ไมโครซอฟท์ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Bing ตัวใหม่ที่รองรับแชท AI จะทำงานได้ผ่านเบราว์เซอร์อื่นที่ไม่ใช่ Edge เช่น Chrome หรือ Safari หลังจากเริ่มทดสอบไปเมื่อเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตามไมโครซอฟท์ก็แนะนำให้ใช้เบราว์เซอร์ Edge เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด (ข้อมูลที่ไมโครซอฟท์บอกคือตั้งแต่เปิดตัว Bing ใหม่นี้ จำนวนผู้ใช้ Edge ก็เพิ่มขึ้นทุกเดือน) เช่น การป้อนบทสนทนาที่ยาวมากกว่า, การดูประวัติแชท และฟีเจอร์ใหม่ ๆ จะนำมาใส่สำหรับผู้ใช้งาน Edge ก่อน
Safari เว็บเบราว์เซอร์ในระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple จากการจัดอันดับเว็บเบราว์เซอร์ยอดนิยมทั่วโลกครั้งล่าสุด ผลปรากฏว่า Safari ครองแชมป์อันดับ 2 อีกครั้ง หลังจากปีที่แล้วอันดับสองตกเป็นของ Microsoft Edge
ข้อมูลจาก Statcounter ซึ่งวัดความนิยมของเบราว์เซอร์โดยเก็บข้อมูลจากหลายเว็บไซต์บอกว่า 11.87% ของผู้ใช้งานเดสก์ท็อปใช้ Safari อย่างสม่ำเสมอ ส่วน Google Chrome ยังคงเป็นเว็บเบราว์เซอร์เดสก์ท็อปที่ถูกใช้มากที่สุดโดยมีสัดส่วนสูงถึง 66.13%
แอปเปิลออกอัพเดต iOS 16.4 beta 1 เวอร์ชันทดสอบสำหรับนักพัฒนา โดยมีของใหม่ที่สำคัญคือ Safari รองรับการแจ้งเตือน Web Push แล้ว
ฟีเจอร์นี้จะรองรับสำหรับเว็บใน Safari ที่ผู้ใช้งานสร้างเป็นไอคอนเว็บแอปขึ้นมาบนหน้า Home (กด Share เลือก Add to Home Screen) โดยการทำงานของการแจ้งเตือน Web Push เหมือนกับ Safari 16.1 บน macOS Ventura ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ผู้ใช้งานสามารถปรับตั้งค่าการเตือนได้ใน Settings เหมือนแอปอื่น ๆ
ในฝั่งนักพัฒนา ระบบการแจ้งเตือนใช้วิธีเดียวกับการกำหนดค่า Apple Push Notification ของแอป นอกจากนี้การแจ้งเตือนของเว็บแอป ยังรองรับกับโหมด Focus สามารถส่งข้อความเตือนแบบสรุปเนื้อหารายวัน และสร้าง Badge เป็นตัวเลขการแจ้งเตือนที่ไอคอนได้ด้วย
แอปเปิลออกอัพเดต Safari เวอร์ชัน 15.6.1 ให้กับผู้ใช้ macOS เวอร์ชันเก่าคือ Big Sur และ Catalina โดยอัพเดตนี้เป็นการแก้ไขช่องโหว่ CVE-2022-32893 ของ WebKit ที่ผู้โจมตีสามารถเข้ามารันคำสั่งได้
แอปเปิลบอกว่าช่องโหว่นี้มีรายงานการถูกโจมตีแล้ว จึงแนะนำให้ผู้ใช้งาน macOS เวอร์ชันดังกล่าวอัพเดตทันที
อัพเดต Safari เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้ เป็นช่องโหว่เดียวกับที่แอปเปิลอัพเดตให้กับ iOS 15.6.1 และ macOS Monterey 12.5.1 เมื่อวานนี้
ที่มา: MacRumors
