อีกประเด็นที่ Mark Zuckerberg พูดในงานสัมมนาของ The New York Times คือการลงทุนใน metaverse ที่หลายคนมองว่าเขาทุ่มกับเรื่องนี้มากไป
Zuckerberg อธิบายว่าเงินลงทุน 80% ของบริษัทยังใช้กับธุรกิจหลัก ได้แก่ Facebook, Instagram, WhatsApp, Messenger และบริการโฆษณาต่างๆ ส่วนเงินที่ลงกับ Reality Labs ที่เกี่ยวกับ VR/AR มีเพียง 20% เท่านั้น เขาบอกว่าบริษัท Meta จะยังโฟกัสกับธุรกิจด้านโซเชียลไปอีกพักใหญ่ๆ จนกว่า metaverse จะเติบโตมากพอ
เขาบอกว่าเราสามารถเถียงกันได้ว่า 20% เป็นตัวเลขที่มากไปหรือไม่ แต่ก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่ Meta ทำตอนนี้ยังเป็นเรื่องโซเชียลเป็นหลัก
วิศวกร Meta เขียนบล็อกเล่าถึงประสบการณ์การเปลี่ยนโปรโตคอลซิงก์เวลาข้ามเซิร์ฟเวอร์จากเดิมที่ใช้ Network Time Protocol (NTP) มาเป็น Precision Time Protocol (PTP) เพื่อซิงก์เวลาข้ามเซิร์ฟเวอร์ให้ตรงกันระดับนาโนวินาที จากเดิมที่ NTP นั้นสามารถซิงก์เวลาให้ตรงกันได้ระดับมิลลิวินาทีเท่านั้น
เวลาที่แม่นมากๆ จำเป็นต่องานหลายประเภท เช่น การติดตามข้อมูลต่างๆ (event tracing) หรือการชดเชย latency ที่ผู้ใช้จะได้รับข้อมูลในกรณีการแสดงข้อมูล Metaverse ไปจนถึงการรันปัญญาประดิษฐ์โดยซิงก์การทำงานข้ามเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก
Meta เขียนบล็อครายงานถึงกระบวนการเร่งการรีวิวโค้ดภายในบริษัท กระบวนการรีวิวโค้ดที่กินเวลานานกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โปรแกรมเมอร์ทำงานไม่มีความสุข จึงพัฒนาเครื่องมือรีวิวโค้ดให้มีฟีเจอร์ใหม่เพื่อให้คนเข้ามารีวิวได้เร็วขึ้น และทีมงานเก็บข้อมูลระยะเวลาที่ใช้รีวิว (time in review) ว่าแพตช์แต่ละชุดใช้เวลารีวิวนานแค่ไหน และทีมงานพบว่าแม้โดยทั่วๆ ไปแล้วคนรีวิวโค้ดจะเข้ามารีวิวกันค่อนข้างเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่แพตช์บางส่วนกับกินเวลานานเป็นวัน
Facebook แจ้งผู้ใช้งานว่า จะยกเลิกการแสดงข้อมูลบางอย่างบนหน้าโปรไฟล์ของผู้ใช้ ได้แก่ มุมมองทางศาสนา มุมมองทางการเมือง ที่อยู่ และ ความสนใจทางเพศ (Sexual Orientation) ของผู้ใช้งาน โดยจะมีผลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม และ Matt Navarra นักวิเคราะห์สายโซเชียลมีเดียเป็นคนแรกที่สังเกตุเห็น Facebook ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ที่กรอกข้อมูลเหล่านี้บนหน้าโปรไฟล์
Facebook ปรับเปลี่ยนการแสดงข้อมูลในหน้าโปรไฟล์ส่วนหนึ่งอาจมาจากที่ผู้ใช้งานเริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวลงบนแพลตฟอร์มออนไลน์
ที่มา: TechCrunch
เอกสารภายในบริษัทและแหล่งข่าวของ Wall Street Journal ระบุว่า Meta ได้จัดการกับพนักงานกว่า 20 รายด้วยการไล่ออกหรือลงโทษทางวินัยเมื่อปีที่แล้ว หลังพบว่าพนักงานควบคุมบัญชีผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram ขายบัญชีผู้ใช้ให้กับแฮ็กเกอร์
พนักงานที่ถูกลงโทษบางส่วนทำงานเป็นผู้ดูแลศูนย์บริการของ Meta และได้นำข้อมูลบัญชีผู้ใช้ออกไปให้บุคคลที่สามผ่านทางระบบที่เรียกเป็นการภายในบริษัทว่า Oops ย่อมาจาก Online Operations ที่ Meta อนุญาตให้พนักงานสามารถเข้าสู่ระบบเพื่อจัดการกับข้อมูลผู้ใช้ได้ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการความช่วยเหลือ เช่น ต้องการรีเซ็ตรหัสผ่าน หรือเมื่อบัญชีถูกแฮ็ก
