Federal Trade Commission
Microsoft ยินยอมจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 20 ล้านเหรียญ จากกรณีที่ FTC ของสหรัฐยื่นฟ้อง (ผ่านในนามของกระทรวงยุติธรรม) Microsoft ว่าเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน Xbox ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะและยังไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง ผิดกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ของเด็ก (COPPA) ของสหรัฐ
กฎหมาย COPPA ระบุว่าผู้ให้บริการออนไลน์หรือเว็บไซต์ที่ให้บริการกับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี จะต้องแจ้งเตือนผู้ปกครอง ว่าเก็บข้อมูลอะไรบ้าง และต้องให้ผู้ปกครองยินยอมก่อนจะเก็บและใช้ข้อมูลของเด็ก
Center for AI and Digital Policy (CAIDP) ศูนย์ศึกษานโยบาย AI ซึ่งเป็นเครือข่ายของนักวิชาการจากหลายประเทศ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการค้าของสหรัฐ (FTC) ว่าโมเดล GPT-4 ของ OpenAI มีความเอนเอียง (biased) หลอกลวง (deceptive) และมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
CAIDP อ้างข้อมูลของ OpenAI เองที่ยอมรับว่า GPT-4 มีข้อบกพร่องดังกล่าว และขอให้ FTC เข้ามาสอบสวน OpenAI, และสั่งให้หยุดการนำ GPT-4 ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ จนกว่าจะผ่านมาตรฐานการใช้งาน AI ของ FTC ซึ่งมีแนวทางอยู่ก่อนแล้ว
ที่มา - Ars Technica
คดีระหว่างไมโครซอฟท์กับโซนี่เรื่องดีล Activision Blizzard ฝั่งอเมริกามีพัฒนาการที่น่าสนใจคือ FTC หรือคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า เห็นชอบให้โซนี่ต้องเปิดเผยเอกสารจำนวนมาก ตามที่ไมโครซอฟท์ร้องขอ
เรื่องเริ่มมาจากไมโครซอฟท์ยื่นคำขอเมื่อ 17 มกราคม ให้โซนี่ต้องเปิดเผยเอกสารภายในต่างๆ ซึ่งรวมถึงสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับสตูดิโอเกมต่าง ๆ ต่อ FTC ด้วย เพื่อใช้ต่อสู้เรื่องสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟเกมที่เป็นแกนหลักของดีล Activision Blizzard
ไมโครซอฟท์ยื่นเอกสารต่อ FTC ในประเด็นการควบรวม Activision Blizzard มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ไมโครซอฟท์ยืนยันว่าโซนี่มีข้อตกลงกับค่ายเกมเรื่องเอ็กซ์คลูซีฟแบบถาวร (ไม่ใช่ time exclusive ที่มีระยะเวลาชัดเจน) ให้ลงแต่คอนโซล PlayStation เท่านั้น ห้ามลง Xbox
เกมที่ไมโครซอฟท์ระบุชื่อเป็นตัวอย่างได้แก่ Final Fantasy VII Remake (Square Enix), Bloodborne (From Software), Final Fantasy XVI (Square Enix), Silent Hill 2 Remastered (Bloober team) ซึ่งหลายเกม เช่น FF7 Remake ก็ถูกแฟนๆ คาดเดากันมาสักพักแล้วว่าน่าจะไม่มีโอกาสมาลง Xbox เลย แม้ได้ลงพีซีก็ตาม
Epic Games ประกาศยอมความกับคณะกรรมการด้านการค้าของสหรัฐ (Federal Trade Commission หรือ FTC) ใน 2 ประเด็นคือ เกม Fortnite ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก และการแอบเนียนหลอกให้ผู้ใช้กดซื้อสิ่งของในเกมโดยไม่รู้ตัว โดยจ่ายค่าปรับรวมเป็นเงิน 520 ล้านดอลลาร์
ประเด็นแรกนั้น สหรัฐมีกฎหมาย Children’s Online Privacy Protection Act (COPPA) คุ้มครองความเป็นส่วนตัวของเด็กบนโลกออนไลน์ แต่เกม Fortnite กลับเก็บข้อมูลส่วนตัวของเด็กโดยไม่ได้ขอคำยินยอม (consent) จากผู้ปกครองก่อน และเปิดฟีเจอร์แชทด้วยข้อความและเสียงเป็นค่าดีฟอลต์ ทำให้เด็กที่เล่นเกมอาจถูกละเมิดจากการแชทได้ ภายใต้การยอมความนี้ Epic จะจ่ายค่าปรับ 275 ล้านดอลลาร์ และปิดฟีเจอร์แชทเป็นค่าดีฟอลต์
คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ (Federal Trade Commission หรือ FTC) ลงมติ 3-1 ให้ยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อขัดขวางดีลที่ไมโครซอฟท์ซื้อกิจการ Activision Blizzard โดยให้เหตุผลว่าเป็นการกีดกันคู่แข่ง ให้เกมต้องอยู่เฉพาะในแพลตฟอร์มของ Xbox
ตัวอย่างที่ FTC ยกมาคือ Starfield และ Redfall ที่ไมโครซอฟท์ซื้อกิจการ ZeniMax บริษัทแม่ของ Bethesda ผู้พัฒนาเกมในปี 2020 ซึ่งตัดสินใจให้เกมมีเฉพาะในพีซีและแพลตฟอร์มของ Xbox เท่านั้น โดยเห็นได้ว่าไมโครซอฟท์มีโอกาสทำแบบนี้ได้อีก ซึ่งจะกระทบต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกับผู้พัฒนาเกมอิสระ
ประชาชนชาวไทยน่าจะคุ้นเคยกับ "ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5" กันดี ซึ่งเป็นฉลากที่ใช้ติดกำกับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อแสดงถึงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างคุ้มค่า โดยฉลากที่ว่านี้เป็นโครงการที่ริเริ่มดำเนินการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งในสหรัฐอเมริกาเองก็มีฉลากคล้ายๆ กัน เรียกว่า "ฉลาก Energy Guide" โดยผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยการมองหาฉลากเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจด้วย
ถึงแม้เราเห็นข่าว Meta หรือ Facebook โดนเพ่งเล็งในข้อหาผูกขาดการแข่งขัน จากการซื้อทั้ง Instagram และ WhatsApp รวมถึงกรณีการซื้อ Giphy ที่โดนหน่วยงานฝั่งอังกฤษฟันธงว่าผูกขาด
แต่ Federal Trade Commission (FTC) หน่วยงานกำกับดูแลด้านการค้าของสหรัฐ กลับยังไม่เคยมีคำสั่งลักษณะเดียวกันมาก่อน จนกระทั่งล่าสุดมีเซอร์ไพร์สคือ FTC ประกาศว่าจะขวางดีล Meta ซื้อบริษัท Within ผู้พัฒนาแอพออกกำลังกาย VR ชื่อ Supernatural เมื่อปี 2021
คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ (Federal Trade Commission หรือ FTC) ลงมติ 4-0 ขวางดีล NVIDIA ซื้อกิจการ Arm มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามความคาดหมาย ด้วยเหตุผลว่าการซื้อกิจการจะทำให้เกิดการกีดกันคู่แข่ง ปิดกั้นการแข่งขันและนวัตกรรม
FTC ให้เหตุผลว่าโมเดลธุรกิจของ Arm คือการขายไลเซนส์และเทคโนโลยีให้ผู้ผลิตชิปรายต่างๆ ซึ่งเป็นคู่แข่งของ NVIDIA ด้วย และบริษัทเหล่านี้ก็แชร์ความลับทางการค้ากลับไปให้ Arm เช่นกัน ดังนั้น Arm ต้องรักษาความเป็นกลาง หาก NVIDIA กลายเป็นเจ้าของ Arm ย่อมทำให้สภาวะนี้เสียไป และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจำนวนมาก เช่น ระบบรถยนต์ไร้คนขับ, การ์ดเครือข่ายรุ่นใหม่ที่เป็น DPU SmartNIC และซีพียู Arm สำหรับเซิร์ฟเวอร์
ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับ Facebook อีกครั้ง โดยเรื่องราวเริ่มต้นจากคณะนักวิจัยจากสถาบัน New York University เปิดโครงการวิจัย NYU Ad Observatory เพื่อศึกษาว่าผู้โฆษณาทางการเมืองเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างไร กลุ่มไหนที่เป็นเป้าหมายบ้าง