กูเกิลออกคลิปโฆษณาชุด There’s no place like Chrome เจาะกลุ่มผู้ใช้ iPhone เพื่อชวนมาดาวน์โหลด Chrome เวอร์ชัน iOS
โฆษณาชุดนี้เล่าฟีเจอร์ของ Chrome ที่บอกอ้อมๆ ว่าเหนือกว่า Safari เช่น Autofill ช่วยจำเลขบัตรเครดิต, Saved Password ช่วยจำรหัสผ่าน, Synced Devices ซิงก์ข้อมูลจากเดสก์ท็อป และ Malware Protection ช่วยคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวขณะท่องเว็บ
ที่มา - 9to5google
กูเกิลประกาศผลการทดสอบความเร็วของเบราว์เซอร์ โดยใช้ Speedometer เครื่องมือวัดผลของแอปเปิล ที่พัฒนาโดยทีม WebKit พบว่า Chrome เวอร์ชันล่าสุด 99 บน macOS มีคะแนนที่ 300 ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมาของ Speedometer และมากกว่า Safari รุ่นปัจจุบันที่มีมาใน macOS
โดยทั่วไปคะแนนของ Safari ใน Speedometer จะอยู่ที่ประมาณ 277-279
กูเกิลบอกว่า Chrome 99 ใช้การพัฒนาที่เน้นปรับปรุงโค้ดให้ทำงานเร็วขึ้นเป็นหลัก รวมทั้งใช้ V8 Sparkplug เป็นคอมไพเลอร์ มาช่วยปรับแต่ง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ Chrome 99 ทำงานได้เร็วมากกว่า Chrome เมื่อ 17 เดือนที่แล้วถึง 43% ซึ่งตอนนั้นแอปเปิลเพิ่งเปิดตัว Mac M1
แอปเปิลได้ออกอัพเดต iOS 15.3 และ macOS Monterey 12.2 ที่เป็น RC (Release Candidate) รุ่นทดสอบสำหรับนักพัฒนาวันนี้ โดยในเวอร์ชันนี้ได้แก้ไขบั๊ก IndexedDB API ใน Safari 15 ที่มีการรายงานช่องโหว่ออกมาก่อนหน้านี้
บั๊กนี้ทำให้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงข้อมูล IndexedDB และดูได้ว่าผู้ใช้งานมีประวัติเข้าเว็บไซต์ใดบ้าง นอกจาก Safari แล้วก็มีผลกับเบราว์เซอร์อื่นบน iOS ที่ใช้ WebKit เช่น Chrome ด้วย
เนื่องจากแอปเปิลออกอัพเดตมาเป็นเวอร์ชัน RC แล้ว จึงคาดว่าเวอร์ชันสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปน่าจะออกมาได้เร็วที่สุดในสัปดาห์หน้า
ที่มา: MacRumors
FingerprintJS เปิดเผยบั๊กบน IndexedDB API ใน Safari 15 ที่ทำให้เว็บไซต์มุ่งร้ายสามารถดู ติดตามประวัติเข้าเว็บของผู้ใช้ และดู Google User ID ของผู้ใช้ได้ มีผลทั้งบน Mac, iOS และ iPadOS
บั๊กนี้ทำให้เว็บไซต์สามารถมองเห็นชื่อดาต้าเบสบน IndexedDB ของโดเมนใดก็ได้ ไม่ใช่แค่ดาต้าเบสที่สร้างโดยชื่อโดเมนของตัวเอง และชื่อดาต้าเบสที่หลุดนี้ก็สามารถนำไปหาประวัติการเข้าเว็บไซต์ได้โดยการเก็บรายละเอียดชื่อดาต้าเบสของเว็บไซต์ชั้นนำแต่ละเว็บ แล้วใช้ lookup table เทียบ
Safari เวอร์ชันใหม่ของ macOS 12 Monterey มีการปรับดีไซน์ใหม่ ยกแท็บขึ้นไปรวมกับช่อง URL Bar เพื่อประหยัดเนื้อที่ ซึ่งสร้างเสียงวิจารณ์พอสมควรในช่วงการทดสอบ Beta