มีรายงานว่า Meta ได้แจ้งกับพนักงานในการประชุมหลังจากประกาศปลดพนักงาน ว่าบริษัทจะปิดแผนกหน้าจออัจฉริยะ Portal และแผนกที่กำลังพัฒนาสมาร์ทวอทช์ ที่เดิมมีกำหนดเปิดตัวต้นปีหน้า
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า Meta เริ่มลดบทบาทของ Portal โดยเปลี่ยนมาขายตลาดลูกค้าองค์กรแทน ขณะที่สมาร์ทวอทช์โค้ดเนม Milan มีข่าวตั้งแต่ตอนนั้นว่าอาจเลิกแผนการพัฒนา โดยข้อมูลล่าสุดบอกว่า Portal นั้นจะปิดแผนกทั้งหมดรวมถึงตลาดลูกค้าองค์กร
ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าในพนักงาน 11,000 ของ Meta ที่ถูกปลดนั้น 46% เป็นฝ่าย Tech โดยไม่มีตัวเลขว่าเป็นส่วนที่พัฒนาฮาร์ดแวร์เท่าใด และอีก 54% ที่เหลือเป็นฝ่ายธุรกิจ
Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศปลดพนักงาน 11,000 รายหรือราว 13% ของพนักงานทั้งหมดของบริษัท พร้อมกล่าวว่าเขามองโลกในแง่ดีเกินไปเรื่องผลกระทบของโควิด-19 ต่อการเติบโตของบริษัทเพราะอีคอมเมิร์ชเติบโตสูงมากในช่วงที่มีการกักตัวทำให้ Meta เพิ่มการลงทุนอีก
Zuckerberg กล่าวว่าบริษัทจะยังคงรักษาพนักงานในส่วนที่มีความสำคัญต่อบริษัทอย่างฝ่าย AI โฆษณา และจะยังให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนา Metaverse ส่วนทีมทรัพยากรบุคคลจะได้รับผลกระทบอย่างมาก การปลดพนักงานครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่สุดตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2004
Wall Street Journal รายงานว่าบริษัท Meta จะปลดพนักงานครั้งใหญ่ "หลายพันคน" (many thousands) ในสัปดาห์นี้ ข่าวอย่างเป็นทางการน่าจะแจ้งในวันพุธนี้ (9 พ.ย.)
ถ้าเป็นจริง การปลดพนักงานรอบนี้จะถือเป็นการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดของ Meta (มีพนักงานประมาณ 87,000 คน) โดยมีสัญญาณมาก่อนเมื่อเดือนกันยายนที่ Mark Zuckerberg สั่งหยุดรับพนักงานใหม่ และหาวิธีลดค่าใช้จ่าย
ผลประกอบการไตรมาสล่าสุด 3/2022 ของ Meta รายได้ลดลง 4% แม้ยังมีกำไร แต่ธุรกิจฝั่ง Metaverse ขาดทุนถึง 3,672 ล้านดอลลาร์
Adam Mosseri หัวหน้าทีม Instagram ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg บอกว่าการผลักดัน Reels แพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้นแนวตั้ง เป็นภารกิจที่เร่งด่วนและสำคัญมากในตอนนี้ ซึ่งเขาเองก็พยายามรักษาสมดุลไม่ให้ผิดพลาด จากการเร่งผลักดัน Reels บน Instagram มากจนเกินไป
ปัจจุบัน Meta บริษัทแม่ของ Instagram และ Facebook กำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ที่สะท้อนจากราคาหุ้นลดลงไปมาก บริษัทประกาศยุทธศาสตร์ชัดเจนว่าจะมุ่งไปยัง Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนสูง และภาพความสำเร็จยังไม่ชัดนัก เป็นเกมระยะยาว แต่ในระยะสั้น Meta ยังสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้ จากการผลักดันแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น Reels ที่เน้นระบบแนะนำคอนเทนต์เหมือน TikTok
Meta เตรียมจะเปิดให้ครีเอเตอร์สร้างสรรค์และขายผลงาน NFT ผ่านทาง Instagram ได้โดยตรงทั้งภายในแอปเองและลิ้งก์ออกไปนอกแอป แม้ว่ามูลค่าการซื้อขายผลงาน NFT จะตกลงถึง 90% ในช่วงนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดือนมกราคมที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุด
