริการ Cloud computing เป็นของตนเอง สำหรับเว็บไซต์ของ Amazon เองก็ไม่ได้ขายสินค้าเฉพาะหนังสืออย่างเดียวมานานแล้ว เพราะมีของอย่างอื่นขายด้วยเช่นเดียวกัน
ล่าสุด Amazon เปิดขาย "ไวน์" ซึ่งสั่งจากไร่ไวน์แล้วส่งตรงถึงบ้านลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา แบบเดียวกับเว็บไซต์ขายไวน์อื่นๆ ที่มีอยู่ในสหรัฐอเมริกา เช่น Wine.com โดยคิดค่าส่งที่ USD9.99 (ประมาณสามร้อยบาท) ต่อหกขวด ให้บริการส่งเป็นบางรัฐเท่านั้น เนื่องด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ของแต่ละรัฐที่แตกต่างกัน
หลังจากลือมานานว่า Facebook จะเพิ่มปุ่ม 'Want' ให้กับสินค้าและบริการ ล่าสุดได้รับการยืนยันแล้วว่าจริง โดยพร้อมกันนี้ทาง Facebook ยังทดสอบปุ่ม 'Collect' และปุ่ม 'Like' (แบบใหม่) ซึ่งทั้งหมดนี้จะเห็นได้โดยผู้ใช้บางส่วนเท่านั้น
Facebook รุกเข้าสู่ตลาดค้าปลีก เปิดตัว Facebook Gifts ขายสินค้าจริงๆ บนหน้าวอลล์ ให้ผู้ใช้สามารถซื้อของขวัญแล้วมอบให้เพื่อนและคนรู้จักได้
การทำงานของ Facebook Gifts คือเราเข้าไปซื้อของขวัญให้เพื่อน (ซึ่งเป็นระบบอีคอมเมิร์ซธรรมดา) เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย เพื่อนของเราจะได้รับแจ้งว่าเราส่งของขวัญให้เขา ซึ่งผู้รับของขวัญสามารถระบุที่อยู่สำหรับจัดส่งที่ตัวเองสะดวก
Facebook Gifts ถือเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์ที่น่าสนใจ แทนที่จะอวยพรกันในโอกาสสำคัญต่างๆ Facebook ก็เตรียมรายการของขวัญไว้รอให้เราเลือกซื้อไปพร้อมกัน เบื้องต้นจะยังเปิดให้เฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐเท่านั้น
SAP ยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์องค์กรจากเยอรมนี ประกาศซื้อกิจการบริษัท Ariba ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจซื้อ-ขาย ซัพพลายเชน และการจัดซื้อระดับองค์กรผ่านกลุ่มเมฆ
การซื้อกิจการรอบนี้ SAP จ่ายเงินหุ้นละ 45 ดอลลาร์ (สูงกว่าราคาหุ้นของ Ariba อยู่ 20%) คิดเป็นมูลค่ารวม 4.3 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบัน Ariba มีรายได้ปีละ 444 ล้านดอลลาร์ มีกำไร 33.3 ล้านดอลลาร์ มีพนักงาน 2,600 คน
SAP แถลงข่าวว่า Ariba จะช่วยให้ SAP เป็นผู้นำด้านการพาณิชย์บนกลุ่มเมฆ ครองตลาดเครือข่ายการทำธุรกิจแบบ B2B เนื่องจาก Ariba เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดนี้ และจะต่อยอดผลิตภัณฑ์ของ Ariba เข้ากับฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลของ SAP ต่อไป
Facebook ยังเดินหน้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดซื้อบริษัท TagTile ซึ่งทำระบบสะสมแต้มบนมือถือ (mobile loyalty) สำหรับร้านค้าต่างๆ
ระบบของ TagTile จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือแอพที่ติดตั้งบนมือถือของลูกค้า อีกส่วนคืออุปกรณ์เป็นกล่องสีขาวเล็กๆ นำไปตั้งที่ร้านค้า อุปกรณ์ตัวนี้มีเซ็นเซอร์ตรวจจับมือถือของลูกค้าที่ลงแอพ TagTile เอาไว้ และอ่านค่าเพื่อคำนวณแต้มสะสมได้ (แนวคิดจะเหมือนกับ NFC แต่ไม่ใช่ NFC และไม่บอกว่าใช้เทคโนโลยีอะไร)
หลังการขายกิจการ TagTile จะยังให้บริการลูกค้าเก่าต่อไป แต่จะไม่รับลูกค้ารายใหม่แล้ว ส่วน Facebook คาดว่าจะนำเทคโนโลยีของ TagTile ไปใช้กับระบบช่วยขายของ Facebook Offer ของตัวเอง
หลังจากประกาศรับพนักงานสำหรับสาขาประเทศไทยช่วงปลายปีก่อน บริษัทขายดีลรุ่นบุกเบิกและยังคงเป็นผู้นำในตลาดโลก Groupon ได้เปิดสาขาประเทศใหม่ในประเทศไทยโดยให้บริการผ่านเว็บ www.mygroupon.co.th
เว็บเครือข่ายสังคมที่ปัจจุบันไปเน้นความสำคัญที่บริการซื้อขายสินค้าออนไลน์อย่าง Multiply ประกาศว่าบริษัทเตรียมย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่ที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย จากปัจจุบันที่อยู่ในเมือง Boca Raton รัฐฟลอริด้า เนื่องจากฐานผู้ใช้งานปัจจุบันของ Multiply ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตขึ้นอย่างมาก จึงมีความเหมาะสมมากกว่าที่จะย้ายสำนักงานไปอยู่ใกล้กับผู้ใช้งานให้มากขึ้น
ซีอีโอ Peter Pezaris กล่าวว่าปัจจุบัน Multiply มีผู้ให้บริการร้านค้าออนไลน์มากกว่า 100,000 รายแล้วซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทยและเวียดนาม ซึ่งอินโดนีเซียถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ของ Multiply
เราเคยรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่าเว็บขายดีลรายใหญ่ของโลก Groupon มีแผนขยายสาขามาในประเทศไทย วันนี้มีความคืบหน้าเล็กน้อย โดย The Next Web พบว่า Groupon ได้ประกาศรับสมัครงานในบางตำแหน่งเพิ่มเติมที่เว็บ JobsDB ในชื่อบริษัท Thai Groupon Ltd.
