หลังจากกรณีที่กูเกิลใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายภาษีของยุโรปในการเลี่ยงการจ่ายภาษีอย่างถูกกฎหมาย ล่าสุดรัฐบาลฝรั่งเศสกำลังหาวิธีใหม่ในการเก็บภาษี "การเก็บข้อมูลของผู้ใช้มาทำเป็นรายได้" แยกต่างหากแล้ว ซึ่งในขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาโมเดลภาษีใหม่นี้

Facebook เพิ่งเปิดตัวระบบค้นหาแบบใหม่ Graph Search (ข่าวเก่า) แต่หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยเรื่องความเป็นส่วนตัว ดังนั้น Facebook จึงออกมาอธิบาย ดังนี้

Facebook ได้รวมระบบความเป็นส่วนตัวเข้าไปในบัญชีผู้ใช้ตั้งแต่เริ่มสร้างฟีเจอร์ Graph Search โดยจะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (หากใครไม่ขึ้นเตือน สามารถเข้าไปตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ ที่นี่)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Facebook เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Midnight Delivery ให้ผู้ใช้ทิ้งข้อความไว้เพื่อส่งไปอวยพรปีใหม่เพื่อนในยามค่ำคืนของวันสิ้นปี

แต่ไม่ทันไรก็มีคนพบช่องโหว่เสียแล้ว โดยช่องโหว่นี้ทำให้คนอื่นเข้าถึงหน้า Midnight Delivery ของคุณ รวมทั้งแก้ไขหรือลบข้อความที่ตั้งค่าไว้ เพียงแค่รู้ ID ของคุณ และนำไปใส่ในส่วนหลังของ URL นี้

http://www.facebookstories.com/midnightdelivery/confirmation?id=XXXXX

หลังจากช่องโหว่นี้ถูกเปิดเผย Facebook ก็รีบปิดปรับปรุงหน้า Midnight Delivery ทันที

อัพเดต 7:37 1/1/2013

ตอนนี้หน้า Midnight Delivery เข้าได้ตามปกติแล้ว แต่สำหรับคนไทยก็ไม่ทันแล้วล่ะครับ

Foursquare ได้ทำการส่งอีเมลหาผู้ใช้ถึงรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลในเดือนหน้านี้ โดยบริษัทกล่าวว่าจุดประสงค์ของการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ใช้ใช้ชื่อจริงนี้มีเพื่อลดความสับสนของชื่อและเอื้ออำนวยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเห็นรายละเอียดของผู้ใช้ที่เช็กอินในสถานที่ของตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม โดย Foursquare ได้มีการออก Privacy 101 ให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปศึกษาได้ด้วย

อนึ่ง ตอนนี้ Foursquare แสดงชื่อของผู้ใช้ในรูปของชื่อและและตามด้วยตัวแรกของนามสกุล เช่น Martin B. ยกเว้นในกรณีที่ค้นหาเพื่อนจะแสดงชื่อเต็มทั้งหมด แต่หลังจากวันที่ 28 มกราคมปีหน้าเป็นต้นไป ชื่อเต็ม (ทั้งชื่อและนามสกุล) จะถูกแสดงในทุกที่ของบริการ

Instagram ได้ปรับเงื่อนไขการใช้งานกลับไปเป็นเหมือนเก่าแล้ว (แบบที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2010) โดยเหตุผลที่เปลี่ยนก็เพราะว่ากระแสตอบรับหลังจากที่เปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทาง Instagram บอกว่าจะกลับไปทบทวนแผนการโฆษณาใหม่และจะกลับมาอธิบายให้ผู้ใช้งานเข้าใจว่ากระบวนการต่างๆ ของการโฆษณาเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งย้ำว่า Instagram ไม่เคยคิดจะนำรูปภาพของผู้ใช้งานไปขายเพราะว่ารูปภาพต่าง ๆ บน Instagram ก็ถือเป็นสมบัติของผู้ใช้งานครับ

