US Department of Justice
The New York Times อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง บอกว่าหน่วยงานของสหรัฐเตรียมทำการสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ในประเด็นการผูกขาดในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์หรือ AI
โดยกระทรวงยุติธรรม (DoJ) จะรับผิดชอบในการสอบสวน NVIDIA ส่วนคณะกรรมการกำกับดูแลการค้าของสหรัฐ (FTC) จะตรวจสอบ OpenAI และไมโครซอฟท์
ไมโครซอฟท์นั้นอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของ FTC ในเรื่องเกี่ยวกับ AI อยู่แล้ว จากการตั้งซีอีโอ Inflection AI เป็นหัวหน้าฝ่าย Microsoft AI ซึ่ง FTC บอกว่ารูปแบบดีลนี้เป็นการซื้อตัวซีอีโอและเทคโนโลยีสำคัญเข้ามา เพื่อหลบเลี่ยงการซื้อกิจการโดยตรงที่ต้องรายงานต่อหน่วยงานกำกับดูแล
จากข่าวใหญ่เมื่อปลายสัปดาห์ที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฟ้องแอปเปิล ว่ามีพฤติกรรมผูกขาดทางการค้านั้น อาจใช้เวลาในการสอบสวนและคงมีข้อมูลออกมาเพิ่มเติมเป็นระยะ อย่างไรก็ตามในสำนวนการฟ้องนั้น กระทรวงยุติธรรมสหรัฐระบุหลายประเด็นที่มองว่าแอปเปิลพยายามผูกขาดธุรกิจ บางประเด็นผู้อ่านก็อาจพยักหน้าเห็นด้วยได้ไม่ยาก แต่บางประเด็นก็อาจขมวดคิ้วสงสัยแทน
หัวข้อหนึ่งที่สื่อในอเมริกาหยิบมาตั้งคำถามว่าการฟ้องร้องนี้ เป็นการหยิบหลายเรื่องมาผสมกันเกินไป ก็คือการบอกว่า CarPlay ระบบเชื่อมต่อหน้าจอ iPhone กับหน้าจอรถยนต์ เป็นความพยายามของแอปเปิลในการผูกขาดระบบควบคุมของอุตสาหกรรมรถยนต์
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ร่วมด้วย 15 รัฐ และวอชิงตัน ดี.ซี. ยื่นฟ้องแอปเปิลต่อศาลกลางนิวเจอร์ซีย์ ข้อหามีพฤติกรรมผูกขาดทางการค้า ตามที่มีข่าวเมื่อวานนี้
Merrick B. Garland อัยการสูงสุดสหรัฐ กล่าวว่า iPhone เป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งมากของแอปเปิล เป็นรายได้หลักของบริษัท ส่วนแบ่งเฉพาะในอเมริกามากกว่า 65% ด้วยราคาขายต่อเครื่องเฉลี่ยที่สูงกว่า 1,600 ดอลลาร์ สาเหตุหนึ่งเพราะบริษัทละเมิดกฎหมายผูกขาดทางการค้า ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งลูกค้าและนักพัฒนา
สำนักข่าว Bloomberg อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเผยว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเตรียมยื่นฟ้องแอปเปิลอย่างเป็นทางการภายใน 1-2 วันนี้ ตามที่เคยมีรายงานออกมาก่อนหน้านี้ในประเด็นผูกขาดทางธุรกิจ
ในตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดของสำนวน แต่คาดว่าเรื่องราวจะคล้ายกับกรณีที่เกิดขึ้นจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ว่าแอปเปิลจำกัดการเข้าถึงเนื่องจากเป็นระบบปิด ทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงประเด็นสำคัญที่เพิ่งมีการแก้ไขไปในกลุ่มสหภาพยุโรปคือ App Store
ตอนนี้กูเกิลกำลังเจอกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (Department of Justice หรือ DoJ) สั่งฟ้องข้อหาผูกขาดตลาด Search ในสหรัฐ กระบวนการไต่สวนยังอยู่ในชั้นศาล
ฝั่งกูเกิลได้ส่งเอกสารแก้ต่างต่อศาล เอกสารฉบับนี้ได้เปิดเผย "ข้อมูลใหม่" ว่าไมโครซอฟท์เคยเสนอขาย Bing ให้แอปเปิลในช่วงปลายปี 2018 แต่สุดท้ายแอปเปิลปฏิเสธข้อเสนอนี้
The New York Times รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเผยว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการสอบสวนประเด็นผูกขาดทางการค้าของแอปเปิลแล้ว โดยน่าจะยื่นฟ้องร้องได้ภายในครึ่งแรกของปี 2024
