CIQ, Oracle, และ SUSE กลุ่มผู้แจกจ่ายลินุกซ์ดิสโทรที่ใช้ CentOS เป็นฐาน ประกาศก่อตั้ง Open Enterprise Linux Association (OpenELA) เพื่อพัฒนาดิสโทรที่เข้ากันได้กับ RHEL ต่อไป แม้ทาง Red Hat จะไม่เปิดโค้ดของ RHEL ให้แล้วก็ตาม
ภายในปีนี้ OpenELA จะเริ่มปล่อยซอร์สโค้ดสำหรับ EL8 และ EL9 และในอนาคตอาจจะย้อนกลับไปซัพพอร์ต EL7 อีกด้วย
AlmaLinux โครงการลินุกซ์ที่สร้างขึ้นทดแทน CentOS ประกาศแนวทางว่าจะไม่เอาเรื่องเข้ากันได้กับ RHEL ได้แบบ 100% ทดแทนได้แบบ 1:1 แล้ว แต่จะรักษาความเข้ากันได้ในระดับ Application Binary Interface (ABI) compatible คือแอพที่สร้างมารันบน RHEL จะสามารถรันบน AlmaLinux ได้อย่างไม่มีปัญหา
AlmaLinux บอกว่าผู้ใช้ทั่วไปจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะจะยังได้รับแพตช์ความปลอดภัยในเวลารวดเร็วเช่นเดิม รันแอพที่ออกแบบมาบน RHEL ได้เหมือนเดิม แต่จะไม่เหมือนกับ RHEL เป๊ะๆ ชนิดบั๊กต่อบั๊กอีกแล้ว ข้อดีของแนวทางนี้คือ AlmaLinux อาจแก้บั๊กได้เร็วกว่า RHEL ด้วยซ้ำ และการแก้บั๊กของ AlmaLinux จะเพิ่มคอมเมนต์ในซอร์สโค้ดด้วยว่านำแพตช์มาจากที่ใด ช่วยให้โครงการโปร่งใสมากขึ้น
SUSE บริษัทซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ประกาศพัฒนาลินุกซ์ต่อจาก RHEL ของ Red Hat แม้ว่าจะมี SUSE Linux Enterprise (SLE) เป็นดิสโทรหลักอยู่แล้วก็ตาม โดยโครงการใหม่ที่แยกออกมาจาก RHEL นี้จะดูแลโดยมูลนิธิด้านโอเพนซอร์สภายนอก เพื่อดูแลว่าสามาารถใช้งานซอร์สโค้ดร่วมกันได้ โดยทาง SUSE จะลงทุน 10 ล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ภายในระยะเวลาหลายปีข้างหน้า
Oracle ประกาศพัฒนา Oracle Linux ต่อแม้จะไม่สามารถใช้โค้ดของ RHEL ได้อีกต่อไป หลังจาก Red Hat ปิดการเข้าถึงซอร์สโค้ด พร้อมกับเชิญดิสโทรอื่นๆ มาใช้โค้ดของ Oracle Linux
ที่ผ่านมา Oracle Linux ก็เป็นหนึ่งในดิสโทรที่ใช้โค้ดจาก RHEL มาคอมไพล์ แต่หลังจากนี้ทาง Oracle ก็จะพัฒนาแยกออกไปเอง แต่ยังสัญญาว่าจะคงความเข้ากันได้ให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หากมีจุดไหนไม่เข้ากันทาง Oracle ก็จะถือว่าเป็นบั๊กและพยายามแก้ปัญหาให้
Red Hat Enterprise Linux 7 (RHEL 7) จะสิ้นสุดอายุขัยในวันที่ 30 มิถุนายน 2024 (RHEL มีระยะซัพพอร์ต 10 ปีเต็มหลังออกครั้งแรก เป็นสุตร 5+5 คือ 5 ปีแรกซัพพอร์ตเต็มรูปแบบ 5 ปีหลังมีเฉพาะแพตช์ความปลอดภัยและแก้บั๊ก)
เมื่อพ้นระยะ 10 ปีแล้ว ลูกค้าที่ย้ายเวอร์ชันใหญ่ไม่ทัน สามารถเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อซัพพอร์ตแบบพิเศษ Extended Life Cycle Support (ELS) ได้อีก 2 ปี (ถึงกลางปี 2026)
ล่าสุด Red Hat ประกาศยืดอายุซัพพอร์ต RHEL 7 แบบ ELS ให้เป็น 4 ปี (ถึงกลางปี 2028) และขยายการแพตช์ช่องโหว่จากเดิมเฉพาะระดับร้ายแรง (critical) เพิ่มมาเป็นระดับสำคัญ (important) ให้ด้วย โดยการขยายเวลา 4 ปีครั้งนี้ถือเป็นรอบพิเศษมีครั้งเดียว (one-time) ส่วนการซัพพอร์ต ELS ของ RHEL 8 และ 9 จะเพิ่มเป็น 3 ปี
