ประกาศสำคัญอันหนึ่งในงาน Mobile World Congress 2010 คือผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ของโลก นับได้ทั้งสิ้น 24 เจ้า เช่น Orange, AT&T, China Unicom, China Mobile, Verizon, Vodafone, NTT DoCoMo, Softbank, Telefónica รวมถึง Telenor (เจ้าของ DTAC) และ SingTel (เจ้าของ AIS) ประกาศสร้างระบบการจำหน่ายแอพพลิเคชันบนมือถือที่ใช้งานได้ทั่วโลก

พันธมิตรทั้ง 24 รายรวมตัวกันใช้ชื่อว่า Wholesale Applications Community (ชุมชนแอพพลิเคชันขายส่ง?) มีลูกค้ารวมกัน 3 พันล้านเลขหมาย นอกจากนี้ยังผนึกกำลังกับผู้ผลิตมือถือ 3 เจ้าใหญ่คือ Samsung, LG, Sony Ericsson และสมาคม GSMA อีกด้วย

เมื่อปี 2008 มีข่าวว่า Motorola แยกบริษัท หวังกู้วิกฤตกิจการมือถือ แต่เรื่องก็เงียบไป และ Motorola ก็ยังพยุงตัวพอไปได้ แม้จะมีส่วนแบ่งในตลาดโลกลดลงเรื่อยๆ ก็ตาม

แต่ล่าสุดแผนการแยกบริษัทกลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง เพราะ Motorola ออกมาประกาศว่าน่าจะแยกสำเร็จในไตรมาสแรกของปี 2011 บริษัทแรกจะขายตัวเครื่องมือถือ และอุปกรณ์ที่ใช้ในบ้าน ส่วนบริษัทที่สองเน้นลูกค้าองค์กรและระบบเครือข่ายโดยเฉพาะ ทั้งสองบริษัทจะขายหุ้นแยกจากกันในตลาดหลักทรัพย์

ซีอีโอคู่ของ Motorola จะแยกกันไปดูแลคนละบริษัท โดย Sanjay Jha ที่ออกข่าวมือถือของ Motorola บ่อยๆ จะดูแลบริษัทแรก และ Greg Brown ซีอีโออีกคนรับบริษัทที่สองไป

DTAC ได้ยื่นเรื่องไปยัง กสท. เพื่อขอเปิดบริการ 3G (HSPA) บนคลื่นความถี่เดิมทั่วกรุงเทพมหานครแบบไม่คิดค่าบริการ หลังจากได้ทดลองเปิดบริการไปในบางพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมา ผลตอบแทนที่คาดหวังไม่ใช่รายได้ แต่เป็นการสร้างชุมชนการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และรักษาฐานลูกค้าไม่ให้ไหลออกไปใช้ 3G ของระบบอื่น

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DTAC พูดถึงภาพรวมอุตสาหกรรมโทรคมนาคมปีนี้ที่ใบอนุญาตการให้บริการ 3G ยังไร้ความชัดเจนว่า

แข่งขันกันที่ความเร็วของบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย จะเป็นปีที่ผู้ใช้จะมีโอกาสได้ใช้บริการฟรีเหมือนรถเมล์ฟรี

ทางด้าน กสท. เจ้าของสัมปทาน บอกว่าอนุญาตให้ขยายพื้นที่ให้บริการเท่าใดก็ได้ ถ้าหากเป็นการให้บริการฟรี

วันนี้ผมได้รับเชิญจาก AIS ให้ไปร่วมงาน AIS Vision 2010 มาครับ มีประกาศผลิตภัณฑ์-บริการใหม่ๆ หลายอย่าง (ไว้เดี๋ยวจะทยอยเขียนถึงนะ) แต่ที่น่าสนใจที่สุด คงหนีไม่พ้นการประกาศความร่วมมือกับ TOT 3G ว่า ลูกค้าของ AIS จะสามารถใช้เครือข่าย 3G ของ TOT ในกรุงเทพได้

รายละเอียดเท่าที่รวบรวมได้จากการสอบถามในช่วงคุยกับสื่อ มีดังนี้

การใช้งาน

ทาง FCC (เป็นกทช. ของสหรัฐฯ) ได้มีจดหมายถามความเห็นไปยังบริษัท AT&T ผู้ให้บริการโทรศัพท์รายใหญ่ ถึงเรื่องการย้ายเครือข่ายไปยังเครือข่ายไอพี

ทาง AT&T แสดงท่าทีต่อประเด็นนี้ชัดเจนว่าการยกเลิกโทรศัพท์อนาล็อกนั้นมีคำถามเพียง "เมื่อใหร่" เท่านั้น โดยปัจจุบันทั้งเครือข่ายไอพีและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะมาทำหน้าที่แทนโทรศัพท์ปรกติ