ที่มา - บล็อก Instagram

จากกรณี Instagram ปรับเงื่อนไขการใช้งานใหม่ ส่งข้อมูลผู้ใช้ให้ Facebook, เตรียมรับแผนโฆษณา จนเกิดเสียงวิจารณ์อย่างหนักตามมา ล่าสุดทางบริษัทออกมาขอโทษผ่านบล็อกแล้ว

Kevin Systrom ผู้ก่อตั้ง Instagram บอกว่ารับทราบเสียงวิจารณ์ทั้งหมด และตอบคำถามในประเด็นต่างๆ ดังนี้

โฆษณา

ศูนย์พิทักษ์ข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศเยอรมนี ออกคำสั่งไปยัง Facebook เพื่อขอให้หยุดนโยบายการเผยชื่อจริงของผู้ใช้งาน โดยเบื้องต้นคำสั่งนี้มีผลเฉพาะแคว้น Schleswig-Holstein อันเป็นที่ตั้งของศูนย์ฯ เท่านั้น

ทางศูนย์ฯ ชี้ว่านโยบายดังกล่าวอาจขัดต่อกฎหมายของเยอรมันที่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปใช้นามแฝงในโลกออนไลน์ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญของสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงความเห็นอย่างเสรีบนอินเทอร์เน็ต

Instagram ประกาศปรับเนื้อหาในเงื่อนไขการใช้งาน (Terms of Service) และนโยบายด้านความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) เสียใหม่ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้การแชร์ข้อมูลระหว่าง Instagram กับ Facebook ทำได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ทั้งสองหน่วยงานแก้ปัญหาสแปมได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และปรับปรุงปัญหาของระบบได้ดีกว่าเดิม

Instagram ยืนยันว่าสิทธิความเป็นเจ้าของรูปภาพและสิทธิการเข้าถึงรูปภาพจะยังคงเดิม เงื่อนไขชุดใหม่นี้จะมีผลในวันที่ 16 มกราคม 2013 และมีผลเฉพาะรูปภาพที่โพสต์จากวันนั้นเป็นต้นไป (ภาพเก่าๆ ในปัจจุบันจะอยู่ใต้เงื่อนไขฉบับเดิม)

ที่มา - Instagram

Richard Stallman ประธานมูลนิธิซอฟต์แวร์เสรี ออกโรงมาอัด Ubuntu ในประเด็นเรื่องการดึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ จากฟีเจอร์เจ้าปัญหาใน Ubuntu 12.10 ที่แสดงรายการสินค้าจาก Amazon

ประเด็นของ Stallman คือซอฟต์แวร์เสรีหรือโอเพนซอร์ส มีจุดเด่นตรงที่เปิดเผยโค้ดทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรับรู้ได้ว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์หรือไม่ (และแก้ไขได้ถ้าพบปัญหา) ซึ่ง Ubuntu แหกธรรมเนียมนี้โดยใส่โค้ดที่ส่งข้อมูลคำค้นกลับไปยัง Canonical แล้วส่งไปยัง Amazon อีกต่อหนึ่ง

นักเรียนอเมริกาคนหนึ่งต่อต้านนโยบายการพกพาตราโรงเรียนที่ฝังชิป RFID ซึ่งใช้ในการระบุที่อยู่ของผู้เรียน จนทำให้ถูกไล่ออกในที่สุด

โรงเรียน John Jay High School ได้ริเริ่มโครงการนำร่องให้นักเรียนทุกคนรวมจำนวน 4,200 คน พกตราโรงเรียนซึ่งมีลักษณะเป็นสร้อยคอฝังชิป RFID ไว้กับตัว ทั้งนี้เพื่อให้ทางโรงเรียนสามารถตรวจสอบตำแหน่งของนักเรียนได้ผ่านการค้นหาและระบุตำแหน่งของชิปที่ติดอยู่ โดยให้เหตุผลเรื่องการดูแลระแวดระวังความปลอดภัยให้แก่นักเรียนในขณะอยู่ในสถานศึกษา