นอกจากนี้ ยังเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ให้แฟนคลับสามารถสนับสนุนครีเอเตอร์ได้ผ่านการสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อชมคอนเทนต์พิเศษ รวมทั้งเพิ่มฟีเจอร์ “stars” และ “gifts” ที่ผู้ใช้สามารถกดซื้อเพื่อให้ครีเอเตอร์ได้รับรายได้
Meta กำลังมองหาช่องทางการเพิ่มรายได้ใหม่หลังจากที่รายได้จากการโฆษณาลดลง รวมถึงต้องแข่งขันกับแอปอย่าง TikTok โดยมองว่าการให้ขายผลงาน NFT บน Instagram จะทำให้ครีเอเตอร์และแฟนคลับเข้ามาใช้แอปมากขึ้น
Meta เปิดตัวปัญญาประดิษฐ์ทำนายโครงสร้างโปรตีนพร้อมกับฐานข้อมูลโครงสร้างโปรตีนทั้งหมดที่ทำนายได้กว่า 600 ล้านรายการ โดยงานวิจัยของ Meta เน้นไปที่ความเร็วในการทำนายว่าสามารถทำนายทั้งหมดภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ หรือประมาณ 500 โปรตีนต่อวินาที บนชิปกราฟิก 2,000 ชุด เทียบกับ AlphaFold ที่เคยเปิดฐานข้อมูลแบบเดียวกันมาก่อนหน้านี้ แต่กระบวนการทำนายของ AlphaFold นั้นโปรตีนแต่ละตัวใช้เวลาคำนวณนับนาที
Meta ประเทศไทย ร่วมมือกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดตัวแคมเปญ Rediscover Thailand - ท่องเที่ยวไทย ประสบการณ์ใหม่ผ่าน AR เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย
แคมเปญนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
หน้าตาของงาน AR ดูได้จาก Rediscover Thailand
Meta เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์ย้ายภาษาโปรแกรมที่ใช้เขียนแอพ Android จากเดิม Java มาเป็น Kotlin ซึ่งตอนนี้ย้ายไปแล้วเกิน 10 ล้านบรรทัด (ยังย้ายไม่เสร็จทั้งหมด)
Meta ระบุว่า Kotlin เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกของ Android โดยมีข้อดีเหนือกว่า Java 11 (ที่ใช้ในวงการ Android) หลายด้าน เช่น nullability ที่ระดับของตัวภาษา, รองรับการทำ functional programming ดีกว่า Java, โค้ดสั้นกว่า และรองรับการทำ Domain-specific language (DSL)
Meta เพิ่มเครื่องมือ Brand Rights Protection ให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสอยโพสต์ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองได้ง่ายขึ้นทั้งบน Facebook และ Instagram
โดยทั่วไปแล้ว Meta จะให้แจ้งคำร้องเพื่อลบโพสต์ไปยัง Meta ก่อนเป็นขั้นตอนพื้นฐานสำหรับกรณีทั่วไป แต่ก็มีบางกรณีที่บางแบรนด์อาจได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องมือดังกล่าวเพื่อลบโพสต์เป้าหมายได้เลยอัตโนมัติโดยไม่ต้องรอส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ของ Meta เป็นคนพิจารณา
Meta รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 3 ปี 2022 รายได้รวม 27,714 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2021 และมีกำไรสุทธิ 4,395 ล้านดอลลาร์
รายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจแอปต่าง ๆ เฉพาะส่วนนี้ลดลงเหลือ 27,429 ล้านดอลลาร์ มีกำไรการดำเนินงานเฉพาะส่วน 9,336 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ธุรกิจใหม่เมตาเวิร์ส รายได้ลดลงเหลือ 285 ล้านดอลลาร์ และขาดทุน 3,672 ล้านดอลลาร์ จำนวนผู้ใช้งานรวมทุกแพลตฟอร์มประจำทุกเดือน (MAUs) เพิ่มเป็น 3.71 พันล้านคน
ในแถลงผลประกอบการ Meta ระบุว่าปี 2023 กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับเมตาเวิร์สจะมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น และมีผลการดำเนินงานขาดทุนมากกว่าปีปัจจุบัน โดยกลุ่มธุรกิจนี้ถูกกำหนดแล้วว่าจะเริ่มทำกำไรได้ในระยะยาว