หลังจาก Red Hat ไม่ปล่อยซอร์สโค้ด RHEL ก็ส่งผลกระทบต่อดิสโทรปลายน้ำที่นำโค้ดไปคอมไพล์ต่อ โดยตัวสำคัญสองตัว คือ AlmaLinux และ Rocky Linux ก็ออกมายืนยันว่าจะมีอัพเดตต่อไป
ทางฝั่ง AlmaLinux นั้นระบุว่าจะนำแพตช์มาจากหลายแหล่ง เช่น CentOS Stream และ Oracle Linux (ซึ่งเดิมใช้แพตช์จาก RHEL เหมือนกัน) นอกจากนี้แถลงของ AlmaLinux ยังตอบโต้แถลงของ Red Hat ที่ระบุว่าดิสโทร rebuild ไม่ได้สร้างคุณค่า โดยระบุว่าชุมชน AlmaLinux ช่วยดูแลแพลตฟอร์ม อย่าง Respberry Pi ส่งโค้ดกลับโครงการต้นน้ำหลายโครงกร และดูแลโครงการใน EPEL ที่เป็นแพ็กเกจนอกเหนือจากที่ Red Hat ดูแลอยู่จำนวนมาก
แนวทางของ Red Hat ที่บีบให้ดิสโทรที่ดูดโค้ดจาก RHEL ไปสร้างดิสโทรใหม่ได้ยากขึ้นในช่วงหลัง ซึ่งเป็นแนวทางต่อเนื่องมาตั้งแต่การทิ้ง CentOS 8 เมื่อปี 2020 สร้างความไม่พอใจกับชุมชนโอเพนซอร์สจำนวนหนึ่ง ล่าสุด Mike McGrath รองประธานฝ่าย Core Platform Engineering ของ Red Hat ก็ออกมาเขียนบล็อกตอบโต้ ความไม่พอใจเหล่านี้ ที่หลายคนวิจารณ์ว่า Red Hat กลายเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ปิด และได้รับแนวทางมาจากไอบีเอ็ม
Red Hat ประกาศเลิกเปิดซอร์สโค้ดของ RHEL ลงเว็บ git.centos.org และจะเปิดซอร์สโค้ดผ่านทางหน้าพอร์ทัลลูกค้าและพาร์ตเนอร์เท่านั้น
ทาง Red Hat ให้เหตุผลว่าหลังจากปรับ CentOS ให้เหลือแต่ CentOS Stream ที่ไม่ใช่เวอร์ชั่นเสถียรระยะยาวเหมือน RHEL อีกต่อไป git ของ CentOS ก็ใช้งานกับ CentOS Stream อย่างเดียวอยู่แล้ว แต่บริษัทก็ยังเปิดซอร์สโค้ดของ RHEL ออกมาด้วย ซึ่งกลายเป็นการทำงานที่ไม่จำเป็น
Red Hat ปล่อย Podman Desktop 1.0 โปรแกรมพร้อม GUI สำหรับการรัน Podman บนวินโดวส์, แมค, หรือลิกนุกซ์ โดยการใช้งานหลักคือการพัฒนาแอปพลิเคชั่นก่อนนำไปรันบน Kubernetes
โปรแกรมรูปแบบเดียวกันนี้ในตลาดมีหลายตัว เช่น Docker Desktop, Racher Desktop โดยก่อนหน้านี้โปรแกรมเหล่านี้มีความจำเป็นมากหากต้องการใช้งาน Docker บนวินโดวส์ แต่ในช่วงหลังไมโครซอฟท์ก็รองรับ WSL แบบ SystemD ทำให้สามารถติดตั้งทั้งลินุกซ์หรือ Docker ได้เองเหมือนบนลินุกซ์ทำให้อาจจะมีเหตุจำเป็นให้ใช้งานน้อยลง
เมื่อปี 2020 Red Hat ช็อควงการด้วยการหยุดทำ CentOS 8 และตัดจบอายุซัพพอร์ตที่สิ้นปี 2021 บีบให้ผู้ใช้งาน CentOS 8 ต้องย้ายไปใช้ RHEL 8 แบบเสียเงิน หรือดิสโทรทางเลือกอื่นๆ แทน
ปัญหาเรื่อง CentOS 8 ยุติไปแล้ว แต่ยังมีกลุ่มผู้ใช้ CentOS 7 เวอร์ชันก่อนหน้าที่ไม่ถูก Red Hat ตัดจบแบบเดียวกัน ได้อายุซัพพอร์ตนาน 10 ปี ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 มิถุนายน 2024 เป็นระเบิดเวลาลูกต่อไป
