แอปเปิลอัพเดตตัวเลขส่วนแบ่งผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ iOS 13 และ iPadOS 13 ในอุปกรณ์ทั้งหมดที่รองรับเป็นครั้งแรก โดยหลังจาก iOS 13 เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปดาวน์โหลดเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนนี้ส่วนแบ่งผู้ใช้งาน iOS 13 อยู่ที่ 50% และหากพิจารณาเฉพาะอุปกรณ์ที่เปิดตัวในช่วง 4 ปีย้อนหลัง ตัวเลขจะเพิ่มเป็น 55%

แอปเปิลออกอัพเดตซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ iOS 13.1.3 และ iPadOS 13.1.3 ในวันนี้ ต่อเนื่องจากอัพเดตก่อนหน้านี้ 13.1.2 ที่ออกมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว สามารถอัพเดตได้ผ่าน OTA โดยไปที่แอป Settings > General > Software Update

อัพเดตในรอบนี้แอปเปิลระบุว่าเป็นการแก้ไขปัญหาหลายรายการ ตลอดจนปรับปรุงประสิทธิภาพ อาทิ ปัญหาโทรศัพท์อาจไม่สั่นหรือส่งเสียงเมื่อมีสายเรียกเข้า, ปัญหาข้อมูลใน Health หลัง DST, ปัญหาดึงข้อมูล Voice Memos จาก iCloud, ปัญหาการจับคู่ Apple Watch ฯลฯ

ที่มา: MacRumors

แอปเปิลอัพเดตระบบ iOS 13.1 และผู้ใช้งานบางส่วนสังเกตเห็นว่า อีโมจิธงไต้หวันหายไป โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอีโมจิธงไต้หวันหายนั้น เป็นผู้ใช้งานในฮ่องกงและมาเก๊า

ปัญหานี้เป็นเรื่องของผู้ที่ใช้งานแอป Reminders (เตือนความจำ) ใน iOS และซิงก์กับ macOS เนื่องจาก Reminders ใน iOS 13 มีการปรับยกเครื่องใหม่ทั้งหมด เมื่อผู้ใช้เปิดแอปนี้บน iOS 13 ครั้งแรก จะถูกถามว่าต้องการอัพเกรดหรือไม่ หากเลือกอัพเกรดแล้วผลคือข้อมูล Reminders ใหม่จะไม่ซิงก์มาที่ macOS ณ ตอนนี้

ข่าวลือเรื่อง AirPods ที่มีระบบตัดเสียงรบกวนไม่ใช่เรื่องใหม่ (ข่าวเก่า) แต่ภาพสัญลักษณ์ที่มีคนเจอใน iOS 13.2 เผยให้เห็นว่าหน้าตาของ AirPods ตัวใหม่นี้เป็นอย่างไร

จากรูปที่เห็น AirPods ตัวใหม่คล้ายกับหูฟังแบบอินเอียร์ตัวเก่าของแอปเปิ้ล แต่ต่างกันตรงที่ไร้สายเท่านั้น (ทำนองเดียวกันกับ AirPods ที่ดูเหมือน EarPods ที่ไม่มีสาย) ภาพสัญลักษณ์รูปนี้ถูกเจออยู่ในเมนูตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับระบบ Accessibility

รายละเอียดอื่นที่เจอใน OS ตัวนี้คือ AirPods ตัวใหม่จะมีหลายรุ่นย่อย โดยแยกเป็นรุ่นที่มี/ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน ที่ถูกเรียกว่า "focus mode" และมีชื่อรหัสรุ่นว่า B298

เรียกได้ว่าถ้าพลาดอัพเดตช้าไปไม่กี่วัน ก็จะมีตัวใหม่ออกมาต่อเนื่องเลย โดยล่าสุดแอปเปิลก็ออกอัพเดตระบบปฏิบัติการ iOS 13.1.2 และ iPadOS 13.1.2 ซึ่งเป็นอัพเดตที่ต่อจาก iOS 13.1.1 และ iPadOS 13.1.1 ที่ออกมาเมื่อวันเสาร์ สามารถอัพเดตได้ผ่าน OTA โดยไปที่แอป Settings > General > Software Update

รายการอัพเดตใน iOS 13.1.2 นี้ เป็นการแก้ไขบั๊กหลายรายการดังนี้

ไม่ค่อยผิดคาดนัก แต่ก็อาจจะเร็วกว่าที่คิด หลังมีรายงานปัญหาบั๊กคีย์บอร์ดจากแอปนักพัฒนาภายนอก (Third-party) แอปเปิลก็ได้ออกอัพเดต iOS 13.1.1 และ iPadOS 13.1.1 เรียบร้อยแล้วในวันนี้