ช่วงหลังๆ บริการสำคัญที่มีข้อมูลส่วนตัวสูง เช่น เว็บเมล หรือบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น Gmail ที่เริ่มมีให้เลือกใช้ HTTPS ตลอดเวลาในตอนแรก และสุดท้ายก็เปิด HTTPS เป็นค่ามาตรฐาน ตอนนี้บริการอื่นๆ เช่น Hotmail, Twitter, Google+, และ Facebook ล้วนเป็นแนวทางเดียวกันคือมี HTTPS ให้เลือกใช้ทั้งหมด แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา Facebook ก็ประกาศเปลี่ยนค่าเริ่มต้นของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ให้ไปใช้งาน HTTPS เป็นค่าเริ่มต้น และต้องยกเลิกด้วยตัวเองหากไม่ต้องการ

ผู้ใช้กลุ่มแรกที่พบความเปลี่ยนแปลงนี้คือผู้ใช้ในสหรัฐฯ ส่วนผู้ใช้ที่เหลือทั่วโลกก็จะเปลี่ยนตามมา แต่ยังไม่กำหนดวันแน่ชัด

คณะกรรมการด้านข้อมูลข่าวสารของฝรั่งเศส ในฐานะตัวแทนของหน่วยงานกำกับดูแลข้อมูลข่าวสารของยุโรป 27 ประเทศ ระบุว่านโยบายด้านความเป็นส่วนตัวฉบับใหม่ของกูเกิล (ที่เริ่มใช้เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้) มีบางจุดที่ผิดกฎหมาย

ประเด็นที่คณะกรรมการฯ มองว่ามีปัญหาคือการรวบรวมประวัติการท่องเว็บของผู้ใช้เพื่อการแสดงโฆษณาให้แม่นยำกว่าเดิม อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้ ทางคณะกรรมการฯ จึงส่งประเด็นแก้ไข 12 ข้อให้กูเกิลแก้ไขนโยบายของตัวเอง โดยให้เวลา 4 เดือนปฏิบัติตามคำสั่ง ถ้ากูเกิลยังละเมิดอยู่ก็จะใช้มาตรการทางปกครองต่อไป

ด้านตัวแทนของกูเกิลให้สัมภาษณ์ว่าขอดูผลการสืบสวนของ EU อย่างละเอียดก่อน แต่ก็แสดงความมั่นใจว่านโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับปัจจุบันนั้นปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว

จากกรณี Ubuntu 12.10 จะพ่วง Amazon Shopping ติดมาด้วย ส่งผลให้ผู้ใช้ Ubuntu จำนวนมากไม่พอใจ และกังวลว่าข้อมูลการพิมพ์คำค้นจะถูกส่งไปยัง Amazon โดยไม่มีทางเลือกอื่น

ตัวแทนของ Canonical ออกมาให้ข้อมูลว่า คำค้นจะถูกส่งผ่าน HTTPS โดยไม่ระบุตัวตนของผู้ใช้ และข้อมูลจะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Canonical ก่อนเสมอ แล้วจึงค่อยส่งไปยัง Amazon อีกทีหนึ่ง

นอกจากนี้ Canonical กำลังพัฒนาตัวเลือกปิดการใช้งาน Dash ไม่ให้ส่งข้อมูลที่เราพิมพ์ขึ้นไปยังอินเทอร์เน็ตด้วย (ปิดหมดทุกกรณี ไม่ใช่แค่ Amazon)

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาสหภาพยุโรปได้เปิดตัวโครงการ [Clean IT](http://www.cleanitproject.eu/) โดยระบุว่าเป็นการลดความเสี่ยงจากการก่อการร้ายทางอินเทอร์เน็ต โดยจะสร้างตระหนักถึงการก่อการร้ายผ่านอินเทอร์เน็ต ให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาในการรายงานพฤติกรรมน่าสงสัย และสร้างกฎหมายให้ผู้ให้บริการมีความรับผิดชอบในการช่วยเหลือที่จะตรวจสอบพฤติกรรมน่าสงสัย ซึ่งรวมไปถึง "การใช้ระบบตรวจจับอัตโนมัติ"

