Panasonic ประกาศวันนี้ว่าจะทำการลดพนักงานลงอีก 40,000 17,000 อัตราภายในสองปี รวมทั้งปิดโรงงานทั่วโลกราว 70 แห่ง ทั้งนี้เพื่อปรับสภาพองค์กรให้แข่งขันในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ดีมากขึ้น หลังคู่แข่งจากเกาหลีใต้ และจีนรุกหนักมากขึ้น โดยเมื่อปี 2009 ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทก็ปรับลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน
โดยหลังจากนี้ Panasonic จะทุ่มความสนใจไปที่กลุ่มธุรกิจสิ่งแวดล้อมและพลังงานมากขึ้น ซึ่งเป็นการต่อยอดหลังซื้อ Sanyo เมื่อปีก่อน
ที่มา: Reuters
ข่าวนี้ถือว่าไม่ผิดคาดนักถ้าดูกันตามแผนการของโนเกียช่วงที่ผ่านมา โดยโนเกียประกาศวันนี้ว่าบริษัทจะปลดพนักงาน 4,000 อัตรา และโอนย้ายพนักงาน 3,000 คนด้าน Symbian ไปอยู่กับ Accenture ซึ่งโนเกียจะเอาท์ซอร์สงานเกี่ยวกับ Symbian ทั้งหมดไปยัง Accenture หลังจากนี้
การปรับลดนี้จะกระทบกับพนักงานในฟินแลนด์ เดนมาร์ก และอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ โดยกระบวนการปรับลดนี้จะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิ้นปี 2012
ที่มา: Reuters
ปีนี้นับเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับหลายต่อหลายบริษัทที่เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ หลายที่ใช้วิธีลดเงินเดือน ตัดโบนัส ตัดค่าใช้จ่าย ไปจนถึงการปลดพนักงาน อย่างไรก็ตามในช่วงสิ้นปี บริษัทจัดหางานชื่อดัง Kelly และ Adecco ประเทศไทยได้ออกรายงานสรุปมาตรฐานเงินเดือนไทยในปีนี้ และแนะนำไปถึงต้นปีหน้า
เริ่มจาก Adecco ที่สรุปว่าปีนี้เมืองไทยไม่ได้รับผลกระทบมากเท่ากับประเทศอื่นๆ ในยุโรป และงานในสายไอทีก็ยังคงมีรายได้และการจ้างงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่สายงานอื่นๆ มีรายได้ปรับเพิ่มไม่มากนัก ไปจนถึงลดลงจากปีก่อน
ส่วนทาง Kelly ได้สรุปรายได้ในสายไอทีดังนี้
มีข่าวว่ามีการประกาศเป็นการภายในว่าทาง Sony Ericsson กำลังเตรียมปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา 4 ศูนย์ทั่วโลก โดยศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดคือศูนย์ที่ The Research Triangle Park (RTP) และคาดว่าพนักงานที่จะถูกปลดจากการปิดตัวครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2,000 คน
ข่าวระบุว่าพนักงานจาก RTP มีสิทธิ์ส่งใบสมัครไปยังศูนย์อื่นๆ โดยระหว่างนี้พนักงานมีงานหลักคือเตรียม "ย้ายข้าวของ" ไปยังศูนย์อื่นๆ ที่กำหนดไว้
Sony Ericsson ทำตลาดได้ไม่ดีนักในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนแบ่งทางการตลาดมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องมาเกือบสองปี