มีรายงานว่า Groupon ได้ลงประกาศรับสมัครงานใน LinkedIn ตำแหน่ง Senior Management โดยสถานที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งหมายความว่าเว็บ Social Commerce หรือที่คนไทยเรียกกันว่าเว็บขายดีลอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Groupon พร้อมขยายสู่ประเทศไทยแล้ว
ข่าวดีสำหรับผู้ที่ซื้อของผ่านโลกออนไลน์มาแล้ว เมื่อกูเกิลเปิดตัวโครงการนำร่องในชื่อ 'Trusted Stores' ที่จะบอกข้อมูลสำคัญๆ ที่มีผลต่อการเลือกซื้อของในร้านค้าออนไลน์นั้น อาทิเวลาในการส่งของ การดูแลลูกค้า เป็นต้น
โดยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนี้จะถูกเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการส่งของ และบริการ โดยจะได้รับสัญลักษณ์ประจำโครงการที่ลูกค้าสามารถกดเพื่อดูข้อมูลดังกล่าวได้ หน้าตาเป็นอย่างไรดูได้ท้ายข่าวครับ
Amazon ได้เริ่มทดสอบหน้าแรกของเว็บซึ่งถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดแล้ว ผู้ที่เข้ามาในเว็บบางรายจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้แล้วโดยทาง Amazon ไม่ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าจะมีผลกับผู้เข้าเว็บทุกคนเมื่อใด
การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สังเกตได้คือหน้าแรกของเว็บสะอาดขึ้น มีช่องเสิร์ชที่ใหญ่ขึ้น มีปุ่มแยกหมวดสินค้าน้อยลง คงเหลือเพียงสินค้ากลุ่มที่จำหน่ายในรูปแบบดิจิตอลอย่างหนังสือ เพลง เป็นต้น ส่วนหมวดสินค้าทั้งหลายที่เป็นแบบจับต้องได้อย่างเสื้อผ้า ของเล่น อุปกรณ์กีฬานั้นถูกยุบรวมไปไว้มุมซ้ายบนทั้งหมด
กูเกิลออกแอพตัวใหม่ชื่อ Google Catalogs ซึ่งอธิบายง่ายๆ ว่ามันคือแคตตาล็อกสินค้าเวอร์ชันแท็บเล็ต
กูเกิลจับมือกับแบรนด์ดังและห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง นำข้อมูลสินค้ามาใส่ใน Google Catalog รูปแบบการใช้งานเหมือนกับแคตตาล็อกเวอร์ชัน PDF ทั่วไป แต่เพิ่มฟีเจอร์เข้ามาหลายอย่างตามสไตล์กูเกิล เช่น
วงการเว็บ social commerce ในไทยเกิดความคึกคักทันทีเมื่อ LivingSocial เว็บ group-buying รายใหญ่ในอเมริกาที่เป็นรองแค่ Groupon ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ Ensogo เว็บขายดีลรายใหญ่ที่สุดในไทยแล้ว โดยการเข้าซื้อนี้ประกอบด้วยเว็บขายดีล Ensogo ในไทย ฟิลิปปินส์, DealKeren เว็บขายดีลในเครือ Ensogo ที่อินโดนีเซีย และ GoNabit เว็บขายดีลในโซนตะวันออกกลาง
เป็นข่าวเมื่อต้นเดือนครับ ผมพลาดข่าวนี้ไปได้ไงไม่รู้ แต่ไหนๆ มีข่าวอัพเดตก็เอามาลงเสียหน่อยครับ
eBay ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซ เข้าซื้อกิจการบริษัท Magento ซึ่งทำซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซแบบโอเพนซอร์ส (บ้านเราก็นิยมใช้กันเยอะอยู่) โดย eBay เคยซื้อหุ้นบางส่วนของ Magento ตั้งแต่ปี 2010 แล้ว แต่รอบนี้คือซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท
มูลค่าของการซื้อกิจการไม่เปิดเผย แต่ TechCrunch รายงานว่า 180 ล้านดอลลาร์ ส่วน Magento มีพนักงาน 290 คน
แม้จะเป็นผู้ค้ารายใหญ่ในอินเทอร์เน็ต แต่พอเป็นสินค้ามือสองแล้วอเมซอนก็ยังตามหลังอีเบย์อยู่มาก แต่อาจจะอีกไม่นานเมื่อมีการเปิดตัวโครงการ Amazon Trade-In แล้วในวันนี้