JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่อันดับสองของจีน ประกาศสถิติยอดขายของเทศกาลคนโสด โดย JD.com จัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 1-11 พฤศจิกายน 2018 มียอดขายสุทธิ (GMV) 1.59 แสนล้านหยวน หรือราว 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (มากหรือน้อย ก็ลองเทียบกับ Alibaba ที่ 2.135 แสนล้านหยวนในหนึ่งวัน)
Lei Xu หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ JD.com ให้ความเห็นว่าพฤติกรรมลูกค้าจีนนั้นเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับคุณภาพมากขึ้น จากเดิมที่พิจารณาราคาเป็นหลัก ทำให้ลูกค้ายินดีซื้อสินค้าแบรนด์และสินค้านำเข้ามากขึ้น ซึ่งเป็นจุดขายของ JD.com ที่เน้นว่าจะไม่มีสินค้าปลอมแปลงวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม
Alibaba อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน สรุปสถิติตัวเลขในเทศกาลลดราคาประจำปี 11.11 โดยมียอดขายสุทธิ (GMV) 2.135 แสนล้านหยวน (3.08 หมื่นล้านดอลลาร์, 1 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 27% จากเทศกาลลดราคาของปี 2017
Joe Tsai รองประธาน Alibaba กล่าวว่าแม้ช่วงปีที่ผ่านมาจีนจะประสบปัญหาเศรษฐกิจผันผวน แต่ประเทศจีนก็ยังคงเติบโตและมีกลุ่มคนระดับกลางมากขึ้น ซึ่งพวกเขาเหล่านี้แสวงหาสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เกี่ยวกับว่าจะมีสงครามการค้าหรือไม่
บริษัทขนส่งสินค้า Cainiao ในเครือ Alibaba ยังเปิดเผยว่า 40 นาทีก่อนหมดวัน จำนวนออเดอร์ได้ทะลุ 1 พันล้านคำสั่งเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นความท้าทายในการจัดส่งสินค้าจำนวนมหาศาลขนาดนี้เช่นกัน
Alibaba ยังคงเดินหน้าทุบสถิติยอดขายในวันคนโสดจีน 11 เดือน 11 ต่อเนื่อง หลังจากช่วงเช้าทำสถิติแสนล้านหยวนในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ล่าสุดยอดขายสุทธิ (GMV) ได้ผ่าน 25,300 ล้านดอลลาร์ ไปแล้ว ที่เวลาประมาณ 15:49น. ตามเวลาในจีน
25,300 ล้านดอลลาร์ คือยอดขายสุทธิในวันที่ 11 เดือน 11 ของปี 2017 นั่นเท่ากับว่า Alibaba ยังมีเวลาอีกกว่า 8 ชั่วโมง ที่จะเพิ่มตัวเลขนี้ให้สูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ต่อเนื่องอีกปีไปอีก
นอกจากยอดขายแล้ว จำนวนออเดอร์ก็ทะลุ 812 ล้านคำสั่งซื้อ ซึ่งเป็นสถิติของปี 2017 เช่นกัน
เข้าสู่วันที่ 11 เดือน 11 สำหรับในไทยก็เป็นเทศกาลลดราคาของบรรดาเว็บอีคอมเมิร์ซ แต่ต้นตำรับงานนี้มาจากจีน ในฐานะเป็นวันคนโสดจีน
ตัวเลขที่สำคัญคือ Alibaba ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ทำสถิติยอดขายได้ราว 4,680 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวดเร็วมากเมื่อเทียบยอดขายเทศกาลลดราคา Prime Day ของ Amazon ที่ผ่านมา ซึ่งขายเป็นเวลา 36 ชั่วโมง ทำยอดขายได้ราว 4,200 ล้านดอลลาร์
โดยถึงตอนนี้ Alibaba ได้ออกมาเปิดเผยสถิติที่แม้ยังไม่จบวัน แต่ก็น่าสนใจมากดังนี้