จริงๆ หลายรุ่นก็น่าใช้นะผมว่า ถ้าใส่หูฟังธรรมดา, ใช้ USB และรับการ์ด SD
เศรษฐกิจแย่ทำให้การจ้างงานของสหรัฐฯ นั้นตกต่ำอย่างต่อเนื่องโดยเดือนล่าสุดตัวเลขนี้ก็ขึ้นไปถึงร้อยละ 9.7 และคาดว่าจะทะลุร้อยละ 10 ในเร็วๆ นี้ แต่ในวิกฤติก็เป็นโอกาสสำหรับหลายๆ คนเมื่อเว็บ oDesk ผู้ให้บริการจับคู่ระหว่างผู้ให้บริการเอาต์ซอร์สกับผู้รับงานได้ออกมาแถลงตัวเลขยอดการจ้างในงานเว็บ และพบว่าตัวเลขชั่วโมงการจ้างงานเอาต์ซอร์สนั้นเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดสวนทางกับเศรษฐกิจมาก
ถ้ายังจำกันได้ Seagate เคยมีข่าวปลดพนักงานในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ในวันนี้ดูเหมือนสถานการณ์นี้จะยังไม่จบ โดย Seagate ได้เปิดเผยว่าเตรียมตัวที่จะเลิกจ้างพนักงาน และปิดโรงงานที่อยู่ในสิงคโปร์ครับ
บริษัทวิจัย NPD เปิดเผยตัวเลขรายได้ของอุตสาหกรรมเกมในสหรัฐประจำเดือนมิถุนายน 2009 พบว่ายอดขายรวมของทั้งอุตสาหกรรมลดลงถึง 31% เมื่อเทียบกับมิถุนายน 2008 ถือเป็นความถดถอยครั้งใหญ่ที่สุดนับจากปี 2000 เป็นต้นมา
รายได้รวมของทั้งอุตสาหกรรมลดลงจาก 1.7 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ลงมาอยู่ที่ 1.17 พันล้านดอลลาร์ ถ้าคิดเฉพาะฮาร์ดแวร์อย่างเดียวก็หดตัวถึง 38% ซอฟต์แวร์ลด 29% และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ลด 22% ถ้าคิดรายได้รวมครึ่งปีแรกเทียบกับปีก่อนก็น้อยกว่าเดิม 12% แล้ว
ถ้าแยกเป็นรายเครื่อง PS3 ลดมากที่สุดถึง 59% ตามมาด้วย Wii ลด 45% ในขณะที่ Xbox 360 กลับมียอดขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เกมขายดีประจำเดือนคือ Prototype บน Xbox 360
วิกฤตเศรษฐกิจโลกดูจะกระทบกับ Adobe ค่อนข้างหนัก สองไตรมาสล่าสุดบริษัทมีรายได้ลดลงมาก (ถึงแม้ว่าจะยังมีกำไร) และต้องประกาศหยุดงานหนึ่งสัปดาห์เพื่อลดค่าใช้จ่ายเป็นครั้งที่สองในรอบปีแล้ว
Adobe หยุดงานไปรอบหนึ่งแล้วในเดือนเมษายน นอกจากจะหยุดงานในสัปดาห์นี้เป็นรอบที่สอง Adobe ยังเตรียมจะหยุดเพิ่มอีกหนึ่งสัปดาห์ภายในปีนี้ ทั้งหมดเป็นพนักงานในอเมริกาเหนือ ทาง Adobe ไม่เปิดเผยว่ามีคนหยุดงานเท่าไรและประหยัดได้เท่าไร แต่พนักงานถูกขอร้องให้ใช้วันลาพักร้อนหยุดอยู่กับบ้านในช่วงนี้
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว Adobe ปลดพนักงานไป 600 คน และไปจ้างเพิ่มในพื้นที่ที่ค่าแรงถูกกว่า นอกจากนี้ยังมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเดินทาง โบนัส และค่าการตลาด
เศรษฐกิจฝืดเคืองทั่วโลก และการบุกตลาดของเน็ตบุ๊กสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกอย่างมหาศาลกระทั่งยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ก็หนีไม่พ้น โดยยอดขายของไมโครงซอฟท์นั้นตกลงไปร้อยละ 6 ทำให้ยอดขายรวมอยู่ที่ 13.7 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้สุทธิตกลงไปถึงร้อยละ 32 เหลือ 2.98 พันล้านดอลลาร์