นอกจากปัญหาบั๊กคีย์บอร์ด แอปเปิลยังระบุว่า iOS 13.1.1 และ iPadOS 13.1.1 ยังแก้ปัญหาต่อไปนี้ด้วย

• ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วหลังอัพเดต
• ปัญหาการ restore ไฟล์จาก backup
• แก้ปัญหา Reminders ซิงก์ข้อมูลช้า

สามารถอัพเดตได้โดยพลันผ่าน OTA โดยไปที่แอป Settings > General > Software Update

ถึงแม้แอปเปิลจะออกอัพเดต iOS 13.1 และ iPadOS 13.1 ซึ่งแก้ไขบั๊กหลายรายการสำคัญไปจาก 13.0 แต่แอปเปิลก็ได้ชี้แจงปัญหาในหน้าสนับสนุน เตือนลูกค้าเกี่ยวกับบั๊กที่ยังค้นพบใน iOS 13.1 ซึ่งจะได้รับการแก้ไขในอัพเดตถัดไป กระทบกับผู้ใช้งานที่ลงคีย์บอร์ดเพิ่มเติมจากนักพัฒนาภายนอกเข้ามา

ปัญหาดังกล่าวแอปเปิลบอกว่าคีย์บอร์ดที่โหลดเพิ่มมานั้น อาจเข้าถึงข้อมูลได้ครบทั้งหมด (full access) เท่าที่อนุญาตได้ แม้ผู้ใช้จะไม่อนุญาตก็ตาม ซึ่งอาจรวมทั้งการส่งข้อมูลออกไปทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น อย่างไรก็ตาม iOS กำหนดค่าเอาไว้ว่ากรณีเป็นการพิมพ์ช่องรหัสผ่าน (password) จะต้องใช้คีย์บอร์ดพื้นฐานของ iOS เท่านั้น แม้ตอนนั้นจะใช้คีย์บอร์ดอื่นอยู่

นอกจากอัพเดตใหญ่ของ iPad ในชื่อ iPadOS แอปเปิลก็ได้ออกอัพเดต iOS 13.1 สำหรับผู้ใช้ iPhone และ iPod touch ด้วยเช่นกัน

นอกจากรายการแก้ไขบั๊กต่าง ๆ ที่มีรายงานใน iOS 13 แล้ว ยังมีคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ดังนี้

แอปเปิลประกาศเลื่อนวันปล่อยอัพเดตระบบปฏิบัติการสำหรับ iPad ที่ใช้ชื่อใหม่ว่า iPadOS จากเดิมวันที่ 30 กันยายน เร็วขึ้นมาเป็นวันที่ 24 กันยายน (ในไทยจะเข้าสู่วันใหม่ตามเวลาท้องถิ่นเป็น 25 กันยายน)

นอกจากจะมีอัพเดต iPadOS แล้ว แอปเปิลยังเตรียมออกอัพเดต iOS 13.1 ต่อเนื่องจาก iOS 13.0 ที่ออกมาเมื่อคืน ในวันเดียวกันด้วย โดยเพิ่มฟีเจอร์ที่เคยประกาศไว้แต่ยังไม่ได้ใส่มาใน 13.0 อาท Siri Shortcut actions แบบอัตโนมัติ, แชร์คาดเวลาจะเดินทางไปถึงให้เพื่อนใน Maps ฯลฯ

นอกจากนี้ iOS 13.1 ยังแก้ไขบั๊กช่องโหว่ล็อกหน้าจอที่มีการรายงานออกมาก่อนหน้านี้ด้วย

แอปเปิลปล่อยอัพเดตระบบปฏิบัติการ iOS 13 แล้ววันนี้ สำหรับผู้ใช้ iPhone และ iPod Touch โดย iPhone รองรับตั้งแต่รุ่น iPhone 6s ขึ้นไป และ iPod เฉพาะ 7th Gen

การอัพเดตสามารถอัพเดตแบบ OTA ได้โดยไปที่ Settings > General > Software update อัพเดตครั้งนี้เป็นอัพเดตใหญ่ ขนาดไฟล์จะค่อนข้างใหญ่ราว 2GB