Amazon เซ็นสัญญากับแอปเปิล ขยายการขายสินค้าของแอปเปิลบนเว็บไซต์ Amazon ในหลายประเทศทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน ญี่ปุ่น อินเดีย
ที่ผ่านมา แอปเปิลมีสินค้าบางอย่างวางขายบน Amazon อยู่แล้ว (เช่น MacBook) ข้อตกลงนี้เป็นการขยายไลน์สินค้าให้มากกว่าเดิม ครอบคลุมสินค้าแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ iPhone, iPad, Apple Watch, Mac รวมไปถึงหูฟัง Beats แต่ไม่รวมถึงลำโพง HomePod ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับลำโพง Amazon Echo
aCommerce บริษัทด้านเทคโนโลยีและโซลูชันด้านอีคอมเมิร์ซ เปิดตัว BrandIQ แพลตฟอร์มในรูปแบบ SaaS (Software as a Service) วิเคราะห์ข้อมูลนักช้อปออนไลน์ เพื่อช่วยให้แบรนด์สินค้าแต่ละรายเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก นำไปต่อยอดสำหรับสร้างกลยุทธ์การขายสินค้าออนไลน์ได้อย่างตรงใจลูกค้า และช่วยเพิ่มยอดขายให้มากยิ่งขึ้น
ฟีเจอร์สำคัญของ BrandIQ ได้แก่ การตรวจสอบสินค้าในสต็อกและยอดขายย้อนหลังได้อย่างน้อย 5-10 ปี, สามารถติดตามสินค้านั้นๆ ได้ว่ามีการจัดส่งรวดเร็วเพียงใด, ลูกค้ามีการพูดถึงสินค้าว่าอย่างไร, มีลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าเดิมซ้ำหรือไม่ รวมไปถึงสามารถวิเคราะห์ยอดขายและ Market Share ของคู่แข่ง เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับแบรนด์สินค้าของเราเองได้ เป็นต้น
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ประกาศเพิ่มบริการตัวใหม่ ซึ่งต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานที่บริษัทมีการลงทุนเองมานาน นั่นคือบริการรับขนส่งพัสดุสินค้าทั่วประเทศจีน โดยในเบื้องต้นให้บริการรับพัสดุเฉพาะใน ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว แต่สามารถจัดส่งไปยังปลายทางในจีนได้ทั้งหมด
สิ่งที่ JD.com แตกต่างจากคู่แข่ง คือการลงทุนในซัพพลายเชนของอีคอมเมิร์ซเองทั้งหมด ตั้งแต่คลังสินค้า รถบรรทุก และรถเล็กจัดส่งสินค้า ซึ่ง Zhenhui Wang ซีอีโอ JD.com กล่าวว่าบริษัทจึงสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาต่อยอดเป็นบริการขนส่งสินค้าทั่วไปได้ด้วย ตามกลยุทธ์พัฒนาให้ JD.com เป็นแพลตฟอร์ม Retail-as-a-Service ที่คนทั่วไปสามารถร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานได้
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองของจีน เตรียมเปิดตัวร้านจำหน่ายสินค้าออนไลน์แฟล็กชิปบนแพลตฟอร์ม Google Shopping ภายในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการบุกตลาดออนไลน์ในอเมริกาเต็มรูปแบบ แถมได้พาร์ทเนอร์ระดับกูเกิลด้วย
ทั้งนี้กูเกิลได้ประกาศลงทุนใน JD.com เป็นเงิน 550 ล้านดอลลาร์ ไปก่อนหน้านี้ โดย JD จะยังคงใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับในจีน คือบริหารจัดการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าเองทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ JD ได้สร้างคลังสินค้าไว้แล้วในอเมริกาหลายแห่ง ทำให้การจำหน่ายสินค้าผ่าน Google Shopping นี้ เป็นการนำสินค้าที่อยู่ในอเมริกามาขายให้คนอเมริกาโดยตรง ไม่เหมือนกับ Alibaba
