เว็บไซต์ ZDNet เผยข้อมูลวงในของไมโครซอฟท์ว่า ไมโครซอฟท์เตรียมรีแบรนด์บริการ Windows Azure เป็น Microsoft Azure โดยคาดการณ์กันว่า ทางไมโครซอฟท์จะประกาศอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ตามเวลาของสหรัฐอเมริกา (ประมาณช่วงกลางคืนของวันที่ 25 มีนาคมในประเทศไทย) และจะมีการพูดถึงรายละเอียดในวันที่ 3 เมษายนนี้ในงาน BUILD 2014
ข่าวนี้นำเสนอทิศทางการพัฒนาเกมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะส่วนของ backend เกมที่เริ่มย้ายขึ้นไปบนกลุ่มเมฆครับ
ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่าเกม Titanfall เป็นเกมที่เน้นมัลติเพลเยอร์ ซึ่งเกมมัลติเพลเยอร์ที่ผ่านๆ มา เลือกใช้เซิร์ฟเวอร์ 2 แนวทางคือ ใช้เครื่องของผู้เล่นสักคนเป็นเซิร์ฟเวอร์ (player host ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องเกมหลุดถ้าเครื่องของผู้เล่นคนนั้นมีปัญหาการเชื่อมต่อ) หรือบริษัทวางระบบเซิร์ฟเวอร์เอง (dedicated server ซึ่งมีปัญหาเรื่องต้นทุนในการดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องแบกรับ และ ping time ที่ช้าเกินไปสำหรับผู้เล่นที่อยู่คนละภูมิภาคกับเซิร์ฟเวอร์)
เว็บ Infoworld ออกรายงานวัดประสิทธิภาพของบริการประมวลผลจากเซิร์ฟเวอร์ในกลุ่มเมฆ เพื่อวัดประสิทธิภาพราคาของแต่ละราย โดยวัดจากสามเจ้าหลัก ได้แก่ อเมซอน, กูเกิล, และไมโครซอฟท์
เครื่องที่ใช้ของทั้งสามเจ้าแบ่งเป็น (รายการเครื่องเป็น Amazon EC2, Google Compute Engine, และ Windows Azure ตามลำดับ)
เครื่องประเภท 8 คอร์ ได้แก่ m3.2xlarge แรม 30GB, n1-standard-8 แรม 30GB, Extra Large VM แรม 14GB
ทั้งหมดทดสอบด้วย Dacapo Benchmark ชุดทดสอบจาวา ผลทดสอบคือ
หลังจากไมโครซอฟท์ร่วมกับออราเคิล รองรับ Oracle Database และ WebLogic บน Windows Azure เมื่อกลางปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ก็ประกาศว่าจะเริ่มให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 มี.ค. นี้ และจะเริ่มคิดค่าไลเซนส์รวมเข้ากับค่าใช้บริการ Windows Server VM
สำหรับการคิดค่าใช้บริการนั้นจะขึ้นกับจำนวนนาทีทั้งหมดที่ VM รันซอฟต์แวร์ของออราเคิลใช้งานไป (license-included Oracle VM) รายละเอียดค่าใช้บริการเป็นรายชั่วโมงดูได้จากเว็บไซต์ Windows Azure ตามที่มาของข่าว และหากทำสัญญาแบบ 6 หรือ 12 เดือน ระหว่าง 12 มี.ค. - 30 มิ.ย. ปีนี้ จะได้ส่วนลด 20-32%
จากตอนที่แล้ว “Windows Azure ตอนที่ 3 การติดตั้ง Drupal บน Windows Azure Web Sites” นั้น จะไม่ขอพูดในบางส่วนที่เป็นการอธิบายซ้ำซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่ 1 – 30 ซึ่งจะใช้การตั้งค่าที่เหมือนกัน (ใช้ในการอ้างอิงได้ทุก CMS ของ PHP ด้วยซ้ำไป)
โดยจากขั้นตอนที่ 1- 30 จากบทความที่แล้ว เราจะมีข้อมูลดังต่อไปนี้