แน่นอนว่าภาวะเศรษฐกิจกำลังส่งผลถึงยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์โดยไมโครซอฟท์เองประมาณการว่ายอดขายพีซีทั่วโลกตกลงไประหว่างร้อยละ 7 ถึงร้อยละ 9 ส่วนตลาดเน็ตบุ๊กนั้นเชื่อกันว่าไมโครซอฟท์ขายลิขสิทธิ์ให้ผู้ผลิตเน็ตบุ๊กในราคาที่ถูกมากเพื่อกันตลาดไม่ให้ลินุกซ์กินตลาดไมโครซอฟท์ไปได้มากกว่านี้ (ลินุกซ์มีส่วนแบ่งในตลาดเน็ตบุ๊กกว่าร้อยละ 20)
หลังจากที่ไตรมาสที่แล้วก็ขาดทุน (ข่าวเก่า) ไตรมาสนี้ก็ขาดทุนอีกแล้วครับ โดยในวันนี้ Sony Ericsson ประกาศว่าบริษัทนั้นขาดทุนไปกว่า 358 ล้านยูโร โดยส่วนหนึ่งนั้นเนื่องมาจากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ลดลงจาก 22.3 ล้านเครื่องในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มาเป็นเพียง 14.5 ล้านเครื่องในปีนี้ และเหลือส่วนแบ่งในตลาดเพียงประมาณ 6%
กูเกิลเปิดเผยรายได้ของบริษัทในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยกำไรโดยรวมทั้งหมดนั้นลดลงจากไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้วจาก 5,701 ล้านดอลลาร์เป็น 5,509 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3% อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้วนั้นก็ยังมากกว่ากันอยู่ 6% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ ส่วนหนึ่งนั้นคาดว่าน่าจะเป็นจากการที่กูเกิลประหยัดมากขึ้น และมีการปลดพนักงานบางส่วน (อ่านข่าวเก่าโดยคุณ mk: กูเกิลปลดฝ่ายขายและการตลาด)
ตัวเลขจาก Newspaper Association of America เปิดเผยว่าธุรกิจสิ่งพิมพ์แบบกระดาษในสหรัฐกำลังย่ำแย่ เพราะว่าโฆษณาซึ่งเป็นรายได้หลักนั้นหายไป 16.6% ภายในปีเดียว
รายรับจากค่าโฆษณาโดยรวมลดลงเหลือ 37.85 พันล้านดอลลาร์ (16.6% จากปีก่อน) ถ้าคิดแยกประเภท โฆษณาแบบซื้อพื้นที่หดตัว 17.7% โฆษณาแบบประกาศขายของ (classified) ลดลง 29.7% ส่วนโฆษณาออนไลน์ก็ใช่ว่าจะดี หดตัวเล็กน้อย 1.8%
ถ้าคิดแยกรายไตรมาส ธุรกิจโฆษณารวมติดลบด้วยอัตรามากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2007 หดตัว -7.4% จนมาถึงไตรมาสที่ 4 ของปี 2008 ตัวเลขกลายเป็น -19.74% ส่วนโฆษณาเฉพาะออนไลน์ก็เริ่มจาก +7.20% ลงมาอยู่ที่ -8.10% ในช่วงเวลาเดียวกัน
กูเกิลประกาศปลดพนักงานฝ่ายขายและการตลาดทั่วโลกอีก 200 คน โดยไม่บอกว่าเป็นเหตุจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่อ้างว่าเป็นเพราะตอนกูเกิลขยายตัวนั้นโตเร็วเกินไป รับพนักงานเข้ามามากเกินไปจนตำแหน่งหน้าที่ซ้ำซ้อน พนักงานกลุ่มนี้จะได้รับโอกาสในการสมัครงานตำแหน่งอื่นๆ ในกูเกิล และถ้าไม่สำเร็จก็มีเงินชดเชยให้ตามปกติ