ล่าสุดกลุ่ม [European Digital Rights](http://www.edri.org/) ที่เป็นการรวมตัวกันของ NGO ด้านสิทธิเสรีภาพทั่วยุโรปได้เปิดโปงเอกสารรายละเอียดโครงการ Clean IT แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้จะสร้างข้อตกลงให้ชาติสมาชิกออกกฎหมายที่เปิดให้

หลังจากมีรายงานว่าเฟซบุ๊กทำข้อความส่วนตัวรั่วออกมาบนหน้า Timeline เมื่อคืนนี้ และทางเฟซบุ๊กออกมาปฎิเสธ แต่ยังมีความตระหนกอยู่ และมีหลายคนออกมายืนยันว่ามีข้อความรั่วออกมาจริงๆ ตอนนี้ทางเฟซบุ๊กออกมายืนยันว่าได้ตรวจสอบทุกรายงานที่เข้าไปยังเฟซบุ๊กแล้ว และพบว่าทั้งหมดเป็นการโพสบนหน้าวอลล์ ไม่ใช่ข้อความส่วนตัวแต่อย่างใด

ปัญหานี้อาจจะเป็นประเด็นที่ Timeline แสดงข้อความเก่าๆ ได้ง่ายกว่าเดิม ทำให้ข้อความที่เคยพูดคุยกันไปมาบนหน้าวอลล์เมื่อหลายปีก่อนและผู้ใช้ลืมไปแล้ว กลับขึ้นมาแสดงบน Timeline ให้คนที่มีสิทธิ์เข้าไปดูกันได้สะดวกกว่าเดิมจากการปรับปรุงหน้าจอ

ข่าวข้อความส่วนตัวรั่วไหลกลายเป็นข้อความใน Timeline ปกติทำให้ทางเฟซบุ๊กต้องออกมาแก้ข่าวในทันที โดยทางเฟชบุ๊กระบุว่าวิศวกรได้เข้าไปตรวจสอบข้อความเหล่านั้นแล้ว และพบว่าเป็นข้อความที่เปิดเผยบนหน้าโปรไฟล์เดิม ซึ่งเทียบเท่ากับหน้า Timeline อยู่แล้ว และไม่มีการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี Colleen Talyor นักเขียนของ TechCrunch ระบุว่าเธอสามารถยืนยันได้ว่าข้อความส่วนตัวของเธอที่พูดคุยกับเพื่อนจริงๆ และเธอเห็นข้อความส่วนตัวของเพื่อนๆ ของเธอบนหน้า Timeline ของเพื่อนๆ ด้วยเช่นกัน และคนเหล่านั้นยืนยันว่าข้อความที่แสดงเป็นข้อความส่วนตัว ไม่ใช่การโพสลงบนหน้าโปรไฟล์

มีรายงานจากผู้ใช้ในประเทศฝรั่งเศสว่าเฟซบุ๊กนำข้อความส่วนตัว (private message) ที่พูดคุยระหว่างกันมาแสดงเป็นการโพสบนหน้าวอลล์ของผู้ใช้ โดยผู้ที่ประสบปัญหานี้จะมีข้อความที่เพื่อนตอบกลับมาในแชตและการส่งข้อความส่วนตัว กลายเป็นการโพสบนหน้า Timeline และใช้ค่าความเป็นส่วนตัวแบบเดียวกับการที่เพื่อนคนอื่นๆ มาโพสบนหน้า Timeline

เหตุการณ์แบบนี้ทำให้ข้อความที่ควรจะคุยกันในกลุ่มหรือคุยกันสองต่อสอง กลายเป็นข้อความที่เห็นไปยังเพื่อนทุกคน หรือเห็นสู่สาธารณะในกรณีที่เปิดให้คนอื่นสามารถโพสบน Timeline แบบสาธารณะได้