เมื่อโครงการวิจัยเปิดตัวบนแพลตฟอร์ม Facebook ก็ประกาศปิดการใช้งานบัญชี แอป เพจ และการเข้าถึงแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงกับ Ad Observatory Project โดยให้เหตุผลว่าละเมิดความเป็นส่วนตัว มีการเข้าไปเก็บข้อมูลผู้ใช้ จึงต้องระงับเพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งของ FTC แต่กลายเป็นว่า FTC ออกมาบอกว่าที่ Facebook ทำนั้นไม่ถูกต้อง ที่สำคัญ FTC ยังไม่ได้รับแจ้งจาก Facebook เรื่องระงับเพจโครงการวิจัยเลย
จากประเด็น โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่ง FTC หรือ คณะกรรมการด้านการค้าของสหรัฐร่างกฎ Right-to-Repair ล่าสุดคณะกรรมการทำการโหวตเป็นเอกฉันท์ 5-0 บังคับใช้กฎ Right-to-Repair
โดย FTC จะหาแนวทางแก้ปัญหา รวบรวมความคิดเห็นและข้อร้องเรียนจากสาธารณะ ตลอดจนทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐและผู้กำหนดนโยบาย เพื่อออกแบบกฎ Right-to-Repair
เมื่อโทรศัพท์ แท็บเล็ตหรืออุปกรณ์ใดๆ มีปัญหา แต่ถูกบังคับให้ซ่อมในจุดที่ผู้ผลิตให้การรับรองเท่านั้น ผลปรากฏว่าค่าซ่อมนั้นแพงกว่าที่อื่น ล่าสุด โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมแก้ปัญหานี้ Bloomberg รายงานว่า ไบเดนจะให้คณะกรรมการด้านการค้าของสหรัฐ (Federal Trade Commission หรือ FTC) ร่างกฎหมาย Right-to-Repair
กรรมการด้านการค้าของสหรัฐหรือ FTC ประกาศยื่นฟ้อง Broadcom ในข้อหาผูกขาดตลาดอุปกรณ์บรอดแบนด์และชิปสำหรับ set-top box ที่ใช้กับทีวี
FTC ระบุว่า Broadcom ใช้วิธีทำ exclusive deal ร่วมกับผู้ขายสินค้าและผู้ให้บริการเพื่อกีดกันไม่ให้ซื้อชิปจากคู่แข่งตั้งแต่ปี 2016 แล้วอย่างน้อย 10 บริษัท ถ้าไม่มีการทำ exclusive deal ลูกค้าจะต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่า, เวลาในการส่งสินค้าช้ากว่า และซัพพอร์ตจะตอบช้ากว่า ซึ่ง FTC ระบุว่าเป็นการกระทำผูกขาดอย่างผิดกฎหมาย (illegally monopolizing)
หลังคณะกรรมการด้านการค้าของสหรัฐ (Federal Trade Commission หรือ FTC) ยื่นฟ้อง Qualcomm ในปี 2017 ด้วยข้อหาผูกขาดตลาดชิปโมเด็มสมาร์ทโฟน โดยใช้เทคนิคด้านค่าค่าไลเซนส์สิทธิบัตร เพื่อกีดกันผู้ผลิตสมาร์ทโฟนไม่ให้ใช้ชิปของคู่แข่ง
คดีนี้ Qualcomm ถูกศาลชั้นต้นตัดสินว่าผิดจริงในเดือนมิถุนายนปี 2019 ก่อน Qualcomm จะยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน ยกคำร้องของ FTC ในเดือนตุลาคมปี 2020
เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2020 คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ หรือ Federal Trade Commission (FTC) ยื่นฟ้อง Facebook ในข้อหาผูกขาดตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์ค ขอให้ศาลสั่งแยก WhatsApp และ Instagram ออกมาเป็นอีกบริษัท
วันนี้ Facebook ตอบโต้ด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลให้ถอนคดีนี้ โดยเสนอเหตุผลหักล้าง FTC ในหลายประเด็น เช่น FTC ไม่สามารถแสดงหลักฐานว่า Facebook ขึ้นราคาหรือจำกัดปริมาณสินค้า, ไม่มีหลักฐานว่าการซื้อ WhatsApp และ Instagram เป็นการทำลายการแข่งขันจริง เป็นต้น
คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ (FTC) สั่งให้บริษัทด้านโซเชียลและวิดีโอออนไลน์ยอดนิยม 9 ราย ได้แก่ Amazon (Twitch), ByteDance (TikTok), Discord, Facebook, Reddit, Snapchat, Twitter, WhatsApp, YouTube รายงานวิธีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ ตามรอย วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ตัดสินใจเลือกแสดงโฆษณา วัดผล ฯลฯ แล้วส่งกลับมายัง FTC ภายใน 45 วัน