กรณีเดียวที่โทรศัพท์อนาล็อกยังคงความจำเป็น คือเมื่อเกิดภัยพิบัติและพลังงานขาดช่วง โทรศัพท์อนาล็อกมักจะสามารถทำงานได้โดยใช้พลังงานสำรองไม่มากนัก ขณะที่เครือข่ายไอพีมักล่มไปก่อน ส่วนโทรศัพท์มือถือนั้นต้องการพลังงานสูงและมีระยะเวลาสำรองไฟจำกัด

ผมยกหูโทรศัพท์มีสายสองครั้งในเดือนที่ผ่านมานะ ไม่รู้ใครใช้กันบ่อยแค่ไหน?

อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ถ้าอยู่ในอเมริกา และซื้อรถยนต์ยี่ห้อ Chevrolet รุ่นใดรุ่นหนึ่งใน 7 รุ่น เราสามารถเลือกเพิ่มออปชันเสริมเป็น Wi-Fi access point สำหรับเล่นเน็ตในรถได้

บริการที่ว่าเป็นของบริษัท AutoNet โดยจะติด access point ไว้ในรถ และเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 3G พร้อมเทคนิคในการเชื่อมสัญญาณไม่ให้หลุดในขณะที่รถกำลังวิ่ง ส่วนรัศมีการทำงานของ Wi-Fi นั้นครอบคลุม 150 เมตรรอบตัวรถ

สนนราคาตัวเครื่อง 199 ดอลลาร์พร้อมสัญญา 2 ปี ในข่าวไม่บอกว่าจ่ายค่ารายเดือนเท่าไร ก่อนหน้านี้ Volkswagen ก็เคยเพิ่มตัวเลือกลักษณะนี้มาแล้วเช่นกัน

ที่มา - Hot Hardware

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Ralph de la Vega หัวหน้าส่วนงานบริการลูกค้าบุคคลทั่วไป (Head of Consumer Services) ของ AT&T ได้ออกมาประกาศว่าในอนาคตทาง AT&T อาจมีการปรับเปลี่ยนการเก็บค่าบริการข้อมูลสำหรับผู้ใช้ที่ใช้งานมากเป็นพิเศษเพิ่มเติม จากที่เดิมโปรโมชันสำหรับสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง iPhone จะให้ใช้ข้อมูลได้ไม่จำกัด

ทาง AT&T ได้ระบุว่า ปัจจุบันมีลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนอยู่ 3% โดยในกลุ่มนี้กลับใช้แบนด์วิธสูงถึง 40% ของทั้งหมด โดยแบนด์วิธส่วนมากเกิดจากการสตรีมข้อมูลภาพและเสียงจากโปรแกรมบน iPhone

โดยเรื่องมันมาจากกระทู้นี้ ทำให้ผมเริ่มค้นคว้าดูเล็กน้อยว่าผู้ให้บริการ 3G ในลักษณะ Virtual Operator หรือ MVNO ในประเทศไทยที่จะให้บริการบนเครือข่ายของ TOT ที่จะเปิดตัวในวันที่ 3 ธันวาคมนี้มีใครบ้าง แล้วได้ข้อมูลมาตามนี้ครับ

แคมเปญโฆษณาของ Verizon เริ่มจากโฆษณา iDon't ตีจุดอ่อนของ iPhone ที่มีข้อจำกัดมากมาย จากนั้นเป็นชุด Stealth ไม่ได้กัดใครแต่เปิดตัวมือถือ Droid

ล่าสุดใกล้คริสต์มาสซึ่งเป็นฤดูจับจ่ายของฝรั่ง Verizon ซึ่งเป็นโอเปอเรเตอร์อันดับหนึ่งของสหรัฐ ได้โจมตีคู่แข่งอันดับสอง AT&T เข้าที่จุดอ่อนอย่างจัง นั่นคือเครือข่าย 3G ของ AT&T ที่โดนเสียงบ่นมาโดยตลอด Verizon ชูว่าเครือข่ายของตัวเองกว้างกว่า AT&T ถึง 5 เท่า

ความล่าช้าในการออกใบอนุญาต 3G ของกทช.(อ่านข่าวเพิ่มเติมได้จากกทช. เลื่อนประมูล 3G เป็นปีหน้า โดยคุณ fatro) อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ภาครัฐหลายพันล้านดอลลาร์