ทางเลือกของผู้ใช้ CentOS 7 ในปัจจุบันไม่สามารถอัพเกรดเป็น CentOS 8 ตรงๆ ได้อีกแล้ว การย้ายระบบให้ทันเส้นตายจึงไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะผู้ใช้งานบนคลาวด์ ที่ต้องปิด VM, ลบ VM ทิ้ง แล้วสร้างใหม่เท่านั้น
Red Hat ออก Red Hat Enterprise Linux (RHEL) เวอร์ชัน 9.1 ทิ้งช่วงห่าง 6 เดือนพอดีจากเวอร์ชัน 9.0 ที่เป็นอัพเกรดใหญ่
นอกจากการอัพเดตแพ็กเกจตามปกติ ของใหม่คือการติดตั้ง Microsoft SQL Server ง่ายขึ้น, Smart Management สำหรับการจัดการระดับสูง, Insights วิเคราะห์ข้อมูลของระบบ
Red Hat ยังออกแพ็กเกจ .NET 7 ให้ลูกค้า RHEL ทั้งบน RHEL 8.7 และ 9.1 โดยซัพพอร์ตเครื่องที่เป็น IBM Power ด้วย
Red Hat ประกาศแต่งตั้ง Matt Hicks เป็นซีอีโอคนใหม่ โดยก่อนหน้านี้เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี ส่วน Paul Cormier ซีอีโอคนปัจจุบัน จะไปรับตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารแทน
Hicks ทำงานที่ Red Hat มาตั้งแต่ปี 2006 โดยตำแหน่งคือนักพัฒนา รับผิดชอบการพอร์ตแอพพลิเคชัน Perl ไปเป็น Java ซึ่งเขาก็บอกว่าจากจุดเริ่มต้นนั้น เขาก็เติบโตมาจนรับตำแหน่งซีอีโอในที่สุด ผลงานเด่นของ Hicks คือโครงการ OpenShift ที่ผลักดันให้ Red Hat มาเป็นเทคโนโลยีสำคัญบนคลาวด์
ปัจจุบัน Red Hat เป็นบริษัทในเครือไอบีเอ็ม
Lennart Poettering ผู้สร้าง PulseAudio, Avahi, และ systemd ย้ายงานจาก Red Hat ไปทำงานกับไมโครซอฟท์แล้ว โดยเขาระบุว่ายังคงโฟกัสกับ systemd ต่อไป
Poettering ทำงานกับ Red Hat มาตั้งแต่ปี 2008 และสร้าง systemd มาตั้งแต่ปี 2010 ทุกวันนี้ systemd ครองโลกลินุกซ์ค่อนข้างเบ็ดเสร็จ หลังจาก Debian เลือกใช้งานในเวอร์ชั่น 8 (jessie) เมื่อปี 2013, Red Hat เลือกใช้งานตั้งแต่ปี 2014, และ Ubuntu ใช้งานตั้งแต่เวอร์ชั่น 15.04
Red Hat Enterprise Linux ออกเวอร์ชัน 9.0 โดยนับเป็นเวอร์ชันแรกที่อิงจาก CentOS Stream 9 หลัง Red Hat เปลี่ยนนโยบายของ CentOS จากดิสโทรที่เข้ากันได้กับ RHEL กลายมาเป็นดิสโทรต้นน้ำของ RHEL แทน (สืบต่อกันมาจาก Fedora 34 อีกที)
ของใหม่ใน RHEL 9.0 มีหลายอย่างดังนี้
Red Hat เปิดโครงการทดลอง MicroShift ดิสโทร Kubernetes ที่ตัดแต่งจนเหลือขนาดเล็กมากๆ ไว้สำหรับรันบนพอร์ดคอมพิวเตอร์ เช่น Raspberry Pi หรือ NVIDIA Jetson
ช่องว่างที่หายไปของ CentOS ทำให้เกิดดิสโทรลินุกซ์ทางเลือกมาทดแทนหลายราย ที่เด่นๆ คือโครงการใหม่ทั้ง AlmaLinux และ RockyLinux แต่ก็ยังมีดิสโทรจากบริษัทใหญ่อย่าง Oracle Linux และ Amazon Linux มาเป็นทางเลือกด้วย
ล่าสุด SUSE ดิสโทรยักษ์ใหญ่อีกรายจากฝั่งยุโรปที่เป็นคู่แข่งกับ Red Hat มานาน ประกาศทำ SUSE Liberty Linux โดยนำซอร์สโค้ดของ Red Hat Enterprise Linux (RHEL) มาคอมไพล์เป็นไบนารีแจกฟรีๆ
SUSE Liberty Linux จะใช้แพ็กเกจทุกอย่างเหมือนกับ RHEL ทุกประการ ยกเว้นเคอร์เนลที่ใช้เคอร์เนลของ SUSE Linux Enterprise (SLE) เอง แต่ก็คอมไพล์ด้วยคอนฟิกที่เข้ากันได้กับ RHEL