ในตอนที่ 3 นี้ เราจะมาพูดถึงการติดตั้ง Drupal บน Windows Azure Web Sites กัน โดยต้องย้อนกลับไปสักหน่อยว่า Windows Azure Web Sites เป็นบริการแพลตฟอร์ม (PaaS) สำหรับให้เรานำเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นมาไปไว้บนบริการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ ซึ่งจะมีระบบฐานข้อมูล พื้นที่ และระบบเครือข่ายที่ถูกติดตั้งไว้รองรับการใช้งานไว้พร้อม เรามีหน้าที่เพียงนำระบบที่พัฒนาและฐานข้อมูล ขึ้นไปติดตั้งและใช้งานได้ทันที
โดยสำหรับ Drupal นั้นสามารถติดตั้งและใช้งาน Windows Azure Web Sites ได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับแต่งตัวโค้ดพื้นฐานใดๆ ซึ่งใน Windows Azure Web Sites นั้นได้รองรับ PHP ทั้ง versions ที่ 5.3 และ 5.4 ผ่าน PHP/FastCGI บน Internet Information Services (IIS) ใน Windows Server
หลังจากอเมซอนประกาศลดราคา S3 และ EBS ลงอีกรอบ มีผล 1 ก.พ. นี้ไปไม่นาน ไมโครซอฟท์ก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะตั้งราคาบริการบน Windows Azure อย่าง บริการประมวลผล พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และแบนด์วิธ ให้เท่ากับ Amazon Web Services โดยประกาศลดราคา Block Blobs Storage และ Disks/Page Blobs Storage ลงสูงสุดถึงร้อยละ 20 สำหรับการให้บริการแก่ภูมิภาค US East Region และให้ราคาใหม่มีผลต่อการให้บริการแก่ภูมิภาคอื่นทั่วโลก ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 13 มี.ค. เป็นต้นไป
The Register ยังคงเกาะติดความเห็นของผู้บริหารบริษัทต่างๆ ในประเด็นการใช้เซิร์ฟเวอร์ ARM ตอนนี้เป็นการสัมภาษณ์ Mike Neil ผู้จัดการ Windows Azure
Neil ระบุว่าแม้เซิร์ฟเวอร์ ARM จะเป็นเทคโนโลยีใหม่แต่ยังหาความแตกต่างไม่ได้ และ
งานที่เหมาะจะรันบน ARM เป็นความท้าทายใหญ่ของเซิร์ฟเวอร์ ARM เอง ขณะที่คุณค่าสำคัญของธุรกิจคือความต่อเนื่อง การทำฮาร์ดแวร์เฉพาะทางเพื่องานเฉพาะทางบางอย่าง (แบบที่ผู้บริหารของ Calxeda แนะนำ) เมื่อนำเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้เข้าสู่กองกลางของทรัพยากรแล้วจะไม่สามารถรับงานประเภทอื่นๆ ได้ ขณะที่ผู้ให้บริการส่วนมากมักพยายามสร้างกองกลางทรัพยากรขนาดใหญ่
บริษัทไมโครซอฟท์ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้บริการกลุ่มเมฆที่ชื่อ Windows Azure ให้แก่บริษัทอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ใช้งานบริการเหล่านี้เองด้วยเช่นกัน จากบทสัมภาษณ์ล่าสุด Scott Guthrie ซึ่งเป็นรองผู้บริหารระดับสูงของไมโครซอฟท์ที่ดูแลบริการ Windows Azure ได้ยืนยันแล้วว่า ขณะนี้ Skype ได้ย้ายการทำงานไปอยู่บน Windows Azure ที่เขาดูแลอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับบริการอื่นๆ ที่ทำงานบน Windows Azure ไปก่อนหน้านี้เท่าที่เปิดเผยคือ
ใน Windows Azure นั้น การคิดเงินในการใช้งานโดยทั่วไปนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ที่จำเป็นต้องนำมาคิดค่าบริการเกือบจะในทุกๆ บริการ ได้แก่
Compute