โดยนายเซบาสเตียน เอ็ม. คาเบโล ผู้จัดการด้านกฎเกณฑ์ ฝ่ายนโยบายสาธารณะของสมาคมผู้ประกอบการจีเอสเอ็ม (จีเอสเอ็มเอ) กล่าวว่าหากลงทุนทุก 1 พันล้านดอลลาร์ในภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคม 3G ในแต่ละปีจะทำให้จีดีพีของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 2.3 พันล้านดอลลาร์รวมทั้งการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นตำแหน่ง

จากประเด็นข้อกฎหมายอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และการขยายกรอบเอกชนเพื่อยื่นเอกสาร ส่งผลให้การประมูล 3G เลื่อนไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2553

นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช) กล่าวว่าคณะกรรมการของกทช. จะหารือและทำหนังสือยื่นสอบถามประเด็นข้อกฎหมายไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชี้กฎหมายแทนการถามกฤษฎีกา และการขยายกรอบระยะเวลาของการส่งเอกสารเข้าร่วมประมูล 3G ของเอกชนที่อาจขยายเป็น 45 หรือ 60 วัน จะส่งผลให้การเปิดประมูลต้องเลื่อนออกไปปีหน้า จากเดิมที่กำหนดไว้ปลายปี 2552

ไป 4G เหมือนท่านมาร์ค บอกเลยครับ ผมรอได้

หลังจากนโยบาย network neutrality ของ FCC เป็นประเด็นร้อนให้ถกกันมาหลายยก ในสัปดาห์ที่แล้ว FCC ภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเดโมแครตก็ประกาศกฎ network neutrality ตามที่เคยให้ข่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้

ต้องย้อนความก่อนว่า ในปี 2005 FCC เคยออกหลักการ 4 ข้อที่ช่วยการันตีว่าอินเทอร์เน็ตแบบบรอดแบนด์จะเป็นระบบเปิดที่คนทั่วไปสามารถเข้าใช้งานได้ หลักการ 4 ข้อนี้เรียกว่า Broadband Policy Statement หรือ Internet Policy Statement (PDF ต้นฉบับ) ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

Network neutrality กำลังเป็นประเด็นร้อนในสหรัฐ เพราะบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตซึ่งเสียประโยชน์จากนโยบาย network neutrality ต่างออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยที่ FCC จะออกกฎนี้

ต่อเนื่องจากข่าว AT&T โต้ Google เกี่ยวกับ Network Neutrality ซึ่ง AT&T ร้องเรียนกับ FCC ว่าโปรแกรม Google Voice ของกูเกิลปิดกั้นไม่ให้โทรออกไปยังพื้นที่ห่างไกล การจุดประเด็นของ AT&T รอบนี้มีผลให้ ส.ส. สหรัฐจำนวนหนึ่งออกมากดดัน FCC ด้วย และสุดท้าย FCC ได้ออกจดหมายขอข้อมูลเพิ่มเติมจากกูเกิล ให้อธิบายการทำงานของ Google Voice (ลักษณะเดียวกับที่ทวงถามแอปเปิลกรณี App Store)

ปฏิกิริยาของกูเกิลก็ออกมารวดเร็ว โดยกูเกิลยังไม่ตอบ FCC อย่างเป็นทางการ แต่ออกมาโต้ AT&T ผ่านบล็อกของบริษัท โดยอธิบายว่า Google Voice ไม่ให้โทรออกไปยังเบอร์ในพื้นที่ห่างไกลเพราะ

มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ มีไอเดียว่าน่าจะลากสายไฟเบอร์ออปติกไปยัง "สถาบันหลักของชุมชน" ทั่วสหรัฐ ได้แก่ โรงเรียน วิทยาลัยชุมชน โรงพยาบาล ห้องสมุด ฯลฯ ประมาณ 123,000 แห่ง และประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้นว่าน่าจะอยู่ราวๆ 5,000-10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท)

ทางมูลนิธิได้ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนี้ และทำรายงานเสนอไปยัง FCC (กทช. ของสหรัฐ) ซึ่งทาง FCC ก็กำลังอยู่ระหว่างการวางแผนโครงการเมกะโปรเจคต์ National Broadband Plan ที่จะวางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วสหรัฐ โดยเปิดรับไอเดียจากภาคีทุกภาคส่วนของสหรัฐ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 FCC จะเลือกไอเดียจำนวนหนึ่งและประกาศเป็นแผนบรอดแบนด์แห่งชาติ ถ้าไอเดียของมูลนิธิเกตส์ผ่านก็คงได้เห็นกันอีกไม่ช้า