แต่ล่าสุดดูเหมือนแอปเปิลเปลี่ยนใจใน macOS 12 Monterey ตัวจริงที่จะปล่อยอัพเดตเดือนหน้า เพราะภาพโปรโมทบนหน้าเว็บแอปเปิลเองก็กลับมาใช้หน้าตาแบบเดิม (Separated) เป็นดีฟอลต์ แต่ผู้ใช้ยังสามารถเปลี่ยนเป็นดีไซน์ใหม่ (Compact) ได้ถ้าต้องการ
การเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างหนึ่งของ iOS 15 คือ Safari ดีไซน์ใหม่ที่ย้าย URL Bar และแถบเครื่องมือลงมาด้านล่าง ซึ่งถูกวิจารณ์ไม่น้อยเพราะผู้ใช้ไม่คุ้นเคย ทำให้แอปเปิลต้องยอมปรับดีไซน์บางจุดใน Beta หลังๆ
เรื่องนี้ Chris Lee อดีตพนักงานทีม Chrome Android ของกูเกิลได้เขียนเล่าว่ากูเกิลเคยลอง UI แบบนี้ตั้งแต่ปี 2016 แล้วพบว่าไม่เวิร์คจนต้องยกเลิกไป
Lee บอกว่าเขาเป็นคนพัฒนาดีไซน์ใหม่นี้เอง โดยใช้ชื่อว่า Chrome Home มันคือการนำช่อง URL ไปไว้ด้านล่าง แล้วมีแถบเลื่อนที่สามารถลากขึ้นมาให้เห็นปุ่มคำสั่งต่างๆ ได้อีก
แอปเปิลออกแบบหน้าจอ Safari ใหม่โดยมีส่วนสำคัญคือการย้ายส่วนแสดงแท็บขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับ URL และยังรองรับการจัดกลุ่มแท็บให้สลับไปมาระหว่างกลุ่มได้ง่ายขึ้น การจัดกลุ่มแท็บสามารถซิงก์ข้ามอุปกรณ์ได้ทั้ง Mac, iPad, และ iPhone
ฟีเจอร์สำคัญอีกอย่างคือการรองรับส่วนขยาย (web extension) สามารถดาวน์โหลดจาก App Store ได้ ก่อนหน้านี้แอปเปิลเข้าร่วมกับกูเกิล, ไมโครซอฟท์, และมอซิลล่า เพื่อตั้งกลุ่มทำงานออกมาตรฐานการทำงานส่วนขยายให้ตรงกันทุกเบราว์เซอร์ รอบนี้แอปเปิลประกาศรองรับส่วนขยายนี้บนทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง macOS, iPadOS, และ iOS
บริษัทผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ 4 รายใหญ่คือ Apple, Google, Microsoft, Mozilla ประกาศตั้งกลุ่ม WebExtensions Community Group (WECG) เพื่อให้ส่วนขยายของเบราว์เซอร์ทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น
ระบบส่วนขยายของเบราว์เซอร์ในปัจจุบันอิงจากแนวทางของ Chrome เป็นหลัก กรณีของ Edge ที่ใช้เอนจิน Chromium คงไม่มีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้มากนัก ส่วน Firefox หันมาใช้ฟอร์แมตแบบ Chrome ในปี 2015 และ Safari เป็นรายล่าสุดที่ตามมาในปี 2020
Six Colors เว็บข่าวสายแอปเปิล ชี้ประเด็นว่า Safari 14 เริ่มรองรับส่วนขยายที่พอร์ตจาก Chrome ได้มานานครึ่งปีแล้ว (เริ่ม มิ.ย. 2020) แต่มาถึงตอนนี้ยังแทบไม่มีส่วนขยายพอร์ตมาเลย
ปัญหาเกิดจากนโยบายของแอปเปิลเอง ที่บังคับให้ส่วนขยายต้องถูกครอบด้วยแพ็กเกจแอพแบบเนทีฟของ macOS ก่อน (แปลว่าต้องมี Xcode) แล้วส่งขึ้น Mac App Store เพื่อแจกจ่ายให้ผู้ใช้ Safari ติดตั้งอีกที ไม่เหมือน Edge หรือ Firefox ที่สามารถติดตั้งไฟล์ส่วนขยายของ Chrome ได้ตรงๆ