ประเด็นหลักที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐใช้ในการฟ้องร้องแอปเปิลข้อหาผูกขาดทางธุรกิจ คือการออกแบบการทำงานที่เป็นระบบปิดของแอปเปิล เช่น Apple Watch เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ทำงานได้ดีร่วมกับ iPhone มากกว่าการใช้สมาร์ทวอทช์อื่นหรือไม่ ไปจนถึงประเด็นร้อนล่าสุดอย่าง iMessage, ระบบการจ่ายเงิน Apple Pay, AirTag ทำงานได้ดีบน iPhone เมื่อเทียบกับแทร็กเกอร์อื่น, การปิดไม่ให้ใช้คลาวด์เกมมิ่ง เป็นต้น
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยื่นฟ้องกูเกิลในข้อหาผูกขาดตลาดโฆษณาดิจิทัล (กลุ่ม display ad ไม่ใช่ search ad ที่เคยฟ้องแยกไปแล้วตั้งแต่ปี 2020 และคดียังอยู่ในชั้นศาล) จากการซื้อคู่แข่งและปรับเปลี่ยนวิธีการประมูลโฆษณาให้คู่แข่งเข้ามาสู้ไม่ได้
พฤติกรรมของกูเกิลที่ทำลายการแข่งขัน มีหลายอย่างประกอบกัน ได้แก่
แหล่งข่าวของ POLITICO และเอกสารระบุว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (Department of Justice - DOJ) กำลังเตรียมสอบสวนเชิงลึกกรณีที่ Adobe ซื้อ Figma ด้วยมูลค่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ว่าเป็นการผูกขาดการค้าของฝั่งบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ออกแบบหรือไม่
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐยื่นฟ้อง Google ฐานละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดหลังจากมีรายงานว่าเตรียมยื่นฟ้องไปในเดือนสิงหาคม โดยบอกว่า Google ทำสัญญาจ่ายเงินหลายพันล้านเหรียญต่อปีให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เพื่อให้ใช้กูเกิลเป็นบริการค้นหาเริ่มต้น ซึ่งกระทวงยุติธรรมมองว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
Bloomberg รายงานอ้างอิงคนในว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (Department of Justice) กำลังเตรียมยื่นฟ้อง Alphabet กรณี Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดโฆษณา หลังสืบพยานและเตรียมคดีมาหลายปี
รอบนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดว่ากระทรวงยุติธรรมจะฟ้อง Alphabet/Google ในแง่มุมไหน ขณะที่การยื่นฟ้องอาจเร็วที่สุดในเดือนหน้า ที่ศาลใดศาลหนึ่งระหว่างศาลในวอชิงตัน ที่มีคดีผูกขาด Search ค้างอยู่ หรือศาลในนิวยอร์ก ที่อัยการสูงสุดของมลรัฐมียื่นคดีผูกขาดโฆษณา Google ไว้อยู่
เมื่อปี 2020 Google เคยถูกฟ้องผูกขาดโฆษณามาแล้วครั้งหนึ่งจากทนายความจาก 10 รัฐ
Wall Street Journal รายงานข่าวว่า กูเกิลกำลังเจรจากับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเรื่องการผูกขาดตลาดโฆษณาออนไลน์ และกูเกิลเสนอทางเลือกให้ว่า จะแยกธุรกิจโฆษณาบางส่วนออกจากกูเกิล ตั้งเป็นอีกบริษัทที่สังกัดบริษัทแม่ Alphabet แทน
ธุรกิจโฆษณาของกูเกิลแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ฝั่งกูเกิลเป็นผู้ขายพื้นที่โฆษณา (กูเกิลเป็นเจ้าของพื้นที่เอง เช่น AdWords) และฝั่งกูเกิลเป็นผู้ซื้อพื้นที่โฆษณา (ลงโฆษณาในพื้นที่ของคนอื่น เช่น AdSense) โดยมีระบบประมูลโฆษณาของกูเกิลเป็นแกนกลาง การที่กูเกิลมีสถานะเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จึงมีผลประโยชน์ทับซ้อนและอาจใช้ข้อมูลตรงนี้กีดกันคู่แข่งได้ และเป็นสิ่งที่ให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเข้ามาสนใจกำกับดูแล
DOJ หรือกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ออกประกาศฟ้องร้อง Xinjiang Jin หรือ Julien Jin ในข้อหาก่อกวนวิดีโอคอลที่จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกเหตุการณ์สังหารหมู่หน้าจัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 ซึ่ง DOJ ไม่ได้ระบุว่าผู้ว่าจ้าง Jin คือใคร (ในเอกสารใช้คำว่า Company-1) แต่ Zoom ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ชัดเจนว่า ทางบริษัทคือผู้ว่าจ้าง Jin เอง
