ไมโครซอฟท์รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ของปีการเงิน 2016 (เมษายน-มิถุนายน 2016) รายได้รวม 22,642 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน กำไรสุทธิ 5,484 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8%

กลุ่มธุรกิจ Intelligent Cloud ที่ถือว่ามีอนาคตดีมากของไมโครซอฟท์เติบโต 7% (หากตัดปัจจัยค่าเงินจะโต 10%) ขณะที่กลุ่ม Personal Computing รายได้ลดลง 4% ส่วนกลุ่ม Productivity and Business Processes เติบโต 5%

ซีอีโอ Satya Nadella กล่าวว่ากลุ่มธุรกิจ Microsoft Cloud ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า และสร้างโอกาสใหม่ให้ไมโครซอฟท์ต่อไปด้วย

ตัวเลขน่าสนใจรายผลิตภัณฑ์เป็นดังนี้

Netflix รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่สอง ปี 2016 มีรายได้รวม 2,105.2 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 40.8 ล้านดอลลาร์ จำนวนสมาชิกทั่วโลก 83.18 ล้านราย เพิ่มขึ้น 1.68 ล้านราย ซึ่งที่เพิ่มขึ้นมาส่วนใหญ่เป็นสมาชิกจากนอกอเมริกา

Netflix ระบุว่าตัวเลขนี้ยังสะท้อนการเติบโต แต่ยังไม่รวดเร็วอย่างที่ต้องการ เพราะการออกสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น แม้เป็นโอกาสแต่ก็มีอุปสรรคหลายอย่างที่ต้องแก้ไข

สำหรับข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ Netflix บอกว่า จำนวนสมาชิกสมัครใหม่ที่เข้ามานั้นเป็นไปตามเป้าหมาย แต่กลับมีจำนวนสมาชิกที่ยกเลิกใช้บริการสูงเกินกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้ตัวเลขสมาชิกเพิ่มขึ้นในอเมริกามีเพียง 1.6 แสนรายเท่านั้น

ในส่วนของการบุกตลาดจีน Netflix ให้ความเห็นว่าโชคไม่ดีนักเพราะทางการจีนมีความเข้มงวดกับบริการสตรีมมิ่งมากขึ้น เห็นได้จากการปิดบริการ DisneyLife ที่ดิสนีย์ร่วมทุนกับ Alibaba หรือแม้แต่แอปเปิลก็ยังเข้าไปให้บริการไม่ได้ ซึ่ง Netflix ยังคงหาโอกาสที่จะเข้าไปเปิดตลาดนี้ให้ได้

ที่มา: Netflix และ Business Insider

Facebook รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2016 มีรายได้รวม 5,382 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,229 ล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากโฆษณาบนมือถือคิดเป็น 82% ของรายได้รวม

ตัวเลขผู้ใช้งานยังคงเติบโตด้วยอัตราที่ใกล้เคียงอดีต มีผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (Monthly active users - MAUs) 1,654 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% ส่วนผู้ใช้งานเป็นประจำทุกวัน (DAUs – Daily active users) อยู่ที่ 1,090 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16%

Facebook ยังประกาศปันผลหุ้นคลาส C ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตราส่วน 2 หุ้นคลาส C ต่อหนึ่งหุ้นคลาส A และ B โดยหุ้นนี้เป็นหุ้นด้อยสิทธิออกเสียง (non-voting) ซึ่งการเพิ่มหุ้นดังกล่าวจะทำให้ Facebook และซีอีโอ Mark Zuckerberg ยังคงอำนาจในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ระยะยาวต่อไปได้ราบรื่นเหมือนเดิม เหมือนกับกูเกิลที่เคยเพิ่มหุ้นแบบนี้

เหตุที่ Facebook ต้องเพิ่มหุ้นดังกล่าวก็เนื่องจาก Mark Zuckerberg ได้ประกาศยกหุ้น 99% เพื่อองค์กรการกุศล จึงอาจเกิดการแทรกแซงกิจการได้ในอนาคต โดยเขายกตัวอย่างว่าหาก Facebook ไม่คงอำนาจการตัดสินใจไว้ที่ตัวเขาแล้ว ดีลซื้อ Instagram ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หรือไม่อย่างนั้น Facebook คงยอมขายกิจการให้ยาฮูไปแล้ว