ไมโครซอฟท์ออก Windows 10 Insider Preview Build 17661 (RS5) รุ่นทดสอบสำหรับตัวที่จะออกช่วงปลายปี เวอร์ชันนี้มีการเปลี่ยนแปลงน่าสนใจหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการจับภาพหน้าจอ (snipping)
ไมโครซอฟท์เริ่มปล่อย Windows 10 April 2018 Update (v1803) แล้วในวันนี้ และบริษัทก็เผยรายการฟีเจอร์ที่ถูกถอดออกจาก v1803 ด้วย
สิ่งที่น่าสนใจได้แก่
จากกรณี ZTE โดนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแบน และอาจส่งผลให้ไม่สามารถใช้ Android ได้ ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนฝั่งเอเชียจำเป็นต้องมี OS ทางเลือกหรือไม่
หนังสือพิมพ์ South China Morning Post ของฮ่องกง รายงานว่า Huawei ผู้ผลิตมือถืออันดับสามของโลก ซุ่มทำระบบปฏิบัติการใช้เองมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว นับตั้งแต่โดนรัฐบาลสหรัฐสอบสวนในปี 2012
หลังจากรอกันมานาน ในที่สุดไมโครซอฟท์ก็เผยชื่อของอัพเดต Windows 10 ตัวล่าสุด (v1803) ในชื่อว่า April 2018 Update ซึ่งผิดจากโผก่อนหน้านี้ทั้งชื่อ Spring Creators Update และ April Update
Windows 10 April 2018 Update ถือเป็นอัพเดตใหญ่ตัวที่ห้าของ Windows 10 ตามแผนการออกอัพเดตปีละสองครั้ง และจะเริ่มปล่อยให้อัพเดตในวันที่ 30 เมษายน 2018
มีคนพบว่าไมโครซอฟท์กำลังพัฒนา Windows 10 Lean ที่มีขนาดไฟล์ติดตั้งเล็กลงจากปกติ 2GB โดยตัดฟีเจอร์หลายๆ อย่างออกไปจากรุ่นปกติ
หลักฐานของ Windows 10 Lean อยู่ใน Windows Insider รุ่นทดสอบ (Redstone 5) ในหน้าจอติดตั้งสามารถเลือกได้ว่าจะติดตั้งแบบ Home หรือ Lean
เว็บไซต์ Windows Central อ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดไมโครซอฟท์ ว่า Windows 10 Lean ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาอุปกรณ์ราคาถูกมีพื้นที่สตอเรจน้อย (เช่น 16GB) แค่ติดตั้งระบบปฏิบัติการอย่างเดียวก็เกือบเต็มแล้ว ไมโครซอฟท์จึงออก SKU ใหม่ที่ตัดฟีเจอร์ไม่สำคัญออกไป เช่น Registry Editor, Internet Explorer เป็นต้น แต่ส่วนอื่นก็ทำงานได้เหมือน Windows 10 รุ่นปกติ
ไมโครซอฟท์ยังไม่เคยประกาศชื่อของ Windows 10 v1803 อย่างเป็นทางการ แม้ส่วนใหญ่ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าจะเป็น Spring Creators Update แต่ข้อมูลล่าสุด ชื่ออาจมีพลิกโผซะแล้ว
ข้อมูลนี้มาจาก Windows Insider Build 17134.1 ตัวล่าสุดที่กำลังทดสอบในกลุ่ม Slow Ring และ Release Preview Ring โดยหน้าจอเริ่มต้นของเบราว์เซอร์ Microsoft Edge จะเปลี่ยนเป็นคำว่า "Welcome to the April Update" แทน
หลักฐานนี้ทำให้ Windows 10 v1803 มีโอกาสสูงที่จะใช้ชื่อว่า April Update ซึ่งไมโครซอฟท์เคยใช้ชื่อลักษณะนี้มาแล้วกับการอัพเดตใหญ่ครั้งแรกของ Windows 10 (v1511) ที่ชื่อว่า November Update