Zoom ระบุว่า Jin เป็นพนักงานที่มีหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่าง Zoom กับหน่วยงานด้านกฎหมายและข่าวกรองของจีน โดยการว่าจ้าง Jin มาเนื่องจากก่อนหน้านี้ Zoom ถูกบล็อคในประเทศจีน บริษัทจึงต้องร่วมมือกับหน่วยงานในประเทศจีนเพื่อจัดการเซนเซอร์เนื้อหาที่รัฐบาลจีนไม่ต้องการ รวมถึงว่าจ้าง Jin เข้ามาเป็นผู้ติดต่อประสานงานระหว่าง Zoom กับรัฐบาลจีน
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (Department of Justice) ร่วมกับอัยการใหญ่อีก 11 รัฐ ยื่นฟ้องกูเกิลข้อหาผูกขาดบริการค้นหาและโฆษณาบนระบบค้นหา (search advertising) อย่างเป็นทางการ
ประเด็นที่กระทรวงยุติธรรมชี้ว่ากูเกิลมีพฤติกรรมผูกขาด คือการที่กูเกิลไปเซ็นสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับบริษัทต่างๆ (เช่น เบราว์เซอร์ สมาร์ทโฟน และผู้ให้บริการโทรคมนาคมในสหรัฐ) เพื่อให้ตัวเองเป็นเครื่องมือค้นหาหลัก โดยจ่ายเงินจำนวนเป็นหลักพันล้านดอลลาร์ต่อปี และในสัญญาบางฉบับมีเงื่อนไขห้ามติดตั้งเครื่องมือค้นหาของคู่แข่ง ส่งผลให้ไม่มีบริษัทใดขึ้นมาแข่งขันกับกูเกิลได้เลย
ในบางกรณี เช่น ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ยังเจอสัญญาบีบให้ติดตั้งแอพของกูเกิล (gapps) ทั้งชุด และต้องนำเสนอแอพของกูเกิลในตำแหน่งที่เด่นที่สุดด้วย
รัฐบาลสหรัฐนำโดยสำนักงานอัยการเขต Eastern District of Virginia ประกาศแจ้งความผิดต่อ Julian P. Assange ผู้ก่อตั้ง WikiLeaks ที่เพิ่งถูกจับกุมในอังกฤษ ในข้อหาร่วมกันบุกรุกระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐที่มีเอกสารลับ
เรื่องนี้คือเหตุการณ์ในปี 2010 ที่ Chelsea Manning หรือชื่อเดิม Bradley Manning นักวิเคราะห์ข่าวกรองของกองทัพสหรัฐ นำเอกสารโทรเลขของสถานทูตสหรัฐทั่วโลกมาเผยแพร่ผ่าน WikiLeaks ซึ่งตัวของ Manning ถูกจับ โดนลงโทษจำคุก ได้รับการลดโทษ และพ้นโทษ ถูกปล่อยตัวมาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2017
เป็นความต่อเนื่องจากข่าวเก่า กรณีศาลชั้นต้นอนุมัติ กรณีแอปเปิลยอมความในคดีโก่งราคาอีบุ๊กแล้ว ที่สุดแล้วเมื่อปลายปี 2015 ศาลแขวงสั่งให้แอปเปิลคืนเงินให้แก่ลูกค้าสหรัฐผู้ที่ซื้อหนังสืออีบุ๊กในช่วง 1 เมษายน 2010 ถึง 21 พฤษภาคม 2012 โดยเข้าเป็นเครดิตกลับเข้าไปในสโตร์ ที่เราซื้อมาอันได้แก่ Amazon, Barnes & Noble Inc., Kobo และ Apple
แต่ละคนจะได้เดรดิตคืนมากบ้างน้อยบ้างตามจำนวนและประเภทของอีบุ๊กที่ซื้อไป แต่เครดิตที่ว่าจะไม่อยู่กับเราไปตลอด จะหมดอายุหนึ่งปี ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 24 เวลาเกือบเที่ยงคืนเวลาอเมริกา หรือเวลา 5 โมงเย็นของวันที่ 25 ตามเวลาบ้านเรา
ถ้ายังจำกันได้ Yahoo เคยถูกแฮ็กครั้งใหญ่ 2 ครั้งคือ ข้อมูลหลุด 500 ล้านบัญชีในปี 2014 (พบการแฮ็กครั้งนี้ก่อน) และ อีก 1,000 ล้านบัญชีในปี 2013
เมื่อคืนนี้ กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ เปิดเผยรายชื่อผู้กระทำผิดในเหตุการณ์แฮ็กปี 2014 (กรณีแรก) จำนวน 4 ราย ในจำนวนนี้ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของหน่วยข่าวกรองรัสเซีย (Federal Security Service หรือ FSB) 2 ราย, ชาวรัสเซีย 1 ราย และชาวแคนาดาเชื้อสายคาซัคสถานอีก 1 ราย โดยสองรายหลังได้รับการว่าจ้างจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง 2 รายแรก ให้แฮ็กระบบของ Yahoo
กลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนกว่า 50 องค์กรรวมตัวกันเรียกร้องต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ให้ช่วยพิจารณาขอบเขตของกฎหมายและสืบสวนหาข้อเท็จจริงในการนำเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าไปใช้งานอย่างไม่เหมาะสม หลังเทคโนโลยีนี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายและมากเกินความจำเป็น จากภาครัฐ ทั้งตำรวจและ FBI
กลุ่มองค์กรเผยว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่จำกัดการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างมีขอบเขตและเป็นธรรม โดยชี้ว่าเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าแทบถูกเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย และอาจนำไปสู่การใช้งานโดยอคติ ซึ่งกรณีนี้กระทรวงยุติธรรมกำลังสอบสวนองค์กรตรวจอยู่ด้วย
หลังจากที่เมื่อเช้านี้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ถอนคำร้องขอให้ Apple ปลดล็อก iPhone ของกลาง เพราะเข้าถึง iPhone ของกลางได้แล้ว ก็มีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญตามมาติดๆ ว่าทางรัฐบาลควรแจ้ง Apple เพื่อปิดช่องโหว่ที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลนี้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมไม่ได้ระบุว่าจะแจ้งช่องโหว่ความปลอดภัยดังกล่าวให้กับทาง Apple ตามขั้นตอนของรัฐบาลกลางหรือไม่
คดีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DoJ) ยื่นให้ศาลสั่งแอปเปิลทำรอมพิเศษ เพื่อให้ FBI ถอดรหัส iPhone ได้ง่ายขึ้น เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก หลายฝ่ายต่างจับตาคดีนี้ว่าจะสิ้นสุดอย่างไร เพราะเป็นคดีตัวอย่างเรื่องการเข้ารหัสของอุปกรณ์พกพา
แต่ล่าสุด คดีนี้จบลงแบบง่ายๆ เมื่อกระทรวงยุติธรรมถอนฟ้องคดี ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าหาวิธีถอดรหัส iPhone โดยไม่ต้องพึ่งพาแอปเปิลได้แล้ว กระทรวงจึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งก่อนหน้านี้ที่สั่งให้แอปเปิลร่วมมือ (ซึ่งแอปเปิลกำลังอุทธรณ์อยู่)
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่ากระทรวงยุติธรรมถอดรหัส iPhone ด้วยวิธีไหน ในเอกสารที่กระทรวงยื่นต่อศาลก็เขียนสั้นๆ เพียง 3 บรรทัดว่า "ถอดได้แล้ว"
หลังจากที่กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ยื่นต่อศาลเพื่อเลื่อนการพิจารณาคำร้องที่จะบังคับให้ Apple ปลดล็อก iPhone ของกลางในคดีที่เมือง San Bernardino ออกไป พร้อมกับระบุว่ากำลังทำงานร่วมกับฝ่ายอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี (outsider party) เพื่อเข้าถึงข้อมูลเครื่อง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าตกลงแล้วใครคือคนที่ FBI กำลังทำงานด้วย วันนี้สำนักข่าว Reuters ออกมารายงานข่าวลือว่าเป็นบริษัทด้านความปลอดภัยจากอิสราเอล
หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ นำโดยกระทรวงยุติธรรม (Department of Justic: DoJ) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอเลื่อนการไต่สวนกรณีที่ต้องการให้ศาลบังคับ Apple ปลดล็อค iPhone 5c ที่เป็นของกลางในกรณีกราดยิงที่เมือง San Bernardino
ในคำร้องระบุว่า FBI กำลังหาช่องทางอื่นที่เป็นไปได้ในการปลดล็อค iPhone โดยระบุว่ามีบางฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี (outside party) ได้สาธิตวิธีการปลดล็อค iPhone ให้กับทาง FBI ซึ่งตอนนี้กำลังประเมินอยู่ว่าจะใช้ได้มากน้อยเพียงใด หากทำได้ FBI อาจจะไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากทาง Apple อีกต่อไปภายใต้กฎหมาย All Writs Act