โครงการ CentOS ภายใต้การดูแลของ Red Hat เปิดตัว CentOS Stream 9 ซึ่งถือเป็นยุคใหม่ของ CentOS หลังการเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ เลิกซัพพอร์ต CentOS 8 เมื่อปลายปี 2020
เดิมที CentOS เป็นการนำซอร์สโค้ดของ Red Hat Enterprise Linux (RHEL) ที่เป็นรุ่นเสถียรสำหรับองค์กร มาคอมไพล์เป็นไบนารี แจกจ่ายให้ฟรีโดยไม่ต้องซื้อ subscription จาก Red Hat โดยเลขเวอร์ชันของ CentOS จะเท่ากับ RHEL เสมอ และออกตามหลัง RHEL เล็กน้อย
Red Hat เปิดทดสอบ Red Hat Enterprise Linux (RHEL) 9 Beta ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่รุ่นถัดไปของ RHEL
Red Hat ระบุว่า RHEL 9 ต่างไปจาก RHEL รุ่นใหญ่ในอดีต ตรงที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยลง (แม้ยังมีฟีเจอร์ใหม่บ้าง) เพื่อให้แอดมินลดภาระการเรียนรู้ของใหม่ๆ ลงจากเดิม นอกจากนี้ RHEL 9 ยังเป็นดิสโทรเวอร์ชันแรกที่ดึงแพ็กเกจมาจาก CentOS Stream ตามแนวทางใหม่ของโครงการ CentOS ที่เปลี่ยนทิศทางใหม่ เลิกทำ CentOS ซัพพอร์ตระยะยาว กลายมาเป็นดิสโทรต้นน้ำของ RHEL
Red Hat เป็นผู้พัฒนาส่วนขยายภาษา Java ให้กับ Visual Studio Code มาตั้งแต่ปี 2016 (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Language Support for Java by Red Hat ที่ไม่มีใครเรียก ทุกคนเรียก vscode-java) ผ่านมาหลายปี ส่วนขยายนี้เดินทางมาถึงเวอร์ชัน 1.0 แล้ว
Red Hat ประกาศอัพเกรด Ansible Automation Platform (APP) เป็นเวอร์ชั่น 2 โดยจัดรูปแบบเพ็กเกจใหม่ ตามแนวทางโครงการ Ansible ฝั่งโอนเพนซอรส์ที่แยกสคริปต์ต่างๆ ออกเป็นโครงการต่างหากออกจากตัวโครงการ Ansible
ใน AAP ทาง Red Hat จะแยก Ansible Tower ออกเป็นสองส่วน คือ automation controller และ automation execution environments และสองส่วนนี้แยกกันรันคนละโหนดได้ ในเวอร์ชั่นต่อๆ ไปจะเพิ่ม automation mesh เพื่อรองรับการรันในเครื่องบน edge หรือบนคลาวด์
ตอนนี้ AAP 2 ยังอยู่ในสถานะ Early Access ให้ลูกค้าของ Red Hat เข้าไปโหลดมาทดสอบเตรียมย้ายระบบ และภายในปีนี้คาดว่าจะออก AAP 2.1 ในสถานะ GA
Red Hat ประกาศจับมือกับ Nutanix เป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเสนอโซลูชั่นคู่กันแม้ว่าทั้งสองบริษัทจะมีโซลูชั่นทับกันอยู่บ้างก็ตาม
ภายใต้ความร่วมมือนี้ Nutanix จะแนะนำให้ลูกค้าที่ต้องการใช้ Kubernetes บน Nutanix Cloud Platform (AOS และ AHV) ให้ใช้ Red Hat OpenShift และในทางกลับกัน Red Hat ก็จะแนะนำลูกค้าทั้ง Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat OpenShift ให้ใช้โซลูชั่น hyperconverged ของ Nutanix
นอกจากการแนะนำลูกค้าข้ามกันแล้ว ทั้งสองบริษัทจะทำงานร่วมกัน โดยทดสอบซอฟต์แวร์ว่าทำงานร่วมกันได้ดี และฟีเจอร์ที่เพิ่มเติมในอนาคตก็จะปรับให้เข้ากับสินค้าของอีกฝ่ายมากขึ้น