ในงานประชุม Open Compute Global Summit 2022 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Meta เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ Grand Teton สำหรับงานประมวลผล AI ที่ใช้ชิป NVIDIA H100 สถาปัตยกรรม Hopper รุ่นล่าสุดของฝั่งจีพียูเซิร์ฟเวอร์
Grand Teton ตั้งชื่อตามภูเขาในรัฐ Wyoming และเป็นเวอร์ชันอัพเกรดของเซิร์ฟเวอร์ Zion/Zion Ex ที่ Meta เริ่มใช้ในปี 2020/2021 ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดทางเทคนิคออกมาเยอะนัก ไม่ว่าจะเป็นสเปกหรือสมรรถนะ โดย Meta บอกเพียงว่ามีแบนด์วิดท์เครือข่ายเพิ่ม 2 เท่า, แบนด์วิดท์ระหว่างซีพียูโฮสต์กับจีพียูเพิ่มขึ้น 4 เท่า เมื่อเทียบกับเครื่อง Zion รุ่นเดิม
Meta แถลงผ่านบล็อกว่าบริษัทกำลังพิจารณาว่าอาจปิดไม่ให้ผู้ใช้งาน Facebook ในแคนาคาทำการโพสต์บทความข่าวบนแพลตฟอร์ม หลังจากที่แคนาดาเตรียมออกกฎหมาย Online News Act (Bill C-18) ซึ่งระบุว่าผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์เช่น Facebook ต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้สำนักข่าวท้องถิ่น
ท่าทีของ Meta นี้ได้ถูกสื่อออกมาภายหลังการประชุมของ House of Commons Heritage Committee (CHPC) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่กำกับดูแลเกี่ยวกับแผนงานด้านวัฒนธรรม, ศิลปะ, ภาษา, กีฬา และการสื่อสารของประชาชน โดยสังกัดอยู่ภายใต้กระทรวง Department of Canadian Heritage โดยการประชุมดังกล่าวว่าด้วยเรื่องกฎหมายใหม่ Online News Act นี้ซึ่งไม่ได้มีการเชิญตัวแทน Meta เข้าร่วมหารือด้วย (แต่มีตัวแทนของ Google เข้าร่วมให้ความเห็นหลังการร้องขอจาก Google)
Anton Gorelkin ประธานคณะกรรมาธิการด้านนโยบายข้อมูลของรัฐสภารัสเซียเสนอผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ให้รัฐบาลรัสเซียรวมทั้งประชาชนแบนแอปพลิเคชัน WhatsApp ของ Meta เพื่อประโยชน์ของทางการ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนแอปพลิเคชันใหม่ที่เป็นของรัสเซียเองเพื่อเลิกใช้เทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาและยุโรป รวมถึงเผยว่าตนเองได้ลบและเลิกใช้แอปพลิเคชันไปแล้ว
Meta พัฒนาปัญญาประดิษฐ์แปลภาษาที่ใช้สำหรับแปลคำพูดโดยตรงสำหรับภาษาจีนฮกเกี้ยนที่ไม่มีภาษาเขียน
ระบบแปลภาษานี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Universal Speech Translator ที่ต้องการพัฒนาการใช้ AI เพื่อช่วยแปลคำพูดเป็นคำพูดแบบเรียลไทม์ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีปกที่แปลงคำพูดออกมาออกมาเป็นภาษาเขียนได้แล้วค่อยแปลภาษาจากข้อความ ในงานวิจัยนี้ Meta อาศัยการแปลงเสียงพูดภาษาฮกเกี้ยนออกมาเป็นข้อความแทนเสียงตรงๆ หรือแปลงเสียงเป็นข้อความในภาษาจีนกลางที่ใกล้เคียงกัน แล้วค่อยแปลภาษาอีกทีหนึ่ง
เมื่อเดือนพฤศจิกายน หน่วยงานด้านการแข่งขันและตลาดของอังกฤษ (Competition and Markets Authotiry หรือ CMA) ออกคำสั่งให้ Meta ต้องขายกิจการ Giphy แพลตฟอร์มแชร์ภาพ GIF ด้วยข้อหาว่าเป็นการผูกขาดการแข่งขัน
Meta ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลการแข่งขัน (Competition Appeal Tribunal หรือ CAT) ผลคือในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา CAT ตัดสินยืนตามแนวทางของ CMA จำนวน 5 ประเด็นจากทั้งหมด 6 ประเด็น โดยประเด็นที่เห็นว่า CAT ไม่มีน้ำหนักมากพอคือการแชร์ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลที่สาม (the sharing of third-party confidential information)