ทั้งนี้ ศาลได้พิจารณาตามคำขอและอนุญาต โดยกำหนดว่าทาง DoJ ต้องนำส่งรายงานความคืบหน้าในวันที่ 5 เมษายนนี้
ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐ (FBI + กระทรวงยุติธรรม) กับแอปเปิลในกรณีถอดรหัส iPhone เป็นเพียงตัวอย่างของปัญหาใหญ่เรื่องการเข้ารหัสข้อมูลเท่านั้น บริษัทด้านไอทีทุกแห่งมีโอกาสเจอปัญหาแบบเดียวกัน และล่าสุดมีข่าวว่ารายต่อไปที่จะโดนกดดันจากภาครัฐคือ WhatsApp
หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงานข่าววงในว่า เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรมกำลังถกเถียงว่าจะแก้ปัญหาเรื่องการเข้าถึงข้อความใน WhatsApp อย่างไร ความนิยมใน WhatsApp เริ่มสร้างปัญหาในวงกว้าง เพราะรัฐบาลไม่สามารถดักฟังข้อความที่ถูกเข้ารหัสใน WhatsApp ได้
ศาลฎีกาตัดสินคดีเรื่องการโก่งราคาอีบุ๊กของ Apple และยืนยันคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ว่า Apple มีความผิดจริงตามคำฟ้องที่ยื่นร่วมกันโดยกระทรวงยุติธรรมและรัฐต่างๆ อีกกว่า 30 รัฐ ยังผลให้ Apple ต้องจ่ายเงิน 450 ล้านดอลลาร์
ความผิดของ Apple นั้นมาจากการกำหนดเงื่อนไขการตั้งราคาอีบุ๊กใน iBookstore ตั้งแต่ปี 2010 โดยทำข้อตกลงกับสำนักพิมพ์รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา 7 แห่ง ห้ามมิให้สำนักพิมพ์ตั้งราคาอีบุ๊กแพงกว่าแหล่งขายอื่น ส่งผลให้ราคาอีบุ๊กในร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ที่เคยขายถูกสุดอยู่ที่ 9.99 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเป็น 12.99-14.99 ดอลลาร์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการฮั้วกันโก่งราคาขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการผูกขาดทางการค้า
คดีเก่าเรื่องแอปเปิลกับการปลดล็อค iPhone ของผู้กราดยิงในเมือง San Bernardio ยังไม่ได้ข้อยุติ ก็มีข่าวตามหลังมาติดๆ ว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ต้องการปลดล็อค iPhone อีก 9 เครื่องที่เป็นของกลางในคดีอื่นๆ ด้วย
เรื่องนี้ถูกเปิดเผยโดย Marc J. Zwillinger ทนายความของแอปเปิลที่เขียนจดหมายส่งต่อศาล ย้ำว่าแอปเปิลไม่ต้องการปลดล็อค iPhone เหล่านี้ ในจดหมายยังระบุว่าแอปเปิลเริ่มได้รับคำขอจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015
แอปเปิลไม่ได้ระบุรายละเอียดของคดีที่ iPhone เหล่านี้ไปเกี่ยวข้องด้วย บอกเพียงว่าเป็นคดีที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก ชิคาโก แอลเอ ซานฟรานซิสโก และบอสตัน
จากกรณี Apple vs FBI เรื่องการปลดรหัสเข้า iPhone ของผู้ต้องสงสัย Pew Research Center ศูนย์วิจัยอิสระทำแบบสอบถามความเห็นชาวอเมริกัน 1,002 คน ว่ามีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
ผู้ตอบแบบสำรวจ 51% มองว่าแอปเปิลควรปลดล็อค iPhone ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมี 38% และอีก 11% ไม่ทราบ การสำรวจเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 18-21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ถ้าแยกตามกลุ่มอายุ ระดับการศึกษา และอุดมการณ์ทางการเมือง ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบทุกกลุ่มเห็นว่าแอปเปิลควรปลดล็อคด้วยสัดส่วนที่มากกว่า จะมียกเว้นในกรณีเป็นผู้ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด (independent) ที่มีความเห็นเข้าข้างพรรคเดโมแครต (Lean Democrat) เท่านั้นที่เห็นว่าแอปเปิลไม่ควรปลดล็อค