หลังจากแอปเปิลเปิดตัว iOS 14 ไปพร้อมกับแอปแปลภาษาแบบ standalone built-in ที่ติดตั้งมาให้เลยบน iOS 14 แล้ว ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์แปลหน้าเว็บไซต์ไว้บนแอพ Safari อีกด้วย ทำให้สามารถแปลหน้าเว็บเพจจากในซาฟารีได้โดยตรง
อย่างไรก็ตามฟีเจอร์แปลภาษาบนซาฟารียังไม่รองรับการใช้งานในประเทศไทย ถึงแม้เราจะสามารถใช้แอพ Translate ได้แล้วก็ตาม และรองรับเพียงแค่ 11 ภาษาได้แก่อังกฤษ, จีนกลาง, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน, อิตาเลียน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อารบิก, โปรตุเกส และรัสเซีย
เบื้องต้นพบว่าสามารถใช้งานได้บนทั้ง iOS 14.1, iOS 14.2 รวมไปถึง macOS Big Sur beta แต่ยังใช้ได้เพียงแค่ประเทศบราซิล และเยอรมนีเท่านั้น
แนวทางการลดอายุใบรับรองการเข้ารหัสเว็บเป็นแนวทางที่ต่อเนื่องกันมาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จากเดิมสมัยก่อนที่เราเคยซื้อใบรับรองเข้ารหัสอายุยาวนานถึง 8 ปีได้ ในปี 2015 CA/Browser Forum ก็ลดเพดานอายุใบรับรองเหลือ 39 เดือน และในปี 2017 ก็ลดเพดานลงเหลือ 825 วัน วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการซื้อใบรับรองอายุ 2 ปี เนื่องจากใบรับรองที่ออกวันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป หากมีอายุเกิน 397 วันจะใช้งานกับเบราว์เซอร์หลักทั้ง Chrome, Firefox, และ Safari ไม่ได้อีกต่อไป
Apple ปล่อยวิดีโอเซสชั่นใน WWDC 2020 โดยมีตอนหนึ่งโชว์ฟังก์ชันการล็อกอินเว็บไซต์บน Safari 14 แบบ frictionless experience ซึ่ง FIDO Alliance ระบุว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี WebAuthn ระบบล็อกอินโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่านที่ทาง W3C รับเข้าเป็นมาตรฐานเว็บในปีที่แล้ว
เทคโนโลยี WebAuthn หรือ Web Authentication API เป็นมาตรฐานกลางในการยืนยันตัวตนแบบใหม่ที่ให้นักพัฒนาเว็บไซต์เลือกเปิดใช้งาน ซึ่งระบบนี้พัฒนาโดย FIDO Alliance โดยกรณีของ iOS และ macOS คือ Apple จะเปิดให้ใช้ Touch ID หรือ Face ID ในการยืนยันตัวตนบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ดังนั้นผู้ใช้จึงล็อกอินได้โดยไม่ต้องใส่ชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านเหมือนเดิม