Windows Azure เป็นรูปแบบการให้บริการที่ให้ใช้การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (cloud computing) ที่สร้างขึ้น พัฒนา และบริหารโดยบริษัท Microsoft ซึ่งบริการทั้งหมดจะให้บริการภายในศูนย์ข้อมูล (data center) ของ Microsoft เองที่กระจายอยู่ทั่วโลกทั้งหมด 8 ศูนย์ข้อมูล ตั้งอยู่ใน 3 ทวีปด้วยกัน ซึ่งได้แก่
อเมริกา: ชิคาโก (North-central US), ซานอันโตนิโอ (South-central US), แคลิฟอร์เนีย (West US) และ เวอร์จิเนีย (East US)
เอเชีย: ฮ่องกง ประเทศจีน (East Asia) และสิงค์โปร์ (South East Asia)
ยุโรป: อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ (West Europe) และดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ (North Europe)
ไมโครซอฟท์ประกาศเปิดศูนย์ข้อมูลให้กับบริการ Windows Azure ในบราซิลภายในช่วงต้นปี 2014 หลังจากมีศูนย์ข้อมูลทั้งในเอเชีย, สหรัฐฯ, และยุโรป มาก่อนแล้ว
Azure นับเป็นบริการคลาวด์ที่มีศูนย์ข้อมูลให้เลือกมากที่สุดบริการหนึ่ง ศูนย์ข้อมูลที่มีการเปิดตัวก่อนหน้านี้เช่น ญี่ปุ่น, จีน, และออสเตรเลีย
ข้อดีสำคัญข้อหนึ่งของศูนย์ข้อมูลบราซิลคือมันใกล้สหรัฐฯ ทำให้สำหรับผู้ใช้ที่เลือกบริการเก็บข้อมูลข้ามทวีป (Geo Redundant Storage - GRS) จากสหรัฐฯ จะถูกสำรองข้อมูลไปยังบราซิลเป็นที่แรกก่อน และเลือกศูนย์ข้อมูลอื่นเป็นอันดับต่อไป
เราเห็นข่าวของอเมซอน (และตามด้วยกูเกิล) เปิดให้ส่งฮาร์ดดิสก์ไปเพื่อขนถ่ายข้อมูลเข้าบริการกลุ่มเมฆกันแล้ว คราวนี้ถึงคิวของไมโครซอฟท์บ้างครับ
ไมโครซอฟท์ตั้งชื่อบริการนี้ว่า Windows Azure Import/Export Service โดยหลักการก็คงไม่ต่างจากคู่แข่งมาก นั่นคือส่งฮาร์ดดิสก์ไปยังศูนย์ข้อมูลของไมโครซอฟท์ แล้วไมโครซอฟท์จะถ่ายข้อมูลลงบัญชี Windows Azure Storage ของเราให้ ที่พิเศษหน่อยคงเป็นว่าเราสามารถเข้ารหัสข้อมูลด้วย BitLocker ก่อนส่งฮาร์ดดิสก์ได้ (ป้องกันฮาร์ดดิสก์โดนขโมยหรือสูญหายระหว่างทางแล้วข้อมูลหาย) แล้วค่อยไปถอดรหัสปลายทางหลังไมโครซอฟท์นำข้อมูลเข้ามาให้แล้ว
ไมโครซอฟท์เคยประกาศแผนการพัฒนา Hadoop ไว้ตั้งแต่ปี 2011 วันนี้เวลาผ่านมาเกือบสองปี มันสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้วในชื่อ Windows Azure HDInsight
การเปลี่ยนแปลงของภาครัฐที่เริ่มมาซื้อบริการกลุ่มเมฆแทนการซื้อเซิร์ฟเวอร์และสร้างศูนย์ข้อมูลเองมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับบริการอื่นๆ ตอนนี้ไมโครซอฟท์ก็บุกมาตลาดนี้เต็มตัวแล้ว
ไมโครซอฟท์เพิ่งได้รับใบรับรอง FedRAMP ใบรับรองจากรัฐบาลกลางเพื่อยืนยันว่าผู้ให้บริการมีความปลอดภัยพอที่หน่วยงานรัฐ ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นสามารถซื้อบริการและนำข้อมูลของประชาชนไปวางได้
ช่วงหลังๆ เราเห็นบริการออนไลน์ชื่อดังมากมายรองรับการยืนยันตัวตนสองชั้น (two-step verification หรือบ้างก็เรียก multi-factor authentication) ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัย-แฮ็กบัญชีไปได้มาก