หลังจากที่ได้มีการปรับปรุงกระบวนการอัพเดต Windows 10 ในกรณีที่เป็นการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับระบบปฏิบัติการ (feature update) มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้เผยผลลัพธ์จากการปรับปรุงดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยและผลที่ได้ก็ดูน่าพอใจมากเลยทีเดียว
ไมโครซอฟท์กล่าวว่าจากการปรับปรุงกระบวนการอัพเดตโดยใช้วิธีโยกงานบางส่วนที่เคยรันระหว่างพีซีออฟไลน์ (ใช้งานเครื่องไม่ได้) มารันขณะพีซีกำลังออนไลน์ (ช่วงก่อนเครื่องรีสตาร์ต) ได้ช่วยลดช่วงเวลาออฟไลน์ขณะติดตั้ง Fall Creators Update อัพเดตที่ปล่อยมาเมื่อเดือนตุลาคมปี 2017 ลงเหลือเฉลี่ยเพียง 51 นาที ดีขึ้นถึง 38% เมื่อเทียบกับ Creators Update ที่ใช้เวลาออฟไลน์โดยเฉลี่ย 82 นาที
ไมโครซอฟท์ออก Windows 10 Insider (Redstone 5 หรืออัพเดตใหญ่ช่วงปลายปี) Build 17643 มีฟีเจอร์สำคัญที่เคยประกาศไว้แล้วคือ Sets หรือการเปิดหลายโปรแกรมในหน้าต่างเดียวกัน แต่แยกคนละแท็บ
Build 17643 อนุญาตให้แอพเดสก์ท็อป (Win32) สามารถเปิดในหน้าต่างเดียวกันได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นแอพที่ใช้ titlebar แบบดีฟอลต์เท่านั้น ในกรณีที่ปรับแต่ง titlebar เอง (เช่น โปรแกรม Paint ที่เพิ่มปุ่มใน titlebar) ยังไม่สามารถใช้งานได้
รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ออก Windows Insider รุ่นทดสอบมา 2 ตัว ทั้งตัวที่เป็น Redstone 4 และ Redstone 5
กรณีของ Redstone 4 เพิ่งออก Build หมายเลข 17134 ที่ขยับเพิ่มมาเพียง 1 หลักจาก Build 17133 ที่เคยถูกมองว่าจะเป็นตัว RTM ของ Spring Creators Update
ตามที่ไมโครซอฟท์เคยประกาศไว้ว่าจะแยก Windows Server เป็นสองสาย คือรุ่น Semi-Annual Channel ออกทุก 6 เดือน และ Long-Term Servicing Channel (LTSC) ออกทุก 2-3 ปี (เหมือนของเดิม)
เดือนที่แล้วไมโครซอฟท์ประกาศแผนออก Windows Server 2019 ที่เป็น LTSC และมีกำหนดออกช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ล่าสุดฝั่งของ Semi-Annual Channel ตัวถัดไปก็มีข้อมูลแล้ว ชื่อเวอร์ชันคือ 1803 และมีกำหนดออกภายในครึ่งแรกของปีนี้ (กำหนดที่ชัดเจนจะประกาศอีกครั้ง)
ของใหม่ใน Windows Server, version 1803 ได้แก่
คนที่ทดสอบ Windows Insider อยู่คงทราบกันดีว่า ไมโครซอฟท์กำลังจะอัพเดตใหญ่ Windows 10 รอบใหม่ (v1803) ที่น่าจะใช้ชื่อ Spring Creators Update (แต่ไม่เคยประกาศชื่ออย่างเป็นทางการ) แต่ก็ยังไม่ยอมออกสักที