Facebook เพิ่มฟีเจอร์พลัง AI ใน Marketplace เช่น ถ้าผู้ใช้โพสต์ขายเก้าอี้สำนักงาน ระบบจะแสดงราคาที่เหมาะสมสำหรับเก้าอี้ให้ และจะจัดหมวดเก้าอี้ให้ไปอยู่ในหมวดเฟอร์นิเจอร์อัตโนมัติ นอกจากนี้ยังทดลองการใช้ภาพหาสินค้า โดยผู้ใช้จะสามารถโพสต์รูปสินค้าที่อยากได้เพื่อให้ Marketplace ช่วยหาสินค้าในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ด้วย
Kaidee แพลตฟอร์มซื้อขายของที่มีสินค้าครอบคลุมหลายหมวด ที่มีสินค้ายอดนิยมบนเว็บคือ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ อสังหาริมทรัพย์ ชิ้นส่วนรถยนต์ พระเครื่อง หรือแม้แต่สินค้สเกษตร ปุ๋ย มูลสัตว์ ล่าสุด Kaidee เปิดตัว FarmKaidee เป็นเมนูแยกที่รวมเอาสินค้าเกษตรมาขายโดยเฉพาะ
Tiwa York ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Kaidee บอกว่า บน Kaidee เองก็มีเกษตรกรเข้ามาใช้งานกันอยู่แล้ว เช่น ปีที่ผ่านมา คำค้นหายอดนิยมอันดับที่ 11 คือคำว่ารถไถและก็มีการขายสินค้าเกษตรอยู่แล้ว คนซื้อก็เข้ามา ซื้อของบนแพลตฟอร์มอยู่แล้ว จึงเกิดเป็นความตั้งใจที่จะสร้างตลาดออนไลน์ FarmKaidee ขึ้นมาเพื่อพี่น้อง เกษตรกรไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงผู้บริโภคที่อยู่บนออนไลน์ได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทำการตลาดออนไลน์ที่ยุ่งยาก เพราะ FarmKaidee สามารถตอบโจทย์สิ่งที่ง่ายที่สุดในการซื้อ-ขายได้ นั่นคือ เป็นตลาดกลางที่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกัน
Instagram มีความพยายาม(ผลักดันให้แพลตฟอร์มสามารถซื้อขายสินค้ามาระยะหนึ่งแล้ว ล่าสุดก็เป็นไปตามข่าวลือโดย Instagram ประกาศเพิ่มหัวข้อ Shopping ในหน้า Explore แล้ว โดยเริ่มที่อเมริกาก่อน จากนั้นจะทยอยเปิดใช้งานทั่วโลกในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
Instagram บอกว่าเมื่อเข้าไปในหน้า Explore ผู้ใช้งานจะพบกับโพสต์ขายของจากบรรดาแบรนด์ต่าง ๆ รวมทั้งแนะนำแบรนด์ที่น่าสนใจให้ติดตามเพิ่มเติม
ข้อมูลที่น่าสนใจจาก Instagram คือมีบัญชีบนแพลตฟอร์มมากกว่า 90 ล้านบัญชี ที่มีการโพสต์ภาพพร้อมใส่แฮชแท็กที่เกี่ยวกับการขายสินค้า สะท้อนว่า Instagram เป็นพื้นที่ซึ่งคนนิยมมาเสาะหาและช้อปปิ้งซื้อสินค้ากัน
เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ Jet.com น้องใหม่ในวงการที่หวังท้าทาย Amazon โดยดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2015 และเป็นดาวเด่นจนถูก Walmart ซื้อกิจการไปอย่างรวดเร็วในปี 2016 ที่มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มาวันนี้ Jet.com ได้เปิดตัวหน้าเว็บที่ออกแบบใหม่หมด โดยโฟกัสที่การโชว์สินค้า, ข้อความ หรือรูปภาพต่างๆ ตามเมืองที่ลูกค้าคนนั้นอาศัยอยู่ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนหน้าเว็บตามเวลากลางวัน-กลางคืนด้วย โดยเริ่มที่นครนิวยอร์กก่อน และจะขยายไปเมืองอื่นเรื่อยๆ
