บริษัทวิจัย Distimo ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการขายแอพบนมือถือโดยเฉพาะ ออกรายงานประจำปี 2011 รวบรวมสถิติในภาพรวมของการขายแอพบนมือถือตลอดทั้งปี (นับจาก ม.ค.-พ.ย.)

รายงานฉบับเต็มต้องซื้อ แต่รายงานฉบับย่อที่แจกให้ดาวน์โหลดฟรี (Distimo Publication) ก็มีรายละเอียดที่น่าสนใจไม่น้อย นักพัฒนาแอพมือถือในบ้านเราสมควรดาวน์โหลดมาอ่านกันครับ

สถิติของ Distimo รวบรวมจากร้านขายแอพ 7 รายใหญ่ ได้แก่ App Store for iPhone, App Store for iPad, Amazon Appstore, BlackBerry App World, Android Market, Ovi Store และ Windows Phone 7 Marketplace โดยเน้นไปที่ตลาดแอพในสหรัฐเป็นหลัก

Amazon Appstore ถูกมองว่าจะมาเป็นคู่แข่ง Android Market ของกูเกิลอย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่ขณะนี้มันยังให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีผู้ใช้บางประเทศรายงานเข้ามาว่าสามารถซื้อแอพจาก Amazon Appstore กันได้บ้างแล้ว (ถึงแม้ว่าข้อมูลในบางประเทศจะยังขัดกันอยู่ว่าตกลงได้หรือไม่ได้กันแน่) ประเทศที่รายงานเข้ามาได้แก่ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ แคนาดา สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ เวเนซุเอลา ไอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ออสเตรีย เอสโตเนีย โรมาเนีย โปแลนด์

Amazon ยังไม่มีประกาศใดๆ ในเรื่องนี้ ทำให้เดากันว่าช่วงนี้อาจเป็นช่วงลองระบบของ Amazon เองมากกว่า

ข้อได้เปรียบของยักษ์ใหญ่ที่มีบริการหลายชนิด ก็คือสามารถแถม/พ่วงโปรโมชันระหว่างบริการต่างๆ ของตัวเองได้ง่าย

คราวนี้ Amazon เริ่มจับคู่บริการใหม่ของตัวเอง 2 อย่างเข้าด้วยกัน นั่นคือ Amazon Appstore (แอพมือถือ) กับ AWS (กลุ่มเมฆ) โดยโปรโมชันล่าสุด ออกมาเชิญชวนให้นักพัฒนาแอพบน Android ส่งแอพขึ้นไปขายที่ Amazon Appstore เพราะจะแถมเครดิตมูลค่า 50 ดอลลาร์ในการรันแอพพลิเคชันบน AWS ด้วย

Amazon เตรียมที่จะวางขายแท็บเล็ต Android ขนาดเก้านิ้วของตัวเองแล้วในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ แม้ว่าหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่แท็บเล็ตอีกยี่ห้อหนึ่ง แต่แหล่งข่าวของ Wall Street Journal ได้ชี้ว่าบริการต่าง ๆ ของ Amazon เองเช่น MP3 Store, ร้านขายเพลง,​ ภาพยนตร์,​ หนังสือ และ App Store ก็สามารถเข้าถึงได้โดยตรงผ่านแท็บเล็ตตัวนี้ ทำให้มันกลายเป็นคู่แข่งโดยตรงทางด้านคอนเทนท์กับสินค้าตระกูล iOS

ในรายงานเดียวกันนี้ยังได้กล่าวถึง Kindle รุ่นใหม่ ที่จะมาพร้อมกับหน้าจอทัชสกรีนแล้ว แต่หน้าจอก็ยังคงเป็น e-ink ขาว-ดำเหมือนเดิม

ความคืบหน้าล่าสุดของคดีแอปเปิลฟ้อง Amazon ข้อหาละเมิดเครื่องหมายการค้า "App Store" ซึ่งทาง Amazon สู้ในประเด็นว่า "App Store" เป็นคำทั่วไปที่ใครก็ใช้งานได้

มุมมองของศาลไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของ Amazon เท่าไรนัก (คือมองว่าไม่ใช่คำทั่วไปเสียทีเดียว) แต่ศาลก็เห็นว่าคำอ้างของแอปเปิลว่า Amazon ทำให้ลูกค้าของแอปเปิลสับสนก็ฟังไม่ค่อยขึ้นเช่นกัน (ดูข่าวเก่าประกอบ) ในเบื้องต้น ศาลจึงได้ปฏิเสธคำขอของแอปเปิลที่สั่งให้ Amazon ห้ามใช้เครื่องหมายการค้านี้เป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะยุติ

ส่วนตัวคดีจริงๆ ศาลนัดไต่สวนอีกทีเดือนตุลาคม 2012 ระหว่างนี้ Amazon ก็สบายไป

จากข่าวเก่า ที่ PopCap ทำเกมรุกตลาด Android, วันนี้ PopCap ได้นำเกมยอดนิยมอย่าง Plants vs Zombies ลง Amazon Appstore แล้ว หลังจากที่ได้โลดแล่นอยู่ใน PC, Xbox, iOS หรือแม้กระทั่ง Nintendo DS มานาน

โดยตอนนี้ให้โหลดฟรีชิมลางกันไปก่อน แล้วค่อยขายในราคา 2.99$ และลง Appstore อื่น ๆ ต่อไป

อ๊ะ!! แต่เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งดีใจไป เพราะ Amazon Appstore ให้โหลดได้แต่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น (หา Proxy กันเอาเอง) ส่วนประเทศอื่น ๆ ยังไม่ระบุว่าจะเปิดให้โหลดกันเมื่อไหร่