ช่วงปลายเดือนมีนาคม ไมโครซอฟท์ออก Build 17133 ที่เชื่อกันว่าเป็นตัว RTM แต่มาถึงวันนี้เราก็ยังไม่เห็นประกาศอย่างเป็นทางการ ล่าสุดเว็บไซต์ Windows Central อ้างแหล่งข่าววงในว่า ไมโครซอฟท์พบบั๊กสำคัญที่ส่งผลกระทบสูง จนต้องเลื่อนการออก v1803 ออกไปอีกหลายสัปดาห์
เราได้ยินชื่อ webOS กันครั้งสุดท้ายหลัง LG ซื้อต่อจาก HP ในปี 2013 แล้วนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์สมาร์ททีวีของตัวเอง ซึ่งก็ยังวางขายมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว LG ประกาศโอเพนซอร์ส webOS เวอร์ชันของตัวเอง (ก่อนหน้านี้ webOS เคยโอเพนซอร์สมาแล้วในยุค HP) โดยใช้ชื่อว่า webOS Open Source Edition (OSE) และเริ่มนับเลขเวอร์ชันใหม่เป็น 1.0
ไมโครซอฟท์เปิดตัว Windows Server 2019 ระบบปฏิบัติการสำหรับเซิร์ฟเวอร์รุ่นถัดไป (ต่อจาก Windows Server 2016) โดยมีกำหนดการออกในครึ่งหลังของปี 2018
ช่วงกลางปี 2017 ไมโครซอฟท์ปรับวิธีการออกรุ่นของ Windows Server ใหม่ โดยแยกเป็นรุ่นอัพเดตบ่อยทุก 6 เดือน มีระยะซัพพอร์ตแค่ 18 เดือน (ล่าสุดออกมาหนึ่งตัวคือ 1709) และรุ่นซัพพอร์ตระยะยาว Long-Term Servicing Channel (LTSC) โดยกรณีของ Windows Server 2019 จะนับเป็น LTSC ครับ
ไมโครซอฟท์ออก Windows 10 Insider Build 17213 รุ่นทดสอบสำหรับ Windows อัพเดตตัวถัดไป (Redstone 4) ที่จะออกในช่วงเดือนเมษายนนี้
ของใหม่ที่สำคัญมีอย่างเดียวคือ รองรับฟอร์แมตรูปภาพแบบใหม่ High Efficiency Image File Format (HEIF) ที่ใช้นามสกุล .heif
HEIF (อ่านว่า ฮีฟ) เป็นฟอร์แมตรูปภาพที่พัฒนาโดยกลุ่ม MPEG โดยนำเทคนิดบีบอัดภาพจาก High Efficiency Video Codec (HEVC) มาใช้งาน ให้คุณภาพของการบีบอัดที่ดีขึ้นกว่าฟอร์แมตภาพแบบอื่นๆ และมีฟีเจอร์สมัยใหม่อย่าง image sequences, live image และ HDR มาให้ครบครัน
สเปกของ HEIF พัฒนาเสร็จในปี 2015 และเริ่มมีระบบปฏิบัติการหลายตัวรองรับแล้ว เช่น macOS High Sierra, iOS 11 และ Android P
เพิ่งมีข่าวหลุดว่า Android Wear จะเปลี่ยนชื่อเป็น Wear OS วันนี้กูเกิลประกาศข่าวอย่างเป็นทางการแล้ว โดยชื่อใหม่ของระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์สวมใส่คือ Wear OS by Google
กูเกิลให้เหตุผลของการเปลี่ยนชื่อว่า ต้องการสะท้อนขอบเขตของอุปกรณ์ที่กว้างไกลขึ้น และการมีชื่อ Android แปะอยู่ก็ทำให้คนเข้าใจผิดว่ามันใช้กับ iPhone ไม่ได้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Wear OS เพื่อแสดงว่าเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับทุกคน
ชื่อแอพ Android Wear จะเปลี่ยนตามภายในอีกไม่ช้า
ที่มา - Google
ผลการศึกษาจากบริษัทวิจัย Consumer Intelligence Research Partners (CIRP) ล่าสุด เกี่ยวกับความภักดี (loyalty) ในการเลือกใช้ระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟน พบว่าอัตราความภักดี (ไม่ย้ายค่าย) ของ Android สูงกว่า iOS ซึ่งเป็นเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว
โดยตัวเลขล่าสุดนั้น Android มีระดับความภักดีที่ 91% ส่วน iOS อยู่ที่ 86% โดยกลุ่มตัวอย่างในการวัดมาจากผู้ใช้สมาร์ทโฟนในอเมริกา คิดย้อนหลังไป 12 เดือนว่าไม่มีการเปลี่ยนค่าย
ก่อนหน้านี้มีข่าวไม่ยืนยันว่า ไมโครซอฟท์ยกเลิกแผน Windows 10 S เปลี่ยนเป็น S Mode ในวินโดวส์รุ่นปกติ ล่าสุดไมโครซอฟท์ยืนยันข่าวนี้แล้ว
Joe Belfiore ผู้ที่เราคุ้นหน้ากันดีจากยุค Windows Phone (ปัจจุบันเขามีตำแหน่งเป็นผู้บริหารฝ่าย Windows) ตอบคำถามทางทวิตเตอร์ในประเด็นนี้ โดยอธิบายว่าไมโครซอฟท์มอง Windows 10 S เป็น "ทางเลือก" (option) สำหรับธุรกิจหรือภาคการศึกษาที่ต้องการ Windows เวอร์ชันที่การันตีประสิทธิภาพดีเสมอ แต่ในปีหน้า Windows 10 S จะกลายเป็นโหมดหนึ่งของ Windows รุ่นปกติ แทนการออกเป็นเวอร์ชันแยก
ComputerWorld เปิดเผยคะแนนผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่อัพเดตแอนดรอยด์ Oreo หลัง Google เปิดปล่อยตัวเต็มมาแล้วราว 6 เดือน โดยจะวัดคะแนนจากสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงทั้งเก่าและใหม่ในบริบทตลาดสหรัฐเป็นหลัก
ไมโครซอฟท์เพิ่งเปิดตัว Always Connected PC ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 on ARM โดยชูจุดขายเรื่องการต่อเน็ตตลอดเวลา และแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นมาก แต่เนื่องจากสินค้าจริงยังไม่วางขาย ทำให้คำถามเรื่องข้อจำกัดของการรันโปรแกรม x86 บน ARM ยังไม่ได้รับคำตอบอีกหลายประเด็น
ล่าสุดไมโครซอฟท์อธิบาย "ข้อจำกัด" ของการรันโปรแกรม x86 ใน Windows 10 on ARM ดังนี้
ไมโครซอฟท์เดินหน้าเร่งออก Windows 10 Insider Build 17101 สำหรับอัพเดตตัวหน้า Redstone 4 ต่อไป และในอีกด้านก็แยกสายของระบบปฏิบัติการเป็น Build 17605 สำหรับอัพเดตตัวถัดไป Redstone 5 (Skip Ahead) แล้ว
สำหรับ Build 17101 มีของใหม่ที่สำคัญดังนี้
Mark Gurman นักเขียนของ Bloomberg ที่มีประวัติปล่อยข่าวลือฝั่งแอปเปิลถูกต้องอยู่บ่อยๆ รายงานข่าวว่า แอปเปิลเตรียมปรับระบบการวางแผนฟีเจอร์ของ iOS ใหม่ จากเดิมที่วางแผนกันปีต่อปี เปลี่ยนมาเป็นการวางแผนล่วงหน้า 2 ปีแทน
แอปเปิลจะยังออก iOS เวอร์ชันใหม่ปีละครั้งเช่นเดิม แต่การวางแผนแบบใหม่จะช่วยให้ฟีเจอร์ที่เสร็จไม่ทันในปีแรก สามารถขยับไปอยู่ในเวอร์ชันถัดไปได้ ข้อดีคือเราจะได้เห็นฟีเจอร์ที่สมบูรณ์มากขึ้น มีบั๊กน้อยลง ซอฟต์แวร์มีคุณภาพมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นที่จะต้องออกถ้ายังไม่พร้อม
ไมโครซอฟท์ยังเดินหน้าปล่อยฟีเจอร์ชุดใหญ่ให้ Windows 10 Insider เตรียมพร้อมสู่อัพเดตใหญ่ตัวต่อไป Redstone 4 ที่จะออกในช่วงเดือนมีนาคมนี้
