นาทีนี้ใครก็มุ่งหน้าไปยังรถยนต์ไฟฟ้ากันทั้งนั้น ล่าสุดเป็น Ford ที่ประกาศลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3 หมื่นล้านบาท ในการปรับปรุงโรงงานประกอบรถยนต์ของตนที่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี ให้กลายเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
Ford ระบุว่าบริษัทมีเป้าว่าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนทั้งหมดในอนาคต จึงตัดสินใจลงทุนเพื่อปรับโรงงานในเยอรมนีให้เป็นศูนย์ Ford Cologne Electrification Center ซึ่งโรงงานนี้ก็เป็นสำนักงานใหญ่ของ Ford ภูมิภาคยุโรปอยู่แล้ว
นอกจากนี้ Ford ยังประกาศขายเฉพาะรถปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในยุโรปภายในกลางปี 2026 และจะขายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในยุโรปภายในปี 2030 อีกทั้งรถยนต์เชิงพาณิชย์ก็จะเป็นไฟฟ้าล้วนหรือปลั๊กอินไฮบริดภายในปี 2024
Ford ประกาศลงทุนในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับเพิ่มเติมจากเดิม 1.15 หมื่นล้านเหรียญเป็น 2.9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเป็นเม็ดเงินลงทุนภายในปี 2025
จำนวนเงิน 2.9 หมื่นล้านเหรียญแบ่งเป็น รถยนต์ไร้คนขับ 7 พันล้านเหรียญและรถยนต์ไฟฟ้าอีก 2.2 หมื่นล้านเหรียญ (ตัวเลข 2.2 หมื่นล้านรวม 7 พันล้านที่ลงทุนไปตั้งปี 2016 แล้ว)
ที่มา - The Verge
ค่ายรถยนต์ Ford และ Google ประกาศจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กันระยะเวลา 6 ปีนับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป รถยนต์ Ford และ Lincoln แบรนด์ลูกกลุ่มรถหรู จะขับเคลื่อนด้วย Android (แต่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็น Android Automotive), แอปและเซอร์วิสต่าง ๆ จาก Google ขณะที่ระบบหลังบ้าน Ford ก็จะใช้ Google Cloud ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการตั้งทีม Upshift ที่ทั้งสองบริษัทจะทำงานร่วมกันพัฒนาโปรเจ็คต่าง ๆ เช่น User Experience หรือโอกาสในการนำข้อมูลการขับขี่มาต่อยอดผ่าน AI/ML ของ Google เป็นต้น
ที่มา - Ford
Ford ประกาศความร่วมมือกับ Mobileye บริษัทเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ (สถานะคือเป็นบริษัทลูกของอินเทลมาตั้งแต่ปี 2017) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนการขับขี่ (driver-assistance) ร่วมกัน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ Mobileye จะนำเทคโนโลยีของตัวเองชื่อ EyeQ (ประกอบด้วยชิป SoC และซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพ) มาใช้กับระบบช่วยขับขี่ Ford Co-Pilot360 โดยถือเป็นระบบช่วยขับขี่ระดับ 1 และ 2 ตามนิยาม advanced driver assistance systems (ADAS) อย่างการเบรกอัตโนมัติ คุมพวงมาลัย การรักษาเลน เป็นต้น
นอกจากนี้ Ford ยังจะแสดงโลโก้ของ Mobileye ตามจุดต่างๆ อย่างในหน้าจอ Ford Sync โดยรถยนต์ที่จะใช้งานระบบนี้เริ่มจากรถกระบะ F-150 และ Mustang Mach-E รุ่นหน้า