คำถามก็คือผู้สร้างบริการรายเล็กๆ ที่อยากมีระบบ multi-factor authentication บ้างจะต้องทำอย่างไร? ไมโครซอฟท์มีคำตอบให้กับเรื่องนี้ด้วยบริการ Windows Azure Multi-Factor Authentication
Windows Azure Multi-Factor Authentication ทำงานตรงไปตรงมาคือช่วยยืนยันตัวตนของผู้ใช้ผ่านอุปกรณ์พกพา โดยผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นการกดผ่านแอพ, SMS, หรือการรับสายโทรศัพท์ มันสามารถใช้งานได้กับแอพทุกชนิด ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแอพที่รันบน Azure เพียงอย่างเดียว
ไมโครซอฟท์ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ของ Windows Azure อีกหลายอย่าง สำหรับฟีเจอร์ใหญ่ๆ แบ่งได้เป็น 4 อย่างตามนี้ครับ
มันคือการใช้ฟีเจอร์ด้าน AlwaysOn Availability Group ของ SQL Server 2012 ขึ้นไป ที่ไมโครซอฟท์นำมาใช้กับแพลตฟอร์ม Windows Azure ด้วย
ไมโครซอฟท์ประกาศนโยบายด้านความปลอดภัยให้กับแอพบน store ของตัวเองทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ Windows Store, Windows Phone Store, Office Store, Azure Marketplace ว่าแอพที่ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องช่องโหว่ความปลอดภัยระดับ critical หรือ important ตามระบบเรตติ้งของไมโครซอฟท์เอง จะต้องอุดช่องโหว่ภายใน 180 วันหลังได้รับการแจ้งเตือน ถ้าช้ากว่านั้นไมโครซอฟท์จะเพิกถอนแอพจาก store ทันที
นโยบายนี้ครอบคลุมถึงแอพของไมโครซอฟท์เองบน store ด้วย ซึ่งไมโครซอฟท์อธิบายเหตุผลของนโยบายนี้ว่าต้องการยกระดับความปลอดภัยของ store ทั้งหมด และสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่าแอพจาก store ของไมโครซอฟท์จะปลอดภัย
ที่งาน TechEd Europe 2013 ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารไมโครซอฟท์คนที่ขึ้นพูดบนเวที Keynote หลักของงาน (เกิดมาก็เพิ่งเคยสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับนี้เหมือนกันครับ ตื่นเต้นๆ) นั่นคือคุณ Brad Anderson ตำแหน่งเป็น Corporate Vice President ในส่วนของ Windows Server and System Center (อธิบายง่ายๆ ว่าเป็นคนคุมสายงาน Windows Server ทั้งหมดนั่นล่ะครับ)
บทสัมภาษณ์นี้จึงเป็นการสนทนากับคุณ Brad ถึงวิธีคิด ยุทธศาสตร์ แนวทางต่างๆ ของไมโครซอฟท์ต่อผลิตภัณฑ์สายเซิร์ฟเวอร์ ศูนย์ข้อมูล รวมไปถึงกลุ่มเมฆ ทั้งปัจจุบันและอนาคตนั่นเอง (ควรอ่าน สัมภาษณ์ผู้บริหารไมโครซอฟท์ Zane Adam วาดยุทธศาสตร์ไอทีสำหรับยุคกลุ่มเมฆ ประกอบ)
ผมมาร่วมงาน TechEd Europe 2013 งานรวมแอดมินองค์กรสายไมโครซอฟท์ ซึ่งไมโครซอฟท์ใช้เป็นเวทีเปิดตัวผลิตภัณฑ์สายเซิร์ฟเวอร์ชุดใหญ่ (รวมถึง SQL Server 2014 ที่เขียนไปแล้ว)
ภาพรวมของงานกล่าวถึงวิสัยทัศน์ "Cloud OS" ของไมโครซอฟท์ ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์สายเซิร์ฟเวอร์องค์กร ที่ทำงานได้เหมือนกันทุกประการไม่ว่าจะรันบนเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร, กลุ่มเมฆของไมโครซอฟท์ หรือกลุ่มเมฆของผู้ให้บริการรายอื่นๆ