คนที่เล่นเกมบนเว็บมาบ้างคงคุ้นกับเกมจากค่าย PopCap หลายเกม เช่น Bejeweled, Bookworm, Zuma และ Plants vs Zombies

ล่าสุด PopCap ประกาศทำเกมลงมือถือ Android แล้ว โดยเกมแรกคือเกม Chuzzle และเกมที่สองคือ Plants vs. Zombies ทั้งสองเกมจะเปิดตัวแบบ exclusive บน Amazon Appstore เป็นเวลาสองสัปดาห์ จากนั้นจะขายบนร้านขายแอพอื่นๆ ต่อไป

PopCap ตั้งราคาเกมที่ 2.99 ดอลลาร์ โดยการขายบน Amazon Appstore จะแจกเกมฟรีในวันแรกด้วย ทั้งหมดนี้ยังเป็นการทำตลาดในสหรัฐ และ PopCap ไม่ได้ระบุว่าจะขยายมายังประเทศอื่นๆ เมื่อไรกันแน่

ข่าวนี้ต่อจาก มาตามนัด!! Apple ฟ้อง Amazon ละเมิดชื่อ "App Store" แล้ว ทาง Amazon ได้ยื่นเอกสารต่อศาลในคดีที่แอปเปิลฟ้องละเมิดเครื่องหมายการค้าแล้ว โดย Amazon เลือกสู้คดีในประเด็นว่า "app store" เป็นคำสามัญทั่วไป (generic) ไม่ใช่ชื่อเฉพาะของแอปเปิลแต่อย่างใด (ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับคดีของไมโครซอฟท์)

ที่เจ็บแสบคือหลักฐานสนับสนุนของ Amazon ก็คือคำพูดของสตีฟ จ็อบส์ ในการแถลงผลประกอบการของแอปเปิลครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นจ็อบส์ได้วิจารณ์ Android ว่ามีปัญหา fragmentation เพราะมี "app store" หลายอันให้เลือกใช้

ต้นฉบับคำพูดของจ็อบส์มีดังนี้

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจที่สุดของ Amazon Appstore คือ "Test Drive" หรือการทดลองใช้แอพก่อนซื้อ การทำงานของมันคือรันแอพผ่านเว็บเบราว์เซอร์ที่จำลองตัวเองเป็นมือถือ Android

แม้จะถูกแอปเปิลฟ้องเรื่องชื่อเรียก แต่ Amazon Appstore for Android ก็เปิดตัวตามกำหนด

ในเบื้องต้น Amazon Appstore จะมีแอพให้เลือกประมาณ 3,800 ตัว โดยเน้นที่เกมจากค่ายดังๆ อย่าง Gameloft, Handmark, Glu Mobile จุดที่น่าสนใจอีกประการคือ Amazon Appstore มีฟีเจอร์ "Test Drive" ให้ทดลองเล่นแอพผ่านเว็บเบราว์เซอร์ของพีซีก่อนตัดสินใจซื้อ (เล่นได้เป็น 30 นาที)

Amazon Appstore หวังจะชดเชยจุดอ่อนของ Android Market ในเรื่องการแนะนำแอพและโปรโมชันส่งเสริมการขายต่างๆ นอกจากระบบแนะนำที่ดูจากประวัติการซื้อแอพ (เหมือนกับสินค้าอื่นๆ ของ Amazon) ยังมีเรื่องส่วนลดหรือการแจกแอพฟรีที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกวัน

ไม่ปล่อยให้รอนาน เพราะหลังจากที่ Apple ออกมาแย้ง Microsoft เรื่องคำว่า App Store สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องหมายการค้าได้ วันนี้ Apple ก็ออกมาแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านี้แล้ว โดยคู่กรณีรายแรกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น Amazon.com ที่เปิดบริการ Amazon's Android AppStore นั่นเอง

โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ฝ่ายกฏหมายของ Apple ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้ Amazon.com ยกเลิกการใช้คำว่า "AppStore" ในชื่อบริการ Android AppStore ของ Amazon โดยให้เหตุผลต่อศาลว่า คำว่า "App Store" นั้นถูกใช้บนอุปกรณ์ของ Apple เช่น iPhone/iPad/iPod มานานแล้ว และการนำเครื่องหมายการค้านี้ไปใช้ในบริการที่คล้ายคลึงกันของ Amazon.com จะทำให้ผู้ใช้สับสน

Android Market เจอกับคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเสียแล้ว เพราะร้านขายแอพคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง Amazon Appstore จะได้ภาคต่อของเกมดังอย่าง Angry Birds Rio มาเป็นแอพเปิดตัว ที่สำคัญคือ Angry Birds Rio จะมีขายเฉพาะบน Amazon Appstore เท่านั้น

นอกจาก Angry Birds Rio ภาคล่าสุดแล้ว Amazon Appstore ยังจะขาย Angry Birds ภาคแรก และ Angry Birds Seasons แบบไม่มีโฆษณาอีกด้วย

Amazon เริ่มเผยรายละเอียดของ Android Appstore ของตัวเอง โดยบล็อกของ Amazon Appstore ระบุว่าจะโชว์แอพแนะนำบนหน้าเว็บของ Amazon ไม่ว่าจะเป็นหน้าแรก หน้าค้นหา หรือพื้นที่แนะนำผลิตภัณฑ์ (Customers Who Bought This Item Also Bought)

ประเด็นน่าสนใจคือลูกค้าของ Amazon สามารถซื้อแอพได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ Android ที่ใช้งานอยู่ก่อน นั่นคือถ้าลูกค้าสั่งซื้อแท็บเล็ตหรือมือถือของ Amazon ก็สามารถสั่งซื้อแอพรอไว้ได้เลย เพราะข้อมูลการซื้อแอพจะผูกอยู่กับบัญชี Amazon แทนตัวเครื่อง