macOS Big Sur ที่เปิดตัวไปในงาน WWDC เมื่อคืนนี้ นอกจากการปรับเปลี่ยนเพื่อเตรียมรองรับสถาปัตยกรรม ARM ที่ Apple จะผลิตชิปเองแล้ว ยังมีการปรับดีไซน์ใหม่ของ UI และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้ามาเพื่อให้การใช้งานสะดวกขึ้น และมีความเข้ากันได้กับ iOS และ iPad OS มากขึ้น
แอปเปิลประกาศ Safari เวอร์ชันใหม่ใน macOS 11 Big Sur รองรับส่วนขยายที่เขียนด้วย WebExtensions API ซึ่งหมายถึงส่วนขยายของ Chrome
การที่ Safari รองรับ WebExtensions API ทำให้ส่วนขยายของ Chrome สามารถพอร์ตมาได้แทบจะทันที (ลักษณะเดียวกับที่ Edge หรือ Firefox ทำอยู่ ซึ่ง Firefox เริ่มรองรับในปี 2015) ส่วนการแจกจ่ายสามารถทำผ่าน Mac App Store โดยจะมีหมวด Extension เพิ่มเข้ามาให้ (หมายเหตุ: เป็นคนละตัวกับ Safari App Extensions ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้)
แอปเปิลเปิดตัว macOS Big Sur (ชื่อภูเขาในแคลิฟอร์เนีย โดยตัวระบบปฎิบัติการเองมีการปรับแต่งหน้าจอปลีกย่อย จุดสำคัญคือมันเป็น macOS เวอร์ชั่นแรกที่จะรองรับชิป ARM อย่างเป็นทางการ โดยแอปเปิลปรับเลขเวอร์ชั่นเป็น 11.0 หลังจากก่อนหน้านี้ใช้เป็นเวอร์ชั่น 10.x มานาน
Safari เพิ่มตัวแปลภาษาในตัว รองรับภาษาอังกฤษ, สเปน, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, รัสเซีย, และโปรตุเกสแบบบราซิล ฟีเจอร์ Privacy Report รวมรายงานว่า Safari บล็อคส่วนต่างๆ ในเว็บที่ติดตามผู้ใช้ไปอย่างไรบ้าง และด้านความปลอดภัยนั้นเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งานรหัสผ่านที่เคยรั่วไหลมาแล้ว โดยระบบตรวจสอบจะไม่เปิดเผยรหัสผ่านนี้ให้แอปเปิลเอง
แอปเปิลปล่อย iOS 13.4, iPad OS 13.4, watchOS 6.2 และ macOS 10.15.4 ออกมาล่าสุดและมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างสำคัญกับ Safari คือแอปเปิลเลิกรองรับคุกกี้ที่มาจากนอกเว็บ (third-party cookies) โดยดีฟอลต์แล้ว เป็น
นอกจากนี้แอปเปิลระบุด้วยว่าเว็บนอกมักจะย้ายไปดึงข้อมูลจากตัวเว็บหลัก (first-party) แทน ดังนั้นนอกจากบล็อกคุกกี้จากภายนอกแล้ว Safari จะลบคุกกี้ที่เป็น first-party ด้วยหลังผ่านไป 7 วันและหากผู้ใช้งานไม่มีการเข้าเว็บหรือมี interaction กับเว็บนั้นอีกหลังผ่านไป 7 วันก็จะลบข้อมูลในสตอเรจที่เว็บนั้น ๆ ใช้งาน (script-writable storage) เพื่อป้องกันไม่ให้เว็บนอกมาดึงข้อมูลจากส่วนนี้ไปแทน
เดิมการเปิดใช้งาน (enroll) กุญแจ U2F เพื่อล็อกอิน 2 ชั้นบนแอคเคาท์ Google ต้องทำผ่าน Chrome เฉพาะพีซีหรือ macOS เท่านั้น ล่าสุด Google ให้เปิดใช้งานผ่าน Chrome บน Android และ Safari แล้ว