Mozilla ประกาศฟีเจอร์ใหม่ของ Firefox ชื่อ Firefox Health Report (FHR) ที่จะขอเก็บข้อมูลการใช้งาน Firefox จากผู้ใช้เพื่อนำไปพัฒนา Firefox ให้ดียิ่งๆ ขึ้น

ข้อมูลที่ Mozilla อยากได้มี 4 หมวดกว้างๆ ได้แก่

• configuration data เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ ระบบปฏิบัติการ เวอร์ชันของ Firefox
• customization data เช่น ติดตั้งส่วนเสริมอะไรไปบ้าง
• performance data เช่น ระยะเวลาที่ใช้เรนเดอร์เว็บเพจ
• wear and tear data เช่น ระยะเวลาการท่องเน็ตของเรา จำนวนการแครชในอดีต

Mozilla สัญญาว่าจะไม่เก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้ได้ เช่น คำค้น พิกัดที่อยู่ และฟีเจอร์นี้สามารถปิดไม่ใช้งาน-ลบข้อมูลเก่าที่เคยส่งให้ Mozilla ได้ตลอดเวลา

Chrome เป็นเบราว์เซอร์ตัวล่าสุดที่กำลังจะเริ่มใช้ฟีเจอร์ Do Not Track (DNT) หลังจากที่เบราว์เซอร์ค่ายอื่นๆ ก็เริ่มมีการใช้ฟีเจอร์นี้แล้วเช่นกัน

Do Not Track เป็นฟีเจอร์ที่ถูกสร้างเพื่อช่วยในการบล็อคบางเว็บไซต์ที่มีลักษณะสะกดรอย (tracking) เช่นตัวเก็บสถิติต่างๆ ซึ่งมีการกำหนดมาตรฐานให้สิ่งเหล่านี้เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน โดยลักษณะของฟีเจอร์นี้คล้ายกับ AdBlock Plus ที่สามารถสร้างรายการเพื่อบล็อคเพิ่มเติมได้

บริษัทความปลอดภัย McAfee (ปัจจุบันเป็นบริษัทลูกของอินเทล) ออกซอฟต์แวร์ McAfee Mobile Security เวอร์ชันใหม่บน Android โดยเพิ่มฟีเจอร์สำคัญคือการป้องกันข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ จากกรณีที่แอพต่างๆ แอบส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้สร้าง

เทคโนโลยีของ McAfee เรียกว่า App Alert จะคอยเช็ค URL ที่แอพติดต่อด้วยกับฐานข้อมูลของ McAfee เพื่อดูว่าเข้าข่ายการแอบส่งข้อมูลกลับโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่ ซึ่ง McAfee โฆษณาว่าช่วยให้ผู้ใช้รับทราบว่าข้อมูลของตัวเองยังอยู่ดีหรือเปล่า และระบบแจ้งเตือนของ McAfee นั้นเข้าใจง่ายกว่าการอ่านคำขอสิทธิอนุญาตของ Android ที่มีมากกว่า 120 แบบ (แถมคนส่วนใหญ่ก็ไม่อ่านกัน)

Facebook แจ้งกับ Ars Technica ว่า ระบบจัดเก็บรูปภาพตัวใหม่ใช้การได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทำให้ภาพที่ผู้ใช้สั่งลบออกจากระบบนั้น "ถูกลบ" ออกจากระบบอย่างถาวรเสียที หลังจากที่ระบบเดิมไม่สามารถลบภาพออกจากระบบได้อย่างถาวร