Ford ประกาศจะผลิตเครื่องช่วยหายใจให้ได้ 50,000 เครื่องภายในระยะเวลา 100 วันนับตั้งแต่ 20 เมษายนเป็นต้นไป หลังเป็นพาร์ทเนอร์กับ GE Healthcare เพื่อนำเครื่องช่วยหายใจรุ่น GE/Airon โมเดล A-E มาผลิต โดย Ford ต้องรอการรับรองด้านกฎหมายในการเป็นผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจรุ่นดังกล่าวให้ GE
Ford ระบุว่าจะใช้โรงงานชิ้นส่วนในรัฐมิชิแกน ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตเครื่องช่วยหายใจได้ราว 30,000 เครื่องต่อเดือน โดย GE/Airon โมเดล A-E เป็นเครื่องช่วยหายใจที่ทำงานโดยอาศัยแรงดันลมทำให้ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการใช้งาน ทำให้สามารถใช้งานได้ทุกที่และค่อนข้างเหมาะสมสำหรับการใช้ในช่วงวิกฤติลักษณะนี้
หลังจากที่เมื่อวานมีข่าวว่า Sunny Madra รองประธานของ Ford X บริษัทบ่มเพาะธุรกิจ (incubator) ของ Ford ได้ทวีตท้า Elon Musk ให้นำ Cybertruck มาประชันกันใหม่ และ Elon ก็ตอบรับคำท้าเรียบร้อย แต่ล่าสุดดูเหมือนว่า Ford จะขอเปลี่ยนใจเสียแล้ว
บนเวทีเปิดตัว Tesla Cybertruck รถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่จาก Tesla ได้มีช่วงหนึ่งที่ Elon Musk ได้เปิดวิดีโอรถกระบะ Cybertruck ผูกติดกับ Ford F-150 หนึ่งในรถกระบะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา และขับออกจากกันคล้ายการชักเย่อ ซึ่งในวิดีโอ Cybertruck ได้ลาก F-150 ไปอย่างง่ายดาย
เมื่อสองวันก่อน Ford ได้เปิดตัว Mustang Mach-E รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของบริษัทที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี โดย Mustang Mach-E ไม่ใช่รถเก๋งแบบที่ผ่านมา แต่เป็นรถ SUV ทรงสปอร์ตที่ดูผ่านๆ อาจนึกว่าเป็นรถเก๋ง ซึ่ง Ford ได้ลงทุนเพื่อก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าไปถึง 3.3 แสนล้านบาท
Ford Mustang Mach-E มีรุ่นย่อยหลัก 4 รุ่น ซึ่งก็มีออปชันย่อยลงไปอีก ดังนี้
Select รุ่นเริ่มต้น มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 75.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง หากเป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังจะมีกำลัง 255 แรงม้า เร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ภายใน 7 วินาที ขับได้ระยะทางราว 370 กิโลเมตร และถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อก็จะเร็วกว่านั้นนิดหน่อยและมีระยะทางลดลง ราคาเริ่มต้น 43,895 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.32 ล้านบาท
ระบบอินโฟเทนเมนต์ในรถยนต์ Ford ใช้ชื่อว่า Ford SYNC ซึ่งออกรุ่นแรกมาตั้งแต่ปี 2007 และพัฒนามาเรื่อยๆ จนปัจจุบันอยู่ที่ SYNC 3 ซึ่งใช้มาเกือบห้าปีแล้ว ล่าสุด Ford เปิดตัว SYNC 4 ซึ่งจะเริ่มใช้จริงปีหน้า
Ford SYNC 4 จะรองรับ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย ทำให้ผู้ขับขึ้นรถมาก็เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของตนได้ทันที นอกจากนี้รถยนต์บางรุ่นก็จะมีแป้นชาร์จมือถือไร้สายด้วย