แหล่งข่าวบางแห่งรายงานว่าแผนกที่โดนหนักคือ อดีตพนักงานของ DoubleClick ที่กูเกิลซื้อกิจการมา ซึ่งจะโดนไปประมาณ 50 คน และมีรายงานว่าพนักงานจากฝ่าย YouTube และ AdWords ก็โดนด้วย
ข่าวเก่าที่เกี่ยวกับการปลดพนักงานของกูเกิล
แม้ว่ากำไรในปีที่แล้วจะตกต่ำลงไปถึงร้อยละ 24 แต่ทางอินเทลก็ได้ขึ้นเงินเดือนให้กับ Paul Otellini ที่เป็น CEO ของบริษัทกว่าร้อยละ 30 คือจาก 770,000 ต่อปีเป็น 1,000,000 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือ 12 ล้านดอลลาร์ต่อปี
อินเทลให้เหตุผลของการขึ้นเงินเดือนในครั้งนี้ว่าตัว Paul Otellini นั้นได้รับเงินเดือนในรูปของเงินสดน้อยกว่าผู้บริหารในบริษัทระดับเดียวกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ดีเงินเดือนนี้จะอยู่ในรูปของสิทธิในการซื้อหุ้นเสียหนึ่งในสาม
อินเทลประกาศหยุดการปรับฐานเงินเดือนพนักงานในปีที่แล้วเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ
ที่มา - PhysOrg
หลังจากที่ในช่วงปีที่แล้ว ในการจัดอันดับเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกนั้น เกตส์ถูกเศรษฐีอีกสองคน คือ Warren Buffett และ Carlos Slim Helu แย่งอันดับหนึ่งและสองไป (ลองอ่านข่าวเก่าและดูรายชื่อของปี 2008 ในวิกิพีเดียประกอบ) ปีนี้เขากลับมาเป็นอันดับหนึ่งอีกแล้วครับ
เดลล์ประกาศลดพนักงานอีกครั้งหลังจากที่มีการลดมาอย่างต่อเนื่องเมื่อปีที่แล้ว โดยการประกาศครั้งนี้ไม่มีการระบุตัวเลขจำนวนพนักงานที่ต้องออกจากงานแต่อย่างใด เดลล์ประกาศเพียงว่าบริษัทต้องลดค่าใช้จ่ายลง 4,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2011 จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 3,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากการลดคนงานแล้ว เดลล์ยังปรับสายการผลิตหลายๆ ส่วนเช่นการปิดโรงงานในไอร์แลนด์แล้วย้ายการผลิตไปยังโปแลนด์แทน
ช่วงปี 2008 ที่ผ่านมา เดลล์ลดพนักงานไปแล้ว 9,400 คน
ที่มา - PC World
มีรายงานข่าวมาจากเว็บไซต์ ValleyWag ว่าแอปเปิลได้ปลดพนักงานฝ่ายขายสำหรับองค์กร (enterprise sales) ประมาณ 50 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่โฆษกของแอปเปิล 2 คน คนแรกได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ ส่วนอีกคนนั้นบอกว่าข่าวนี้ไม่เป็นความจริง
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวตามมาอีกว่าแอปเปิลยังปลดพนักงานในฝ่าย Mac Hardware and Pro Applications อีก 50 คน แต่ข่าวนี้ก็ได้รับการปฏิเสธเช่นกัน