เมื่อต้นเดือนนี้ มีข่าว Jim Whitehurst อดีตซีอีโอ Red Hat ลาออกจาก IBM หลังควบกิจการมาได้ 14 เดือน สร้างความแปลกใจให้หลายคน
Whitehurst เป็นแกนหลักสำคัญในการขาย Red Hat ให้ IBM และหลังควบกิจการเสร็จ เขาเข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานบริษัท (president) ของ IBM ถือเป็นเบอร์สองของบริษัท ในขณะที่ IBM แต่งตั้งลูกหม้อ Arvind Krishna เป็นซีอีโอคนใหม่
ล่าสุด Whitehurst ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า สาเหตุที่เขาลาออกจาก IBM ก็เป็นอย่างที่หลายคนคาดกัน เป็นเพราะเขาไม่มีโอกาสได้ขึ้นเป็นซีอีโอของ IBM นั่นเอง จึงลาออกเพื่อจะไปเป็นซีอีโอของ "ที่ไหนสักแห่ง" ซึ่งคงต้องรอดูกันว่าจะเป็นที่ไหน
ไอบีเอ็มประกาศปรับเปลี่ยนตำแหน่งในฝ่ายบริหารของบริษัท โดย Jim Whitehurst จะลงจากตำแหน่งประธานบริษัท (President) ที่เขาได้รับการแต่งตั้งเมื่อต้นปีที่แล้ว และจะรับตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสโดยตรงของซีอีโอ Arvind Krishna ทั้งนี้ Jim เข้ามารับตำแหน่งประธานไอบีเอ็ม จากดีลซื้อกิจการ Red Hat ซึ่งเขาเป็นซีอีโออยู่ และมีส่วนสำคัญในการควบรวมสองกิจการนี้เข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ Bridget van Kralingen รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดทั่วโลก ก็ประกาศลงจากตำแหน่ง โดยจะมาดูแลโครงการพิเศษของไอบีเอ็มจนครบกำหนดเกษียณ โดย Rob Thomas รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจคลาวด์และแพลตฟอร์มข้อมูลจะมารับตำแหน่งนี้ต่อ
โลกธุรกิจในทุกวันนี้ ให้ความสำคัญกับความเร็วเป็นอันดับหนึ่ง องค์กรต้องการลดเวลาที่บริการแต่ละตัวใช้ในการพัฒนา จนถึงนำออกมาให้บริการ (time to value) เพื่อให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากบริการใหม่ๆ ได้ทันที
แนวทางเช่นนี้ทำให้บริการคลาวด์เข้ามาช่วยองค์กรได้มากขึ้น เพราะนักพัฒนาสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอให้ใครมาเซ็ตอัพเครื่องมือต่างๆ ให้เหมือนระบบไอทียุคก่อน
Red Hat ประกาศชูแนวทาง Open Hybrid Cloud แนวทางที่เปิดทางให้องค์กรสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่โหลดงานเพิ่มขึ้นอย่างเกินการคาดเดาได้ในงาน Red Hat Summit 2021
Matt Hicks ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี Red Hat ชี้ว่าปี 2020 นับเป็นปีที่องค์กรต่างๆ พบความเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก และพบความท้าทายอย่างมากไม่ว่าจะวางแผนไว้ดีเพียงใด ย้ำให้เห็นความสำคัญของแนวทาง open hybrid cloud ที่ Red Hat พยายามนำเสนอตลอดมา โดยแนวทางนี้เปิดทางให้องค์กรวางแผนถึงความเปลี่ยนแปลงระยะยาว ในขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเพื่อรองรับความจำเป็นระยะสั้นได้ทันท่วงที