อะไรก็เกิดขึ้นได้ในยุครถยนต์ไฟฟ้า เมื่อ Ford หนึ่งในบริษัทรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ได้ก้าวเข้าสู่สงครามรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวเครือข่ายสถานีชาร์จรถ EV ด้วยจำนวนมากถึง 12,000 สถานีทั่วสหรัฐอเมริกา
กลยุทธ์ของ Ford ไม่ใช่การสร้างหรือผลิตสถานีชาร์จไฟของตัวเอง แต่ใช้วิธีจับมือกับผู้ให้บริการชาร์จไฟที่มีอยู่หลายเจ้า เช่น Greenlots ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทน้ำมัน Shell อีกที, Electrify America ผู้ให้บริการชาร์จรถ EV ที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ รวมถึงผู้ให้บริการเจ้าอื่นๆ
Ford และ Baidu ประกาศความเป็นพันธมิตรในโปรเจ็ค Baidu-Ford L4 Autonomous Vehicle Test ซึ่งกินระยะเวลา 2 ปี เพื่อนำรถยนต์ไร้คนขับมาทดสอบวิ่งบนถนนร่วมกัน โดยมีเป้าหมายคือรถไร้คนขับระดับ 4 ตามมาตรฐาน SAE International
รถยนต์ของ Ford จะถูกติดตั้งด้วยระบบ Virtual Driver System จากโครงการ Apollo ของ Baidu ขณะที่การทดสอบจะเริ่มในช่วงปลายปีนี้ โดยจะทดสอบวิ่งบนถนนในกรุงปักกิ่งเป็นหลัก และอาจนำไปทดสอบวิ่งในเมืองอื่นๆ เพิ่มเติมหากกฎหมายเอื้ออำนวย
Ford ระบุด้วยว่าความร่วมมือนี้ช่วยให้บริษัทมีโอกาสนำเสนอโซลูชันไร้คนขับในจีนมากยิ่งขึ้นด้วย
Ford ประกาศเปิดตัวบริษัทใหม่ Ford Autonomous Vehicle LLC ซึ่งเป็นการแยกหน่วยงานทั้งฝ่ายวิจัยและฝ่ายธุรกิจที่ดูแลด้านรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Ford ออกมาเหมือนกับ GM Cruise และ Waymo ของ Alphabet เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานด้านการวิจัยและพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ในการตั้งบริษัทใหม่นี้ Ford ตั้งเป้าหมายเตรียมลงทุนในโครงการรถยนต์เพิ่มเติมจนถึงปี 2023 เป็นจำนวนเงิน 4 พันล้านดอลลาร์ และเตรียมหาพาร์ทเนอร์กับนักลงทุนอีกจำนวนมาก โดยบริษัทใหม่นี้มีโครงสร้างที่ค่อนข้างเปิดต่อการลงทุนจากบริษัทอื่นด้วย ซึ่งการแยกบริษัทครั้งนี้ Ford คาดหวังว่าจะช่วยเร่งให้เกิดโอกาสทางธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วย
ขณะนี้ก็จบเดือนมิถุนายนไปแล้ว และเป้าหมายที่ Tesla ได้ตั้งไว้ว่าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 ให้ได้ 5,000 คันต่อสัปดาห์ก็ทำได้ตามที่ตั้งไว้ โดยบริษัทได้ระบุในการยื่นแบบให้หน่วยงานกำกับว่าได้ผลิตรถ Model 3 ได้ 5,031 คันในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน
บริษัทระบุในเอกสารว่า 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท และพวกเขาภูมิใจในทีมงาน Tesla มาก
เมื่อวาน Elon Musk ก็ได้ทวีตว่า “7000 คัน, 7 วัน” พร้อมอีโมจิรูปหัวใจให้ทีมงาน Tesla ซึ่งตามเอกสารที่ยื่นก็ระบุว่านอกจาก Tesla Model 3 จำนวน 5,031 คันแล้ว Tesla ยังผลิต Model S และ X ได้รวมกัน 1,913 คัน ฉะนั้นรวมกันแล้วได้ 6,944 คัน (Elon น่าจะตีเป็น 7,000 คัน)