ทีมงาน Electronic Gaming Monthly (EGM) ฉบับภาษาไทยตัดสินใจเดินหน้าหานิตยสารเกมฉบับใหม่ เพื่อมาตีพิมพ์แทน EGM เดิมที่ถูกทางสำนักพิมพ์ต้นฉบับ Ziff Davis ยุติการตีพิมพ์หลังการขายเว็บไซต์ 1UP.com (ข่าวเก่า)
ในระหว่างนี้สมาชิก EGM ฉบับภาษาไทยเดิมจะได้รับนิตยสารเกมเล่มอื่นไปอ่านฟรีชั่วคราว จนกว่านิตยสารเล่มใหม่จะพร้อมตีพิมพ์
อ่านรายละเอียดที่ทางทีมงาน EGM ฉบับภาษาไทย ได้แจ้งข่าวสารให้ผู้อ่านทราบไว้ในฉบับเดือนกุมภาพันธ์อันเป็นฉบับสุดท้ายได้ในลิงก์ที่มาครับ
ที่มา - 9Mana
กูเกิลแถลงว่าบริษัทจะยุติส่วนธุรกิจการโฆษณาทางวิทยุ ซึ่งจะต้องปลดคนออกไปราว 40 คน โดยให้เหตุผลว่าธุรกิจนี้ไม่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเลยเมื่อเวลาผ่านไป
อาจจะมีคนสงสัยว่ากูเกิลมีส่วนธุรกิจนี้ด้วยหรือ เมื่อปี 2006 กูเกิลได้เข้าซื้อบริษัท DMarc Broadcasting ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้ขยายเข้าไปส่วนธุรกิจซอฟต์แวร์เพื่อการจัดการโฆษณาทางวิทยุ โดยการยุติกิจการนี้จะเป็นเฉพาะส่วนของสถานีวิทยุปกติเท่านั้น ไม่รวมถึงสถานีวิทยุออนไลน์
กูเกิลยังมีแผนจะถอนตัวจากธุรกิจสื่อออฟไลน์อื่นด้วย คือธุรกิจการจัดการโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์
ที่มา: Bloomberg
หลังจากผลกำไรดิ่งเหวแบบหยุดไม่อยู่ในไตรมาสที่สี่ไปถึงร้อยละ 84 บริษัทพานาโซนิคก็ประกาศเลิกจ้างพนักงานประมาณ 15,000 คนจากทั้งหมด 300,000 คนทั้งบริษัทพร้อมกับเตรียมปิดโรงงานอีก 27 แห่งทั่วโลก
การปรับโครงสร้างขนานใหญ่ครั้งนี้ ทำให้พานาโซนิคต้องสำรองงบประมาณไว้ถึง 3.85 พันล้านดอลลาร์ อีกทั้งมีประมาณการว่าจะมียอดขาดทุนจากมูลค่าทรัพย์สินอีกกว่า 800 ล้านดอลลาร์ทำให้ปีนี้จะเป็นปีแรกในรอบเจ็ดปีที่พานาโซนิคขาดทุน
ยังไม่มีความแน่ชัดว่าโรงงานใดอยู่ในแผนการปรับโครงสร้างครั้งนี้บ้าง โดยที่ประกาศในตอนนี้นั้นมีโรงงานในญี่ปุ่นสองโรงงาน และโรงงานแบตเตอรี่ในฟิลิปปินส์อีกหนึ่งโรงงาน ส่วนอีกเป้าหมายหนึ่งคือการรวมโรงงานชิ้นส่วนในมาเลเซียจากสองโรงงานให้เหลือโรงงานเดียว
ถ้าใครเชียร์โมโตโรล่าอยู่งานนี้อาจจะเหนื่อยสักหน่อยเมื่อผลประกอบการไตรมาสสี่ของโมโตโรล่านั้นไม่ดีนัก จากการขาดทุนสูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่กำไรอยู่ 100 ล้านดอลลาร์ การขาดทุนนี้เป็นผลมาจากยอดขายที่ลดลงร้อยละ 26 และโดยเฉพาะส่วนอุปกรณ์เคลื่อนที่นั้นยอดขายลดลงไปถึงร้อยละ 51
งานนี้โมโตโรล่าเองก็ออกมาแถลงว่าปีตลอดนี้เราอาจจะเห็นยอดขายของโมโตโรล่าตกลงไปมากกว่านี้อีก เพราะนี่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแนวทางการทำตลาดไปทำตลาดกลาง-สูง และสินค้าออกใหม่ที่จะช่วยเปลี่ยนสถานะการณ์นั้นอาจจะต้องรอไปถึงปี 2010 กันทีเดียว
ว่าแต่สินค้าใหม่ที่ว่านั่นคือ Android รึเปล่า?