สิ่งที่ไมโครซอฟท์พูดถึงในงานมี 4 มิติที่ประกอบกันเป็น Cloud OS ตามภาพด้านล่าง
ข่าวความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์และออราเคิลประกาศออกมาเป็นทางการแล้วในวันนี้ โดยออราเคิลจะรับรองการทำงานซอฟต์แวร์ของตัวเองหลายตัวบน Hyper-V และ Azure แม้ทุกวันนี้อาจจะมีผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ในรูปแบบนี้อยู่แล้ว แต่การรับรองเป็นทางการนี้ก็ทำให้ใช้ไลเซนส์ในแบบ license mobility ทำให้ย้ายซอฟต์แวร์ไปมาระหว่างศูนย์ข้อมูลภายในและศูนย์ข้อมูลภายนอกที่ใช้บริการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆได้
ความร่วมมือสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คืือ ไมโครซอฟท์จะมีบริการ Oracle Database, Oracle WebLogic, รวมถึง Oracle Linux ไว้บน Azure สำหรับลูกค้าที่ไม่มีไลเซนส์ของออราเคิลอยู่แล้วก็สามารถเช่าใช้งานได้ทันที
Windows Azure กลายเป็นแบรนด์ใหญ่สำหรับบริการกลุ่มเมฆสารพัดชนิดของไมโครซอฟท์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Azure Mobile Services บริการ "แบ็คเอ็นด์บนกลุ่มเมฆ" สำหรับแอพมือถือที่ไม่ยากลงทุนทำเซิร์ฟเวอร์เอง
ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศขยายฟีเจอร์ของ Azure Mobile Services อีกหลายอย่าง ดังนี้
ไมโครซอฟท์ปรับเปลี่ยนวิธีคิดเงินค่าใช้งาน Windows Azure ใหม่หลายอย่าง ดังนี้
ไมโครซอฟท์มีทีม Digital Crimes Unit ที่มีผลงานทลายกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ติดโทรจัน (botnet) มาแล้วหลายครั้ง (ข่าวเก่า 1, ข่าวเก่า 2)
ทีมนี้ของไมโครซอฟท์ทำงานร่วมกับ ISP และหน่วยงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Computer Emergency Response Teams - CERT) ทั่วโลก มีการแชร์ข้อมูล botnet ระหว่างกันอยู่เสมอ แต่กระบวนการแชร์ข้อมูลยังล้าสมัย (ผ่านอีเมล) แถมการตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลทั่วโลก (วันละหลายร้อยล้านครั้ง) ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ไมโครซอฟท์เปิดบริการ Windows Azure เวอร์ชันพรีวิวในประเทศจีน โดยดำเนินการผ่านบริษัท 21Vianet ในเซี่ยงไฮ้
งานนี้ไมโครซอฟท์คุยว่าเป็นบริษัทข้ามชาติรายแรกที่เข้ามาเปิดบริการ public cloud ในประเทศจีนได้สำเร็จ แซงหน้าคู่แข่งรายอื่นๆ ทั้งอเมซอนและกูเกิลนั่นเอง นอกจากบริการในจีนแล้ว ไมโครซอฟท์ยังขยายพื้นที่ตั้งศูนย์ข้อมูลของ Azure ในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเพิ่มเติม แสดงให้เห็นว่าไมโครซอฟท์ต้องการเอาจริงกับ Azure ในเอเชียนั่นเอง
สตีฟ บัลเมอร์ ยังประกาศว่าในปีหน้าไมโครซอฟท์จะจ้างพนักงานคนจีนเพิ่มคนอีก "หลายพันคน" เพื่อมาพัฒนาซอฟต์แวร์กลุ่มเมฆและสมาร์ทโฟน (ปัจจุบันไมโครซอฟท์มีพนักงานในจีนประมาณ 4,000 คน)