ก่อนหน้านี้ที่แอปเปิลได้ปฏิเสธ (หรือแค่ยังไม่ตอบรับตามคำกล่าวอ้างของแอปเปิล) โปรแกรม Google Voice เข้าไปยัง App Store และทาง FCC ได้เข้ามาตรวจสอบ ผลสรุปค่อนข้างชัดเจนว่า AT&T ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาตรงๆ แต่มีผ่านสัญญากว้างๆ กับแอปเปิล ในขณะที่แอปเปิลระบุว่ายังพิจารณาโปรแกรม Google Voice อยู่ ทางกูเกิลอ้างว่ามีคนจากแอปเปิลแจ้งมาว่าปฏิเสธเนื่องจากมีฟีเจอร์ที่ทับซ้อนกับ iPhone

หลังจากมีข่าวไปว่ากระทรวงไอซีทีไม่พอใจที่ กทช. เขียนเงื่อนไขการประมูลความถี่ 3G จำกัดไม่ให้ทีโอทีและ กสท (ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่กระทรวงการคลังถือหุ้น 100% ทั้งคู่ แต่อยู่ใต้การกำกับดูแลของไอซีที) เข้าร่วมประมูล และส่งผลให้ ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เข้าร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (5 ต.ค.) เพื่อให้เลื่อนการประมูล 3G ออกไป

คำตอบของนายกฯ คือขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ กทช. และการประมูล 3G ไม่ควรล่าช้าไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะมีผลต่อเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ถ้าช้าอีกควรเลิกใช้ 3G ไปเลย และมองไปถึงเทคโนโลยีที่ใหม่กว่านั้นแทน

บ.เทลคอม ยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารในแอฟริกาใต้ ได้ทำการทดลองส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเปรียบเทียบกับการส่งผ่านนกพิราบสื่อสาร โดยกำหนดให้มีระยะทาง 80 กม.เท่ากัน ผลคือนกพิราบส่งข้อมูลทั้งหมดเร็วกว่าเป็นชั่วโมง

การทดสอบครั้งนี้ทำโดยการผูกแผ่นการ์ดข้อมูลไว้กับข้อเท้านกพิราบสื่อสารซึ่งมีอายุ 11 เดือน ทำเวลาได้ 1 ชั่วโมง 8 นาที ขณะที่การส่งผ่านทางอินเทอร์เน็ต ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 6 นาที 57 วินาที ในระยะทาง 80 กม.เท่ากัน

ข่าวไม่ได้ระบุว่าข้อมูลที่ส่งมีขนาดเท่าไร ถ้าส่งซัก 8GB ก็คงไม่ต่างกับบ้านเราเท่าไหร่

ที่มา - ไทยรัฐ

NTT DoCoMo ยักษ์ใหญ่ด้านมือถือของประเทศญี่ปุ่น เจ้าของมือถือแพลตฟอร์ม i-mode และ FOMA (3G รายแรกของโลก ตั้งแต่ปี 2001) อาจจะรุกเข้าไปในตลาดมือถือของสหรัฐอเมริกาในปี 2010

แหล่งข่าวของเว็บไซต์ Japan Today บอกว่าถ้า NTT DoCoMo ไปจริง จะเข้าไปในรูป virtual network operator คือไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง แต่ใช้วิธีเช่าจากโอเปอเรเตอร์รายอื่น ซึ่งน่าจะเป็น AT&T หรือไม่ก็ T-Mobile ซึ่ง NTT DoCoMo มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่

เหตุผลที่ NTT DoCoMo สนใจตลาดสหรัฐ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นเพราะแวดวงมือถือสหรัฐอยู่ในช่วงขาขึ้นของสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นจุดแข็งของ NTT DoCoMo เช่นกัน

พักจากเรื่องของ 3G บ้านเรามาดูที่ญี่ปุ่นกันบ้าง เพราะว่าไม่นานมานี้ทางค่ายบริการมือถือที่ญี่ปุ่นอย่าง DoCoMo และ KDDI ที่เปิดให้ใช้บริการใช้งานการเชื่อมต่อแบบ 3G กำลังทำให้รูปและหนังอนาจารกระจายตัวมากขึ้นอีก

โดยหนุ่มชาวญี่ปุ่นชื่อทาเคชิ ได้เปิดเผยว่าตัวเขานั้นสมัครใช้บริการ 3G แบบไม่จำกัดซึ่งอนุญาตให้ดาวน์โหลดวิดิโอผู้ใหญ่ด้วยมือถือ ที่มีค่ารายเดือนอยู่ที่ ¥6,300 (ประมาณ 2,200 บาท) อีกทั้งยังกล่าวว่า การดาวน์โหลดคอนเทนต์จำพวกนี้ผ่านมือถือสะดวกกว่าการใช้คอมฯที่บ้านเป็นไหน ๆ