มีรายงานข่าวว่า Instagram กำลังพัฒนาแอปแยกออกมาอีกตัว เพื่อเน้นไปที่การช้อปปิ้งซื้อสินค้าใน IG โดยเฉพาะ อาจใช้ชื่อเรียกแอปนี้ว่า IG Shopping โดยสามารถเลือกดูและสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกมากขึ้นกว่าบนแอป Instagram แบบเดิม
หลายคนคงทราบอยู่แล้วว่าบน Instagram นั้นเป็นพื้นที่ซื้อขายสินค้าที่ได้รับความนิยมแห่งหนึ่ง ข้อมูลที่ Facebook บริษัทแม่ของ Instagram เคยเปิดเผยคือมีบัญชีธุรกิจอยู่ 25 ล้านบัญชี, ผู้ใช้งาน Instagram อย่างน้อย 80% มีการกดติดตามบัญชีธุรกิจเหล่านี้ จึงเป็นโอกาสที่ Instagram มาด้านอีคอมเมิร์ซ
Pinduoduo เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่มาแรงในจีน ได้ไอพีโอเข้าตลาดหุ้น Nasdaq ไปแล้วเมื่อคืนนี้ หลังจากยื่นไฟลิ่งไปก่อนหน้า โดยได้เงินเพิ่มทุนไป 1,600 ล้านดอลลาร์ ราคาหุ้นในวันแรกปรับเพิ่มขึ้นถึง 36% ทำให้มีมูลค่ากิจการราว 24,000 ล้านดอลลาร์
ที่น่าสนใจคือ Pinduoduo ก่อตั้งเมื่อปี 2015 เท่ากับมีอายุกิจการเพียง 3 ปีเท่านั้น สื่อต่างประเทศใช้คำอธิบาย Pinduoduo ว่าเป็น Groupon ของจีน และถือเป็นคู่แข่งที่มาแย่งตลาดจาก Alibaba ไปได้พอสมควร ล่าสุดมีส่วนแบ่งในอีคอมเมิร์ซจีน 5.2% มีผู้ใช้งาน 343.6 ล้านคน และมีผู้เข้ามาซื้อสินค้าประจำทุกวันถึง 56 ล้านคน
Amazon รายงานยอดการซื้อสินค้าในช่วง Prime Day ว่าสถิติของปีนี้มีผู้สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ทั้งหมดกว่า 100 ล้านชิ้นทั่วโลก แม้ว่าจะมีปัญหาเข้าใช้งานไม่ได้เป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเนื่องจากทราฟฟิกผู้เข้าใช้ที่มีจำนวนมหาศาล โดยเทศกาลลดราคาสินค้าของ Amazon นี้เริ่มในวันที่ 16 กรกฎาคม และมีระยะเวลาทั้งสิ้น 36 ชั่วโมง
ในรายงานของ Amazon เผยว่าทางบริษัทมียอดขายสินค้าตระกูล Echo ต่อวันได้สูงที่สุดหลังมีการลดกระหน่ำให้ลูกค้าในช่วง Prime Day ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของ Amazon นั้นมี Fire TV Stick พร้อม Alexa Voice Remote และ Echo Dot
Walnut Street Group บริษัทเจ้าของ Pinduoduo ผู้ให้บริการออนไลน์จากจีนเตรียมไอพีโอเข้าตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ระดมทุน 1,630 ล้านดอลลาร์ โดยการขาย ADS (American Depositary Share) ทั้งหมด 85.6 ล้านหน่วย โดยคิดราคาหน่วยละ 16-19 ดอลลาร์
สำนักข่าว Bloomberg รายงานพิเศษ เกี่ยวกับเทคโนโลยีการขนส่งสินค้าด้วยโดรน ซึ่งตอนนี้ประเทศจีนมีความล้ำหน้ากว่าประเทศอื่นมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทดสอบ
โดย JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองของจีน ซึ่งที่ผ่านมาโฟกัสการพัฒนาเทคโนโลยีขนส่งสินค้าด้วยโดรนมาตลอด เผยว่าปัญหาใหญ่ในการขนส่งสินค้าของจีน คือการมีพื้นที่กว้างมาก และมีพื้นที่ห่างไกลหลายจุด ประเมินว่ามีประชากรจีนอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้กว่า 570 ล้านคน