Ford เปิดตัวอุปกรณ์เสริมภายในรถชื่อว่า "Feel the View" อุปกรณ์นี้จะช่วยให้ผู้โดยสารในรถยนต์ผู้มีปัญหาทางการมองเห็นสามารถชมวิวทิวทัศน์นอกตัวรถได้
การชมวิวที่ว่านี้ไม่ใช่การเสพบรรยากาศด้วยการมอง หากแต่เป็นการสัมผัสด้วยมือ Feel the View จะทำการถ่ายภาพทิวทัศน์นอกตัวรถแบบเดียวกับที่ผู้โดยสารควรจะมองเห็นได้ผ่านกระจกด้านข้าง จากนั้นมันจะเปลี่ยนภาพถ่ายที่ได้จากภาพสีให้เป็นภาพขาว-ดำ เพื่อนำไปใช้อ้างอิงในการสร้างการสั่นสะเทือน
Ford ออกมาประกาศเลือกเมืองไมอามี่ รัฐฟลอริด้าเป็นเมืองแรกที่เริ่มให้บริการรถยนต์ไร้คนขับ พร้อมจัดตั้งศูนย์จัดการรถยนต์ (Fleet-Management Center) ที่นี่ด้วย อย่างไรก็ตามแผนการของ Ford เพิ่งขั้นแรกเท่านั้น และต้องนำรถมาทำแผนที่และวิ่งทดสอบในเมืองก่อน
แผนการการให้บริการก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะให้บริการเอง หรือจับมือกับพาร์ทเนอร์ โดยตอนนี้ Ford เป็นพาร์ทเนอร์กับ Lyft ทดสอบนำรถไร้คนขับรับส่งคน รวมถึงเป็นพาร์ทเนอร์ด้านเดลิเวอรี่ Domino Pizza และบริษัทรับส่งสินค้า Postmates และคาดว่า Ford น่าจะเริ่มให้บริการรับส่งคนและบริการเดลิเวอรี่อย่างเร็วที่สุดภายในปี 2021
Ford ประกาศร่วมมือกับ Waze เตรียมนำแอพนำทางมาใส่ใน Ford SYNC 3 ระบบอินโฟเทนเมนต์ของ Ford ในรถยนต์รุ่นปี 2018 ผ่านฟีเจอร์ AppLink ของ Ford
การใช้งาน Waze นั้น ผู้ใช้จะต้องต่อโทรศัพท์ที่มีแอพ Waze กับรถยนต์ของ Ford โดยฟีเจอร์ของ Waze ที่จะมาลงในรถยนต์ Ford นั้นมีตั้งแต่ฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการนำทาง, การอัพเดตสภาพการจราจรและคำเตือนต่าง ๆ ไปจนถึงฟีเจอร์ Talk to Waze ซึ่งผู้ใช้จะสามารถสั่งการโดยการสัมผัสจอบนรถยนต์ Ford หรือจะใช้การสั่งการด้วยเสียงก็ได้
Ford เผยว่ารถยนต์โมเดลปี 2018 ที่มาพร้อมกับ Ford SYNC 3.0 หรือใหม่กว่าจะสามารถใช้งาน Waze บนหน้าจอสัมผัสบนรถยนต์ Ford ได้ ส่วนรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ที่มี SYNC 3 ก็จะสามารถอัพเดตผ่าน OTA หรือ USB เพื่อเปิดใช้ฟังก์ชัน Waze ได้เช่นกัน
Ford จับมือ Postmates สตาร์ทอัพด้านจัดส่งสินค้า ทำโครงการทดลองนำรถอัตโนมัติเข้ามาบริการส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค โดย Ford ระบุว่าตลอดทั้งปีนี้จะดำเนินการโครงการนำร่องเพื่อสำรวจว่าเทคโนโลยีการขับขี่ด้วยตนเอง สามารถเปลี่ยนประสบการณ์การจัดส่งสินค้าให้ผู้บริโภคได้อย่างไร และสร้างโอกาสให้ร้านค้าเล็กได้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ด้วย
Ford ระบุด้วยว่า เราคาดหวังว่าจะสามารถปรับใช้เทคโนโลยีรถอัตโนมัติในได้ดีเพื่อให้ลูกค้าได้สินค้ารวดเร็ว และช่วยส่งเสริมร้านค้าท้องถิ่น
อย่างไรก็ตามทั้งสองบริษัทยังไม่ระบุว่าจะเริ่มทดลองระบบที่เมืองใดก่อน
ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Nissan, Mecedes-Benz ไปจนถึงผู้ให้บริการเรียกรถอย่าง Lyft กำลังเริ่มพัฒนาระบบรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า แต่ฝั่งของ Ford นั้น บริษัทยังคงจะไม่ทิ้งพลังงานฟอสซิลเสียทีเดียว ล่าสุด Jim Farlehy ประธานฝ่ายการตลาดโลกของ Ford ให้สัมภาษณ์กับ Automotive News ว่ารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Ford ที่วางแผนจะวางจำหน่ายในปี 2021 จะเป็นรถยนต์ไฮบริด
Ford ยังคงเดินหน้าบุกตลาดจีนอยู่เรื่อย ๆ หลังจากที่ร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้ว รอบนี้ Ford ก็ได้ร่วมมือกับ Alibaba โดยเน้นไปที่ช่องทางการจำหน่ายสินค้าสู่คนจีนโดยตรง
ปัจจุบัน Alibaba นั้นมีช่องทาง T-Mall และ Taobao เป็นช่องทางสำหรับการซื้อขายสินค้าออนไลน์อยู่แล้ว ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้เราอาจเห็น Ford นำรถยนต์ขึ้นไปขายบนแพลตฟอร์มของ Alibaba เพื่อให้ขายตรงสู่ลูกค้าได้ แต่ว่าความร่วมมือครั้งนี้อาจไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะช่องทางขายสินค้าออนไลน์เท่านั้น เพราะตอนนี้ Alibaba ก็เริ่มขยายตลาดสู่ออฟไลน์มากขึ้นแล้วเช่นกัน
Ford ทดลองโครงการให้พนักงานในสายการประกอบรถยนต์ สวมใส่ exoskeleton ในขณะปฏิบัติงาน โดยเป้าหมายของโครงการนี้ก็เพื่อช่วยลดอาการเหนื่อยล้าและการบาดเจ็บจากการทำงาน
โดยธรรมชาติของสายการประกอบรถยนต์ของ Ford ตัวโครงรถจะถูกเคลื่อนไปตามสถานีประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งในบางตำแหน่งมันจะถูกยกสูงเหนือศีรษะเพื่อให้พนักงานประกอบสามารถทำงานกับชิ้นส่วนบริเวณใต้ท้องรถได้ ด้วยลักษณะของสายการประกอบที่ว่ามาพนักงานประกอบจึงต้องปฏิบัติงานโดยจะยกเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมทั้งยกแขนขึ้นสูงเพื่อทำงานประกอบ ซึ่ง Ford ประเมินว่าพนักงานบางรายอาจต้องยกแขนเพื่อทำงานมากถึง 4,600 ครั้งต่อวัน อันจะส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บบริเวณไหล่, คอและท่อนแขนได้
Ford และ Zotye Auto ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนได้เซ็นสัญญาก่อตั้งบริษัทร่วมเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในจีนที่นำสมัยและราคาหาซื้อได้ โดยบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ชื่อว่า Zotye Ford Automobile Co. ซึ่งสองบริษัทจะถือหุ้นคนละครึ่ง มีมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 756 ล้านดอลลาร์
หลังจากได้รับอนุญาตตั้งบริษัทแล้ว ทั้ง Ford และ Zotye จะตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัด Zhejiang โดยบริษัทร่วมซึ่งก่อตั้งโดยสองบริษัทนี้จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าป้อนให้ตลาดจีนโดยเฉพาะภายใต้แบรนด์ใหม่
Ford ประกาศการลงทุนเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีน ด้วยการไปร่วมลงทุนกับ Zotye Auto ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนฝั่งละ 50% ภายใต้ชื่อ Zotye Ford Automobile Co. เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นมูลค่ากว่า 756 ล้านเหรียญสหรัฐ