Android ต้องเป็นเวอร์ชัน 7.0 Nougat และ Chrome 70 ขึ้นไป ส่วน Safari ต้องเป็นเวอร์ชัน 13.0.4 ขึ้นไป ขณะที่การเปิด 2FA ด้วยกุญแจ ให้เข้าไปที่แอคเคาท์ Google >> เลือก Security >> เลือก 2-Step Verification และเลือก Add Secrutiy Key
ที่มา - G Suite Update via 9to5Google
ตอนนี้ Safari กำลังจะเริ่มบังคับใช้นโยบายใหม่ คือจะไม่ยอมรับใบรับรองเว็บไซต์ที่กำหนดวันหมดอายุไว้มากกว่า 13 เดือนนับจากวันสร้างใบรับรอง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อเว็บไซต์ที่ใช้ใบรับรองที่กำหนดวันหมดอายุไว้นาน ๆ
นโยบายใหม่นี้เสนอในที่ประชุม CA/Browser โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน Safari จะไม่ยอมรับใบรับรองใดก็ตามที่มีอายุมากกว่า 398 วันนับจากวันออกใบรับรอง ลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ 825 วัน โดยจะขึ้นคำแจ้งเตือนผู้ใช้เหมือนกับเว็บไซต์ที่ใบรับรองไม่ปลอดภัย
แอปเปิลถอด Adobe Flash ออกจาก Safari Technology Preview 99 รุ่นทดสอบล่าสุด นับเป็นการเตรียมอำลาเทคโนโลยีที่เคยครองเว็บอย่างเป็นทางการภายในปีนี้
ก่อนหน้านี้ Adobe เคยประกาศมาก่อนแล้วว่าจะเลิกซัพพอร์ต Flash Player ทั้งหมดภายในปี 2020 ทำให้ผู้ผลิตเบราว์เซอร์มักปิดการทำงานเป็นค่าเริ่มต้นมานานแล้วแต่ผู้ใช้ก็ยังเปิดกลับมาใช้งานเองได้อยู่ การถอดส่วนเสริมออกทั้งหมดเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกเปิด Flash กลับมาใช้งานอีกต่อไป
สัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานเป็นข่าวขึ้นมาว่าแอปเปิลเริ่มความร่วมมือกับ Tencent เพื่อใช้บริการ Tencent Safe Browsing เพิ่มเติม จากเดิมที่ใช้งานเฉพาะ Google Safe Browsing เท่านั้น โดยจะใช้บริการจาก Tencent เมื่อผู้ใช้เลือกใช้ภาษาจีน
ความกังวลเกิดขึ้นเนื่องจากบริการนี้ทำให้ Tencent อาจรู้ถึง URL ที่ผู้ใช้กำลังเข้าใช้งานอยู่ เปิดทางทั้งการตรวจสอบว่ามีผู้ใช้ใดกำลังเข้าเว็บต้องห้าม และสามารถบล็อคเว็บในระดับ URL โดยแจ้งว่าเป็นเว็บต้องสงสัยได้ไปพร้อมกัน
ผู้ใช้ macOS เมื่อต้องการซื้อสินค้าผ่านเว็บ Apple Store Online น่าจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้น เมื่อมีผู้พบว่าหากเข้าเว็บด้วย Safari บนระบบปฏิบัติการเวอร์ชันเก่ากว่า OS X 10.10.5 Yosemite จะขึ้นข้อความเตือน ทำให้เข้าเว็บไม่ได้
ข้อความนั้นระบุว่าเวอร์ชันเบราว์เซอร์ที่ใช้อยู่ไม่สนับสนุน ทั้งยังบอกอีกว่า ถ้าจะดาวน์โหลด Firefox หรือ Chrome มาใช้งาน ก็ไม่สนับสนุนระบบปฏิบัติการเวอร์ชันนี้เช่นเดียวกัน ทางเลือกจึงต้องอัพเดตระบบปฏิบัติการไปเลย
ถือเป็นการควบคุมผู้ใช้งานให้แน่ใจว่าใช้ระบบปฏิบัติการล่าสุดจริง ๆ เพื่อความปลอดภัยของแอปเปิลนั่นเอง