DHL eCommerce เปิดบริการ DHL Parcel Metro รับส่งพัสดุได้ภายในวันเดียว เฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3 จังหวัดคือ นนทบุรี, สมุทรปราการ, ปทุมธานี ตรวจสอบสถานะการส่งของแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชั่น โดยจะแสดงหน้าจอเป็นแผนที่คล้ายเวลาเรียกรถ Uber
บริการ DHL Parcel Metro จำกัดน้ำหนักพัสดุไม่เกิน 20 กิโลกรัม และสามารถเรียกเก็บเงินค่าสินค้าปลายทางได้ โดยราคาค่าจัดส่งเริ่มต้นที่ 100 บาท และจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามน้ำหนัก และระยะทางในการจัดส่ง
Alibaba ประกาศว่าบริษัทได้เข้าถือหุ้นใน Trendyol หนึ่งในอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของตุรกี ด้วยมูลค่าที่ไม่เปิดเผย ซึ่งดีลนี้เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ซึ่ง Alibaba จะเข้ามาช่วยเรื่องเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
Trendyol เป็นอีคอมเมิร์ซที่ก่อตั้งในปี 2010 มีผู้ใช้งานราว 16 ล้านคน ข้อมูลที่น่าสนใจคือตลาดอีคอมเมิร์ซในตุรกีนั้นมีมูลค่าราว 9.19 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเพียง 3.5% ของตลาดค้าปลีกรวมในประเทศ Alibaba จึงมองว่ามีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ในดีลนี้ Trendyol ยังมองว่าเป็นโอกาสของผู้ผลิตสินค้าในประเทศ ที่จะได้ส่งออกสินค้าเมดอินตุรกีออกสู่ตลาดโลกด้วย
ที่มา: Alizila
PayPal เผยโฉม PayPal Checkout โซลูชันหน้าชำระเงิน Smart Payment Button ใหม่ที่เพิ่มตัวเลือกให้ร้านค้าหรือเว็บอีคอมเมิร์ซ สามารถเพิ่มช่องทางชำระเงินสำหรับลูกค้าให้แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ (country-specific option) คู่ไปกับปุ่มชำระเงินของ PayPal
โซลูชันใหม่มาพร้อมกับระบบ One Touch ลูกค้าแค่ล็อกอินช่องทางชำระเงินครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น โดยตอนนี้ PayPal เริ่มดีลกับผู้ให้บริการเพย์เมนท์เกตเวย์หลายๆ เจ้าในยุโรปก่อน
ที่มา - PayPal via TechCrunch
K PLUS ออกฟีเจอร์ใหม่ Pay with K PLUS จ่ายเงินซื้อของผ่านแชท Facebook ได้ไม่ต้องสลับหน้าจอ ไม่ต้องขอเลขบัญชี ทำให้การซื้อทุกขั้นตอนจบในหน้าจอเดียว
หนึ่งใน pain point ของลูกค้าเวลาซื้อของออนไลน์คือ ต้องขอเบอร์บัญชีแล้วสลับหน้าจอไปที่แอปโมบายแบงกิ้งเวลาจะจ่ายเงิน และร้านค้าเองก็ต้องคอยส่งเลขบัญชีของตัวเองเพื่อบอกลูกค้าทุกครั้ง ล่าสุด K PLUS ทำให้การซื้อของง่ายและไร้รอยต่อมากขึ้นโดยออกฟีเจอร์ Pay with K PLUS เมื่อลูกค้าตกลงจะซื้อของใน Facebook Messenger ที่แชทคุยกับแม่ค้า จะเห็นปุ่ม Pay with K PLUS ปรากฏขึ้นมาพร้อมๆ กับทางเลือกการจ่ายในรูปแบบอื่น ช่วยให้สามารถจ่ายได้ในขั้นตอนนั้นเลย โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา และไม่ต้องคอยถามเบอร์บัญชีร้านค้า