ของใหม่ใน Build 17093 ตัวล่าสุดมีมากมาย ที่น่าสนใจได้แก่หน้าจอ Settings อันใหม่สำหรับเครื่องที่มีจีพียู 2 ตัว (การ์ดจอออนบอร์ด+การ์ดจอแยก) เราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้แอพตัวไหนเรียกใช้การ์ดจอใด หรือจะเลือกเป็นค่าดีฟอลต์เพื่อให้ Windows ตัดสินใจแทนเราก็ได้
เว็บไซต์ Thurrott.com แหล่งรวมข้อมูลสายไมโครซอฟท์ รายงานข่าวที่ยังไม่เป็นทางการว่า ไมโครซอฟท์เปลี่ยนแผนการออก Windows 10 S ใหม่ ยกเลิกการขาย Windows 10 S แยกต่างหากจาก Windows 10 รุ่นปกติ และแปลงมันเป็น "S Mode" โหมดความปลอดภัยเข้มข้นใน Windows 10 แทน
คาดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มใน Windows 10 อัพเดตใหญ่ตัวหน้า Redstone 4 ที่จะออกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ นั่นแปลว่า Redstone 4 จะมีฟีเจอร์ใหม่คือ S Mode ให้ผู้ใช้ที่ต้องการล็อคไม่ให้ติดตั้งโปรแกรมแบบ .exe เอาเอง เว็บไซต์ Neowin พบข้อมูลของ S Mode ถูกเพิ่มเข้ามาแล้วในกิจกรรมหาบั๊กของกลุ่มผู้ใช้ Insider โดยกิจกรรมคือให้ผู้ใช้ลองเปิดการทำงานของ S Mode ดูว่าเป็นอย่างไร
หลายคนอาจไม่ทราบว่าแอปเปิลมีระบบปฏิบัติการ macOS Server (สมัยก่อนคือ Mac OS X Server) ออกคู่กับ macOS มาทุกเวอร์ชัน (ช่วงหลังมีสถานะเป็นแพ็กเกจเสริมของ macOS รุ่นปกติ) แม้ช่วงหลังมันถูกลดความสำคัญลงมาก เนื่องจากความนิยมในการใช้แมคเป็นเซิร์ฟเวอร์น้อยลงมาก เพราะแอปเปิลเลิกขายฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์มาตั้งแต่ปี 2010
ชะตากรรมของ macOS Server ยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปอีก เพราะแอปเปิลประกาศหยุดทำเซอร์วิสสำคัญหลายตัวบน macOS Server เช่น DHCP, DNS, Mail/Calendar/Contacts, VPN, Websites, Wiki และให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สตัวอื่นๆ (เช่น Apache/Nginx/Lighttpd ในกรณีของเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือ Bind ในกรณีของ DNS) แทน
ไมโครซอฟท์ออก Windows Insider Build 17083 มีของใหม่หลายอย่าง ซึ่งรวมถึง Diagnostic Data Viewer เครื่องมือจัดการข้อมูลส่วนตัวที่ส่งไปยังไมโครซอฟท์ ที่เป็นข่าวแยกไปแล้ว
ของใหม่ที่สำคัญและน่าจะได้ใช้กันเยอะคือ การรวมหน้าจอ Fonts เข้ามาอยู่ใน Settings แทนของเดิมที่อยู่ใน Control Panel (ตามแผนการระยะยาวของไมโครซอฟท์ที่จะเลิกใช้ Control Panel อย่างถาวร)
หน้าจอฟอนต์แบบใหม่มีความสามารถครบครัน ทั้งการพรีวิวฟอนต์ การตั้งค่าต่างๆ นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเปลี่ยนระบบการดาวน์โหลดฟอนต์มาใช้ Windows Store ด้วย อีกไม่นานเราคงเห็นการซื้อฟอนต์จาก Store ได้โดยตรง