จากผลในครั้งนี้ส่งผลให้ธุรกิจการดาวน์โหลดคอนเทนต์อนาจารออนไลน์มีการขยายตัวถึง 1,000 คนต่อวัน

หลังจากที่รอกันมานานแสนนาน ทาง กทช.​ ได้ออกมาบอกว่าภายในสามเดือนหลังจากนี้ ผู้ใช้สามารถที่จะเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยเก็บหมายเลขเดิมที่ใช้อยู่ได้แล้ว

แต่ AIS ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของประเทศกลับบอกว่าระยะเวลาสามเดือนนั้นเป็นไปไม่ได้ทางปฏิบัติ เพราะว่าผู้ให้บริการยังจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับระบบการโอนเลขหมาย รวมไปถึงการติดตั้งและทดสอบซอฟต์แวร์ต่าง ๆ และปรับปรุงแก้ไขข้อตกลงการให้บริการลูกค้าอีกด้วย

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทาง กทช.​เองก็ได้บอกว่าหลังจากเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป หากผู้ให้บริการไม่ยอมโอนเลขหมายให้ตามที่ผู้บริโภคต้องการอาจจะต้องได้รับโทษ

หลังจากมีข่าวว่า กทช. จะเลื่อนการประมูล 3G ไปเป็นปี 2553 ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ล่าสุดนายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ หนึ่งในกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า กทช. จะพยายามเปิดประมูล 3G ให้ได้ภายในไตรมาสที่สามของปี 2552 นี้

กทช. จะจ้างบริษัทเนร่าจากสหรัฐอเมริกา มาเป็นที่ปรึกษาเพื่อออกแบบการประมูลความถี่ 3G โดยมีระยะเวลาวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่างๆ 1 เดือน และเมื่อได้รายงานจากบริษัทเนร่าแล้ว กทช. จะสรุปผลได้ใน 1 สัปดาห์ ช่วงที่แบบประมูลเสร็จจะเป็นเดือนสิงหาคม หลังจากนั้น กทช. จะประกาศโครงการประมูลบนเว็บไซต์เป็นเวลา 1 เดือน และเริ่มประมูลจริงในช่วงเดือนพฤศจิกายน

เลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนเราแทบจะไม่ต้องคิดแล้วว่าจะได้ใช้ 3G บนคลื่นความถี่ 2100MHz แล้ว ล่าสุด กทช. ก็ได้ประกาศว่าจะมีการประมูลใบอนุญาต (License) สำหรับเครือข่าย 3G แล้วในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งจะบังเอิญตรงกับช่วงเลือกสมาชิกบอร์ดใหม่อีกด้วย

ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่การเลื่อนมาเป็นเดือนมกราคมนั้นเป็นการเลื่อนจากปลายปีนี้เท่านั้น โดยการเลื่อนการประมูลเพียงไม่กี่เดือนในครั้งนี้ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต่าง ๆ เชื่อว่าจะไม่กระทบกับการทำธุรกิจเสียเท่าไหร่ โดยได้คาดว่า 3G น่าจะเริ่มใช้ได้จริง ๆ ช่วงปลายปี 2010 อยู่แล้ว

ตัวแทนจากบริษัททรูกล่าวว่าการติดตั้งระบบทั้งหมดน่าจะใช้เวลาประมาณ​ 6-7 เดือน

ใกล้เข้ามาแล้วครับกับประกาศการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Number Portability: MNP) หนึ่งในแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมฉบับที่ 2 (พ.ศ.2551-2553) ล่าสุดทาง กทช. ได้เปิดให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างประกาศหลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้ว ภายหลังจากที่ข่าวเงียบหายไปนานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

ในร่างประกาศจะมีการเขียนถึงขั้นตอนปฏิบัติของผู้ให้บริการและของผู้ใช้บริการว่าถ้าหากต้องการเปลี่ยนผู้ให้บริการจะต้องทำอย่างไรบ้างและกรณีใดบ้างที่ไม่สามารถทำการโอนเลขหมายได้ ผมขอสรุปสั้นๆ ในประเด็นสำคัญไว้ดังนี้

นายอัลเบอร์โต (ไม่เปิดเผยนามสกุล) ชาวอเมริกันได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า ไม่นานนี้เขาได้ไปเที่ยวประเทศเม็กซิโก และได้ดาวน์โหลดหนัง Wall-E ผ่าน data card ให้หลานนั่งดูบนโน้ตบุ๊ก แต่พอกลับบ้านก็ถึงกับช็อก เมื่อเจอใบเรียกเก็บค่าบริการที่สูงถึง 62,000 เหรียญสหรัฐ