ไฮไลท์สำคัญใน iOS 13 คือการเพิ่ม Dark Mode ที่สามารถกำหนดให้เปิดใช้อัตโนมัติระหว่างวันได้ด้วยตามเวลาพระอาทิตย์ตก ส่วนแอป Photos ก็ยกการจัดเรียงเครื่องใหม่ รวมทั้งเพิ่มของใหม่ในการแก้ไขรูปภาพและวิดีโอ ส่วนด้านความปลอดภัยก็เพิ่มตัวเลือก Sign in with Apple เข้ามา มีรายการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่าง สามารถดูได้ในข่าวเก่า

FiLMiC Pro ผู้พัฒนาแอปถ่ายวิดีโอ ซึ่งได้เปิดตัวฟีเจอร์ถ่ายวิดีโอหน้า-หลังพร้อมกันในแอป iOS เวอร์ชันใหม่ ในงานอีเวนต์เปิดตัว iPhone 11 Pro เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เปิดเผยว่าฟีเจอร์การถ่ายภาพหน้า-หลังนี้ จะไม่จำกัดแค่บน iPhone 11, 11 Pro และ 11 Pro Max แต่จะรองรับไปถึง iPhone XS, iPhone XR และ iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย

การทำงานของกล้องหน้า-หลัง ให้บันทึกภาพพร้อมกันนั้นเป็นคุณสมบัติใหม่ที่แอปเปิลประกาศ API เพิ่มเติมสำหรับ iOS 13 ทำให้แอป FiLMiC Pro สามารถเปิดฟีเจอร์นี้ได้ในอุปกรณ์รุ่นปีก่อนด้วย โดยต้องอัพเดตเป็น iOS 13 หรือ iPadOS ก่อน

Facebook ได้เขียนบล็อกอธิบายเรื่องการเก็บข้อมูลพิกัดผู้ใช้งาน โดยเน้นไปที่ระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนล่าสุด Android 10 ที่เริ่มออกอัพเดตแล้ว กับ iOS 13 ที่น่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดทั่วไปในเดือนนี้ ซึ่งต่างเปิดให้ผู้ใช้งานควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวละเอียดมากขึ้น แต่ก็มีผลกระทบข้างเคียงต่อประสบการณ์ใช้งาน Facebook ด้วย เช่นการแจ้งเตือนสำคัญในพื้นที่ ไปจนถึงการแสดงโฆษณาที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่อยู่

มีรายงานจาก Reddit ห้อง r/iOSBeta โดยพบว่าหากตั้งชื่อหัวเรื่องในแอป Notes บน iOS 13 Beta ด้วยการเขียนลายมือ แอปเปิลจะแนะนำหัวเรื่องที่เหมาะสม โดยเซ็นเซอร์กรณีที่มีคำว่า f*ck อยู่ในนั้น

เว็บ The Next Web ได้ทดลองทำซ้ำบน iPhone ก็พบการเซ็นเซอร์คำนี้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อลองใช้คำไม่สุภาพคำอื่นดู ก็พบว่า Notes ไม่สามารถแยกคำไม่สุภาพได้ทุกกรณี ทั้งนี้ทางเว็บได้ติดต่อไปยังแอปเปิลเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ

ใน iOS 13 ที่มีกำหนดเปิดใช้งานในปีนี้ Apple ได้ปรับ VoIP API ชื่อว่า PushKit ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบโทรผ่านอินเทอร์เน็ตของ iOS ใหม่ โดยจุดสำคัญของ API ชุดใหม่นี้คือ Apple จะไม่อนุญาตให้แอปใช้งานฟีเจอร์นี้ในเบื้องหลังอีกต่อไป

API ที่อนุญาตให้ฟังเสียงขณะที่ตัวแอปไม่ได้ถูกใช้งานจะช่วยให้การต่อโทรศัพท์ไวขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เพราะแอปอาจเก็บข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว รวมถึงกินแบตเตอรี่ของอุปกรณ์เพราะแอปยังรันอยู่เบื้องหลัง ซึ่งหาก API ใหม่ออกมาจริง แอปที่มีฟีเจอร์ VoIP หลายแอปจะต้องปรับแก้ความสามารถนี้ใหม่

แอปเปิลกำลังทดลองฟีเจอร์ล็อกอินเข้า iCloud คลังข้อมูลของเราด้วยการแสกนนิ้วและใบหน้าหรือ Face ID และ Touch ID จากเดิมที่ต้องคีย์รหัสผ่าน โดยผู้ใช้งานที่ได้สิทธิ์ทดลองตอนนี้ต้องใช้งาน iOS 13, iPadOS 13 และ MacOS Catalina เวอร์ชั่นเบต้า