บิล เกตส์ ให้สัมภาษณ์กับ BBC หลังขึ้นพูดบนเวที World Economics Forum 2009 ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยเขามองว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้จะยาวนานถึง 4 ปีก่อนจะกลับมาเติบโตได้อย่างเดิม แต่ถึงวิกฤตจะหนักหน่วง แต่พื้นฐานของเศรษฐกิจโลกยังแข็งแกร่งอยู่
อย่างไรก็ตาม บนเวที World Economics Forum เขาบอกว่าคนยากจนในโลกนี้ไม่สามารถรอถึง 4 ปีได้ และเขาต้องการแก้ปัญหาของคนจนผ่านมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ซึ่งเขามาทำงานเต็มตัวหลังออกจากไมโครซอฟท์ วิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ทำเอาเงินของมูลนิธิหายไปถึง 1 ใน 5
เขามองว่าระบบทุนนิยมสร้างความมั่งคั่งและนวัตกรรมให้กับโลก แต่ถัดจากนี้ไป ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านยารักษาโรค พันธุกรรม และซอฟต์แวร์
เจอข่าวร้ายกันไม่หยุดหย่อน มาวันนี้มีข่าวดีมาคั่นเวลากันสักหน่อย เมื่อการแถลงผลประกอบการของนินเทนโดในไตรมาสสี่ถูกประกาศออกมาด้วยยอดขายถึงเจ็ดแสนล้านเยน (สองแสนเจ็ดหมื่นล้านบาท) คิดเป็นกำไรสุทธิหกหมื่นแปดพันล้านเยน (สองหมื่นหกพันล้านบาท)ส่วนเครื่อง DS นั้นขายได้รวมถึง 12 ล้านเครื่อง เครื่อง Wii ขายไปได้ 10.4 ล้านเครื่อง และซอฟต์แวร์อีก 82 ล้านชุด
ที่มา - ArsTechnica
ข่าวที่สองเป็นผลประกอบการของอเมซอนที่เติบโตขึ้นสวนกระแสได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
ช่วงนี้เป็นช่วงแถลงผลประกอบการประจำปี ข่าวปลดคนงานรับข่าวขาดทุน-กำไรลดเลยออกมาค่อนข้างเยอะ
AOL ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและเว็บพอร์ทัลรายใหญ่ของอเมริกา ซึ่งกิจการย่ำแย่มานาน ประกาศปลดพนักงาน 10% หรือ 700 คน ด้วยเหตุผลเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ, รายได้จากค่าโฆษณาลดลง และการปรับโครงสร้างองค์กร
AOL เคยยิ่งใหญ่ขนาดซื้อกิจการ Time Warner เจ้าของสื่อขนาดยักษ์ และถูกคาดหมายว่าจะกลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของไมโครซอฟท์ แต่ภายหลังกิจการย่ำแย่เสียเอง จนต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก AOL Time Warner มาเป็น Time Warner เฉยๆ และมีข่าวว่าจะขาย AOL ออกไป ซึ่งผู้ซื้อที่มีข่าวก็คือยาฮูนั่นเอง
การลดคนในอุตสาหกรรมไอทียังมีต่อไป ล่าสุด SAP AG บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรธุรกิจรายใหญ่ ก็ร่วมวงประกาศลดพนักงานลงมากกว่า 3,000 อัตรา หรือคิดเป็น 6% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด ประมาณการว่าจะช่วยลดต้นทุนได้ถึง 350 ล้านยูโร ซึ่งนี่ถือเป็นการลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 36 ปีของ SAP นอกจากนี้บริษัทยังประกาศงดขึ้นเงินเดือนพนักงานตลอดปีนี้ด้วย
SAP แถลงว่าในปีนี้บริษัทไม่สามารถคาดการณ์รายรับทั้งจากธุรกิจซอฟต์แวร์ และส่วนการให้บริการที่เกี่ยวข้องได้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนสูงมากในปีนี้ แต่มองภาพรวมว่าการขยายตัวจะเป็นไปอย่างจำกัด โครงการใหม่ๆ ก็น่าจะเกิดได้ยากขึ้นในปีนี้