Meta เปิดตัว Avatar Store ร้านขายเสื้อผ้าสำหรับตัวอวตารเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้ใช้ Meta สามารถเลือกเครื่องแต่งกายจากแบรนด์ต่างๆ ให้กับอวตารของตัวเองได้ และล่าสุด Meta ได้เพิ่มชุดแข่งสโมสร Liverpool เข้าใน Avatar Store แล้วเป็นที่เรียบร้อย
ชุดแข่งของ Liverpool ที่ปรากฎในร้านของ Meta นั้นจะมีชุดเหย้าสีแดงและชุดเยือนสีขาว (ไม่มี third kit) และเป็นที่น่าสนใจว่าภาพที่ปรากฏนั้นไม่มีมีเครื่องหมายการค้าของ Nike ผู้ผลิตชุดแข่งให้กับสโมสร จึงเป็นที่สันนิษฐานว่างานนี้เป็นข้อตกลงร่วมมือกัน 2 ฝ่ายระหว่าง Meta และสโมสรเท่านั้นโดยไม่มี Nike เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (แต่โลโก้ผู้สนับสนุนหลักบนอกเสื้อแข่งยังมีในรูป)
The Wall Street Journal อ้างเอกสายภายในของ Meta เกี่ยวกับตัวเลขผลการดำเนินงานของ Horizon Worlds แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สของ Meta พบว่ายังมีจำนวนผู้ใช้งานน้อยกว่าเป้าหมายที่บริษัทต้องการอยู่มาก
โดยในเอกสารระบุว่า Meta วางแผนมีผู้ใช้งาน Horizon Worlds แบบเป็นประจำทุกเดือน (MAUs - Monthly Active Users) ที่ 500,000 คน ภายในสิ้นปีนี้ แต่ตัวเลขล่าสุดน้อยกว่า 200,000 คน แต่หากวัดเฉพาะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 280,000 คน
ยังมีตัวเลขอื่นที่น่าสนใจ Worlds ที่ครีเอเตอร์สร้างขึ้นมา มีเพียง 9% ที่มีคนเข้าไปดูมากกว่า 50 คน และส่วนใหญ่ไม่มีคนเข้าไปดูเลย นอกจากนี้พบว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ไม่กลับมาอีกเลยหลังลองเล่นได้ 1 เดือน
John Carmack ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CTO ของ Oculus (ลาออกในปี 2019 ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น "CTO ที่ปรึกษา") ได้รับเชิญไปพูดที่งาน Meta Connect 2022 แต่ปรากฏว่าเขา "สับเละ" ต่อแนวทางการพัฒนาโลก VR ของบริษัท Meta อดีตนายจ้างของตัวเอง
Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ให้สัมภาษณ์ล่าสุดในรายการพอดคาสต์ของ Ben Thompson โดยพูดถึงกลยุทธ์บริษัทในตลาด VR ซึ่งเขายังคงเทียบบริษัทกับแอปเปิลอีกครั้ง
โดย Zuckerberg บอกว่า ทั่วไปแล้วคนจะทำฮาร์ดแวร์ขาย แล้วพยายามตั้งราคาให้ได้กำไรจากตรงนั้นให้มากที่สุด แบบที่แอปเปิลทำอยู่ แต่สำหรับเขาไม่มองแบบนั้น เขาต้องการสร้างฮาร์ดแวร์ที่ดีที่สุด เพื่อให้คนเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศก่อน ราคาขายก็ทำแค่เท่าทุน หรือบางทีก็ขายขาดทุนด้วยซ้ำ
เขาย้ำว่าด้วยคุณสมบัติแล้ว แว่นตา VR Quest Pro ราคา 1,500 ดอลลาร์ นั้นไม่สูงเลย ในแผนถัดไปเขาเตรียมออก Quest 3 ที่ราคาราว 300-500 ดอลลาร์
ผู้ใช้ Facebook หลายรายแสดงความคิดเห็นว่ายอดจำนวนผู้ติดตามของตนเองหายไป ซึ่งบางคนหายไปเป็นหลักหมื่นหรือหลักแสนคน คาดว่าเป็นบั๊กที่ทำให้ Facebook แสดงผลไม่ตรงตามความจริง
บัญชี Facebook ของ Mark Zuckerberg ก็เช่นเดียวกัน ขณะนี้พบว่ามีจำนวนผู้ติดตามบัญชีอยู่แค่ไม่ถึง 1 หมื่นคนเท่านั้น ทั้งนี้ หากเข้าผ่านสมาร์ทโฟนและกดเข้าไปดูจากตัวเลขที่แสดงผล ก็ยังแสดงจำนวนผู้ติดตามจำนวนกว่า 100 ล้านคนเป็นปกติ