นอกจากฟีเจอร์แก้ไขตำแหน่งดวงตาเวลา FaceTime แล้ว เว็บ 9to5Mac ก็ได้พบของใหม่ใน iOS 13 beta 3 สำหรับนักพัฒนาเช่นกัน โดยเป็นไฟล์รูปภาพที่แสดงขึ้นมาเวลาตั้งค่าเครื่องใหม่ ซึ่งเป็นรูป iPhone สองเครื่อง เชื่อมต่อหากันด้วยสาย และมีข้อสังเกตว่า iPhone สองเครื่อง เครื่องหนึ่งเป็นรุ่นเก่ามี Touch ID ส่วนอีกเครื่องเป็นรุ่นใหม่กว่าใช้ Face ID

ข้อมูลเพิ่มเติมที่พบคือข้อความแสดงผล บอกว่า "ให้ iPhone อีกเครื่องเชื่อมต่อกับ iPhone เครื่องนี้ และชาร์จไฟไว้จนกว่าจะถ่ายโอนข้อมูลเสร็จเรียบร้อย"

แอปเปิลได้ออกอัพเดต iOS 13 สำหรับนักพัฒนา beta 3 โดย Mike Rundle ได้พบฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ นั่นคือใน Settings ของ FaceTime มีตัวเลือกใหม่ให้เปิด-ปิดได้ เรียกชื่อว่า FaceTime Attention Correction

จากการทดสอบพบว่า FaceTime Attention Correction มีการทำงานตามชื่อ โดยเมื่อผู้ใช้สนทนาวิดีโอผ่าน FaceTime หากดวงตาไม่ได้มองไปที่กล้องหน้า โปรแกรม FaceTime จะแก้ไขภาพให้ดวงตาเรามองที่กล้อง ทั้งนี้เพราะเวลาผู้ใช้วิดีโอคอลล์หากัน หลายครั้งที่สายตาเราจะมองหน้าจอเพื่อดูหน้าคู่สนทนา ทำให้ตาหลุดจากตำแหน่งกล้อง อีกฝ่ายก็ไม่เกิด eye contact นั่นเอง

ผลการทดสอบเพิ่มเติมพบว่าแอปเปิลใช้ ARKit จับตำแหน่งภาพใบหน้าของผู้ใช้งาน เพื่อแก้ไขตำแหน่งดวงตา

จากเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Apple จัดงาน WWDC19 พร้อมทั้งได้ปล่อย iOS 13 Developer Beta 1 ให้นักพัฒนาได้ทดลองหลังจบงาน และเมื่อวันก่อน Apple ก็ได้ปล่อย Beta 2 ให้นักพัฒนาได้ทดสอบต่อจาก Beta 1 อีกเช่นกัน

ล่าสุดวันนี้ Apple ก็ได้ปล่อย iOS 13 Public Beta 1 ออกมาให้บุคคลทั่วไปที่สนใจจะลองของใหม่ต่อจากสายนักพัฒนา (Developer) แล้ว โดยเลข build ที่ได้จะเป็นตัวเดียวกับ iOS 13 Developer Beta 2 คือ 17A5508m

วิธีการลงทะเบียนและติดตั้ง iOS 13 Public Beta (โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์)

เว็บ 9to5Mac เปิดเผยภาพสกรีนช็อตของ iOS 13 ซึ่งทำให้เห็นคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มเข้ามา และน่าจะทำให้ผู้ใช้งานสนใจเรื่องข้อมูลความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น

โดยจากภาพนั้น iOS 13 จะขึ้นข้อความเตือนผู้ใช้งานเป็นระยะ ๆ เพื่อบอกว่ามีแอปที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง (background) ได้เก็บข้อมูลพิกัดตำแหน่งของเราไว้ แสดงผลออกมาในรูปเส้นทางแผนที่ พร้อมอธิบายว่าแอปเหล่านั้นเอาข้อมูลพิกัดไปทำอะไร

ผู้ใช้งานมีทางเลือกจากการแจ้งเตือนคือ เปลี่ยนไปเป็น ให้แอปเก็บข้อมูลเฉพาะเวลาเราใช้งานแอปเท่านั้น หรือเลือกให้เก็บไปเลยตลอด รวมทั้งสามารถเลือกอนุญาตครั้งเดียว (Allow Once) ซึ่งก็จะถูกถามอีกครั้งในอนาคต

Apple ได้ประกาศใน WWDC เกี่ยวกับการปรับปรุงระบบการขอสิทธิ์เข้าถึง Contacts จากแอปใหม่ โดยบน iOS 13 จะไม่ให้แอปเข้าอ่านในส่วน Notes ของ Contacts แล้ว เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล

Apple ระบุว่า ผู้ใช้มักจะใส่ข้อมูลสำคัญซึ่งไม่อยากให้คนอื่นรู้ไว้จำนวนมาก และผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยก็แนะนำไม่ให้ใส่ข้อมูลสำคัญในส่วนนี้ เพราะไม่มีการเข้ารหัสใด ๆ แต่ผู้ใช้จำนวนมากก็ใส่กันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นรหัสเอทีเอ็ม, รหัสเข้าบ้าน, Social Security Number หรือข้อมูลบัตรเครดิต ดังนั้นเมื่อแอปเรียกข้อมูล Contacts แล้วผู้ใช้อนุญาต แอปก็ดูดข้อมูลได้ทั้งหมดแม้จะเป็นในส่วน Notes ก็ตามที และผู้ใช้หลายคนไม่ได้ตระหนักถึงในส่วนนี้

อีกหนึ่งฟีเจอร์เล็กๆ แต่มีประโยชน์บน iOS 13 และไม่ได้ถูกพูดถึงในคีย์โน้ต คือ iOS 13 จะช่วยรักษาระดับแบตเตอรี่บน iPhone ขณะชาร์จทิ้งไว้ตอนกลางคืนไม่ให้เกิน 80% และจะใช้อัลกอริทึมเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้ว่าปกติตื่นประมาณกี่โมง ก่อนจะปล่อยให้ชาร์จจนเต็มในช่วงใกล้ตื่นนอน

ปัจจัยสำคัญที่ใช้วิธีนี้ ก็เพราะหลักการทำงานของแบตเตอรี Lithium-ion ที่จะนับอายุการใช้งานเป็น cycle ขณะที่ปริมาณแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดที่ควรรักษาเอาไว้คือไม่ควรต่ำกว่า 40 และเกิน 80 ดังนั้นแอปเปิลจึงกำหนดให้การชาร์จในตอนกลางคืนไม่เกิน 80% เพื่อรักษาอายุแบตเตอรีและไม่เปลือง cycle โดยใช่เหตุ

บริการ Sign In with Apple ที่แอปเปิลเปิดตัวในงาน WWDC วันแรก ได้รับความสนใจมาก เนื่องจากเป็นบริการล็อกอินที่แอปเปิลชูจุดขายความเป็นส่วนตัว ไม่มีการส่งข้อมูลไปยังแอปภายนอก อย่างไรก็ตามแอปเปิลก็มีข้อกำหนดเรื่องการส่งแอปไป App Store ว่าแอปจะต้องรองรับตัวเลือกการล็อกอิน Sign In with Apple นี้ด้วยเสมอ จึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงพอสมควร

ล่าสุด Reuters ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าแอปเปิลยังระบุในคำแนะนำอีกว่า ตำแหน่งปุ่ม Sign In with Apple ควรอยู่เหนือปุ่มล็อกอินของบริการรายอื่น ซึ่งการวางตำแหน่งไว้ด้านบนสุดนั้นก็ช่วยให้โอกาสที่บริการนี้ของแอปเปิลถูกใช้งานเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

วันนี้แอปเปิลเปิดตัว iPadOS โดยฟีเจอร์ส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่ามันรองรับการทำงานแบบเดสก์ทอปเต็มรูปแบบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ฟีเจอร์หนึ่งที่ไม่ถูกพูดถึงคือ iPadOS จะรองรับเมาส์

ฟีเจอร์นี้ไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจน แต่อยู่ในเมนู Accessibility ที่สามารถเลือก Pointing Devices เป็นเมาส์ได้ เคอร์เซอร์จะเหมือนการแสดงเคอร์เซอร์เมื่อใช้นิ้วแตะหน้าจอ

ใช้งานได้ทั้ง iPadOS และ iOS 13 รองรับทั้งเมาส์ USB และ Bluetooth

ที่มา - TheVerge

คุณสมบัติหนึ่งของ iOS 13 ที่แอปเปิลระบุไว้ แต่ไม่ได้มีการประกาศบนคีย์โน้ตงาน WWDC นั่นคือการอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอปที่มีขนาดใหญ่จาก App Store ผ่านการเชื่อมต่อมือถือได้แล้ว

เดิมนั้นผู้ใช้งานจะไม่สามารถดาวน์โหลดแอปจาก App Store เวลาเชื่อมต่อผ่านมือถือได้หากแอปมีขนาดใหญ่กว่า 150MB (เพิ่งเพิ่มเป็น 200MB ใน iOS 12.3.1) โดยต้องไปเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi จึงจะดาวน์โหลดได้