Mercari แอพซื้อขายสินค้ามือสองแบบ C2C ของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นรายแรกในประเทศ (มูลค่ากิจการเกิน 1 พันล้านดอลลาร์) ได้นำบริษัทไอพีโอเข้าตลาดหุ้นโตเกียววันนี้เป็นวันแรก และประสบความสำเร็จอย่างดี ราคาหุ้นวันแรกปิดโดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 77% มีมูลค่ากิจการตามราคาหุ้นถึง 7,400 ล้านดอลลาร์
ไอพีโอของ Mercari ยังถือเป็นไอพีโอที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่ต้นปีมานี้ โดยมีการขายหุ้นเพิ่มทุนไปราว 1,200 ล้านดอลลาร์ จุดเด่นของแอพในการขายสินค้ามือสองคือการโฟกัสที่แอพบนมือถือ ซึ่งทำได้ดีกว่าคู่แข่งรายอื่นในญี่ปุ่น
JD.com อีคอมเมิร์ซเบอร์สองของจีน และกูเกิล ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ โดยกูเกิลจะลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ JD.com ด้วยเงิน 550 ล้านดอลลาร์ (18,000 ล้านบาท) คิดเป็นจำนวนรวม 27.1 ล้านหุ้น ซึ่งความร่วมมือจากทั้งสองบริษัทนั้น มีทั้งการร่วมกันพัฒนาโซลูชันของธุรกิจค้าปลีกเน้นเจาะตลาดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อเมริกา และยุโรป ซึ่ง JD.com จะช่วยด้านขนส่งและซัพพลายเชน ส่วนกูเกิลจะเป็นด้านเทคโนโลยี
ในความร่วมมือนี้ JD.com ยังบอกว่าจะคัดเลือกสินค้าคุณภาพสูงหลายรายการ เพื่อจำหน่ายผ่านช่องทาง Google Shopping ในบางประเทศด้วย
Instagram ประกาศเพิ่มคุณสมบัติการใส่ลิงก์เพื่อซื้อสินค้า จากเดิมมีเฉพาะในโพสต์ มาสู่ใน Stories โดยโพสต์ที่มีลิงก์ดังกล่าว จะแสดงภาพถุงช้อปปิ้ง เพื่อให้ผู้ชมกดเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม
แบรนด์ที่เข้าร่วมโครงการนี้ในช่วงต้นที่ Instagram ระบุถึงมีทั้ง Adidas, Aritzia และ Louis Vuitton เบื้องต้นการเพิ่มลิงก์ซื้อของทำได้เฉพาะบัญชี Business เท่านั้น และลิงก์ต้องไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์นั้นโดยตรง
Instagram บอกว่าผู้ใช้ Stories มีมากกว่า 300 ล้านคน ในแต่ละวัน และผู้ใช้กลุ่มนี้ก็เป็นคนที่ชอบตามเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ จึงเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับแบรนด์ในการนำเสนอสินค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
Alibaba ประกาศเข้าถือหุ้น 10% ใน Babytree แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีนที่เน้นสินค้ากลุ่มแม่และเด็ก ทำให้มูลค่ากิจการของ Babytree อยู่ที่ 14,000 ล้านหยวน หรือราว 70,000 ล้านบาท โดยทั้ง Alibaba และ Babytree จะขยายความร่วมมือกัน ทั้งในแง่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ, โฆษณา, ดูแลลูกค้า ตลอดจนองค์ความรู้ต่าง ๆ
Babytree ก่อตั้งเมื่อปี 2007 เน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวคนรุ่นใหม่ โดยมีสินค้าและบริการที่ครบสำหรับครอบครัว ซึ่งรวมถึง บริการด้านสุขภาพและการศึกษา นอกจากนี้ Babytree ยังเป็นพอร์ทัลสำหรับให้พ่อแม่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเลี้ยงลูกอีกด้วย
ดีลนี้ทำให้เห็นว่ายังมีพื้นที่อีคอมเมิร์ซอีกหลายอย่างในจีนที่ Alibaba สามารถเข้าไปร่วมมือได้อีก