โฆษกของ Facebook เปิดเผยว่า ผู้ใช้จะไม่สามารถเข้าถึงภาพที่ถูกสั่งลบได้อีกต่อไปในทันที ส่วนไฟล์ภาพจริงๆ บนระบบนั้นอาจถูกลบออกไปอย่างรวดเร็วหรือหากถูกแคชไว้ก็จะถูกลบอย่างถาวรภายใน 30 วัน (แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าปัจจัยอะไรบ้างทำให้ภาพถูกลบออกไปจากระบบอย่างรวดเร็ว) ทาง Ars Technica ก็ได้ทดสอบลบภาพบน Facebook แล้วพบว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2 วันกว่าภาพที่ถูกลบจะไม่สามารถเข้าถึงได้โดยใช้ลิงก์ตรง (direct link)

คนที่ใช้อินเทอร์เน็ตมานานแล้วคงจะรู้ว่าการอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยได้ ต้องไม่โพสต์รูปบัตรเดบิตการ์ดของตัวเอง หรือตำแหน่งบ้านของตัวเอง แต่ล่าสุดเว็บ WeKnowYourHouse ได้เอาตำแหน่งบ้านของผู้ใช้งานทวิตเตอร์มาเปิดเผยแล้ว

WeKnowYourHouse ใช้วิธีแสกนข้อมูลทวีต ที่มีการเอ่ยถึงคำว่า "Home" และผูกข้อมูลดังกล่าวเข้ากับตำแหน่งละติจูดและลองติจูด และนำข้อมูลเหล่านั้นไปแปะบน Google Maps

ข่าวภาคต่อของ กูเกิลอาจโดน FTC ปรับ โทษฐานละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ Safari ครับ สรุปคือกูเกิลยอมรับผิด จ่ายค่าปรับ 22.5 ล้านดอลลาร์ให้กับคณะกรรมการด้านการค้าของสหรัฐ (FTC) เป็นที่เรียบร้อย

ความสำคัญของข่าวนี้คือตัวเลข 22.5 ล้านดอลลาร์ถือเป็นค่าปรับสูงสุดเท่าที่ FTC เคยสั่งปรับมา ซึ่ง Jon Leibowitz ประธานของ FTC ก็ให้สัมภาษณ์ว่านี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนต่ออุตสาหกรรมออนไลน์ว่า ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่แค่ไหนก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบของ FTC เรื่องการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ถ้ายอมปฏิบัติตามแต่โดยดีจะได้ไม่ต้องโดนปรับเยอะขนาดนี้และอาจต้องโดนปรับบ่อยๆ ถ้าผิดซ้ำอีก

หลังจากไมโครซอฟท์ประกาศว่า Internet Explorer 10 บน Windows 8 Release Preview เป็นต้นไป จะเปิดใช้ Do Not Track (DNT) เป็นค่าตั้งต้นแล้ว ก็มีทั้งคนชมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบริษัททำโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต ล่าสุด Brendon Lynch ซึ่งเป็น Chief Privacy Officer ของไมโครซอฟท์ ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากบริษัทปล่อย Windows 8 Release Preview แล้วก็ได้ทำวิจัยกับผู้บริโภค และพบว่าผู้บริโภคสนับสนุนแนวทาง consumer-privacy-first ที่บริษัทเส

คณะกรรมการปกป้องข้อมูลของนอร์เวย์ เข้าสอบสวน Facebook ในประเด็นว่าฟีเจอร์การแยกแยะใบหน้าของบุคคลอาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้

Bjorn Erik Thon หนึ่งในคณะกรรมการฯ ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าฟีเจอร์แยกแยะใบหน้าทำให้ Facebook มีภาพใบหน้าของคนหลายร้อยล้านคน และบริษัทไม่เคยบอกว่ากระบวนการทำงานของมันที่แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่ ดังนั้นภาพในฐานข้อมูลของ Facebook จึงมีโอกาสสร้างอันตราย และทางการต้องการคำชี้แจงจาก Facebook ในเรื่องนี้

นอกจากนอร์เวย์แล้ว Facebook ยังโดนสอบสวนในประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวจากหลายประเทศในสหภาพยุโรป (นอร์เวย์ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรป) เช่น ไอร์แลนด์ และเยอรมนี