สาเหตุที่ Ford ต้องมาร่วมทุนกับ Zotye เพราะกฎหมายจีนบังคับให้บริษัทรถยนต์ต่างชาติต้องร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นเท่านั้น หากต้องการจะลงทุนและสร้างโรงงานในจีน มีเพียง Tesla ที่น่าจะได้รับอภิสิทธิ์ลงทุนโดยเป็นเจ้าของโรงงานเอง โดยเบื้องต้น Zotye Ford ไม่ได้มีแผนจะผลิตและขายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว แต่ยังมีแผนขายบริการเกี่ยวกับการช่วยเหลืออื่นๆ ด้วย (Mobility Service)
ผู้ผลิตรถยักษ์ใหญ๋ของโลก 4 เจ้าอย่าง BMW, Diamler, Ford Motor และ Volkwagen Group (รวม Audi และ Porsche) ประกาศจัดตั้งเครือข่ายที่ชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในชื่อ Ionity ซึ่งใช้มาตรฐาน Combined Charging System (CSS) ซึ่งมีค่ายรถยนต์หลายเจ้าซัพพอร์ทมาตรฐานนี้
Ionity ถูกตั้งเป้าให้กระจายสถานีชาร์จไฟไปทั่วยุโรปราว 400 สถานีภายในปี 2020 โดยปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 20 สถานีในออสเตรีย, เยอรมนีและนอร์เวย์ ซึ่งแต่ละสถานีจะห่างกันประมาณ 120 กิโลเมตรตามถนนหลวง ขณะที่ในปีหน้าคือไม่ต่ำกว่า 100 สถานี และแต่ละหัวชาร์จจะสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 350kW
Ford เผยว่าตอนนี้ทางบริษัทได้ตั้งทีมภายในชื่อว่า Team Edison เพื่อทำการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งทีมพัฒนาใหม่นี้จะต้อง คิดการใหญ่ (think big), ขยับให้ไว (move fast) และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว (make quicker decision) ในด้านการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า
Team Edison นี้จะทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ของ Ford รวมถึงซัพพลายเออร์ด้วย โดย Sherif Marakby รองประธานฝ่ายรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและไฟฟ้าให้สัมภาษณ์ว่า ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้นมีศักยภาพที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรัฐบาลหลายประเทศออกกฎหมายสนับสนุน
Ford ประกาศเป็นพาร์ทเนอร์กับ Lyft ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Ride-Hailing ผ่านรถยนต์ไร้คนขับร่วมกัน ซึ่งในอนาคตเราจะได้เห็นรถไร้คนขับของ Ford มาวิ่งให้บริการผ่าน Lyft
อย่างไรก็ตามโจทย์ของทั้งสองบริษัทที่จะต้องแก้ร่วมกันก่อน คือการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของพาร์ทเนอร์, ควรนำรถไร้คนขับไปให้บริการ Ride-Hailing ที่เมืองไหนก่อนและโครงสร้างพื้นฐานแบบไหนที่จำเป็น สำหรับการให้บริการและดูแลรถไร้คนขับ ให้พร้อมสำหรับการให้บริการ
Ford ระบุด้วยว่าเบื้องต้นจะทดสอบอินเทอร์เฟสของแพลตฟอร์มตัวเอง ด้วยการนำรถ Ford ที่มีคนขับไปให้บริการก่อน ขณะเดียวกันก็มีแผนจะนำรถไร้คนขับไปวิ่งทดสอบผ่านบริการของ Lyft ด้วย แต่ก็ยืนยันว่าจะไม่ให้บริการจริงๆ จนกว่าจะมั่นใจเรื่องความปลอดภัย