FTC ไม่ได้ระบุชัดว่าข้อข้อมูลนี้ไปทำอะไรแบบเจาะจง แต่ก็แสดงให้เห็นว่า FTC กำลังเข้ามาสอบสวนพฤติกรรมทางธุรกิจของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่เหล่านี้ ซึ่งท่าทีของ FTC ช่วงหลังชัดเจนว่าต้องการเข้ามากำกับดูแลในประเด็นต่างๆ อย่างใกล้ชิดกว่าเดิม ดังที่เห็นจากคดีล่าสุดที่ FTC ฟ้องร้อง Facebook ว่าผูกขาดตลาดโซเชียล
คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ หรือ Federal Trade Commission (FTC) ยื่นฟ้อง Facebook ในข้อหาผูกขาดตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์คแล้ว
FTC บอกว่า Facebook มีพฤติกรรมปิดกั้นการแข่งขันมายาวนานและทำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การไล่ซื้อบริษัทที่มีโอกาสมาเป็นคู่แข่งในอนาคต ทั้ง WhastApp, Instagram และกำหนดเงื่อนไขใน API ว่าห้ามนำไปใช้ทำฟีเจอร์บางอย่างแข่งกับ Facebook รวมถึงห้ามใช้โปรโมทหรือเชื่อมต่อกับบริการโซเชียลอื่นๆ ยิ่งทำให้ Facebook ผูกขาดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดของโลก มีกำไรมหาศาล
Zoom ยอมทำข้อตกลงกับ FTC คณะกรรมการค้าแห่งสหรัฐฯ ในประเด็นความปลอดภัยทำแนวปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยและจะเปิดให้หน่วยงานความปลอดภัยภายนอกรวมถึง FTC เข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย
เมื่อเดือนมิถุนายน Qualcomm ถูกศาลตัดสินว่าผูกขาดชิปโมเด็มจากคำร้อง FTC ซึ่ง Qualcomm ก็ได้ยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะกลับคำตัดสิน โดยระบุว่า FTC พิสูจน์ไม่ได้ว่า Qualcomm ผูกขาดจริง นอกจากแค่พยายามทำกำไรให้ได้สูงสุดตามกรอบกฎหมาย
คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ครั้งนั้น มีคณะผู้พิพากษา 3 ท่าน และมีมติแบบเอกฉันท์ ซึ่ง FTC ก็ยื่นเรื่องให้ศาลพิจารณาอีกครั้งโดยเพิ่มจำนวนผู้พิพากษา และล่าสุดศาลอุทธรณ์ก็ปัดตกคำร้องนี้ของ FTC โดยไม่มีผู้พิพากษาสักท่านยกเรื่องนี้ขึ้นมาโหวตเลยด้วยซ้ำ
กลุ่มสิทธิเช่น Campaign for a Commercial-Free Childhood, Center for Digital Democracy และหน่วยงาน Electronic Privacy Information Center เป็นต้น ส่งเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานเฝ้าระวังว่า TikTok ยังคงละเมิดกฎความเป็นส่วนตัวเด็กสหรัฐฯ และละเมิดข้อตกลงกับ FTC หลังตัดสินปรับ TikTok ไปแล้ว 5.7 ล้านดอลลาร์
ในคำร้องเรียนระบุว่า หลังจากผ่านการตัดสินปรับไป 1 ปี และเด็กๆก็ใช้งาน TikTok มากขึ้นเพราะผลจากการกักตัว ยังคงพบว่า TikTok ล้มเหลวในการลบข้อมูลส่วนบุคคลที่รวบรวมไว้ก่อนหน้านี้จากเด็ก และยังคงเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กๆ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ตอนนี้ FTC หรือคณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ ได้ขยายขอบเขตการตรวจสอบ Amazon จากเดิมที่สนใจเฉพาะส่วนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ให้ครอบคลุมธุรกิจคลาวด์หรือ AWS ด้วย
ปัจจุบัน AWS ถือเป็นหน่วยที่ทำกำไรให้ Amazon มากที่สุด ซึ่งมากกว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซด้วย โดยธุรกิจคลาวด์ของ Amazon มีผลิตภัณฑ์ครบวงจร ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งกับซอฟต์แวร์ที่ขายผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว โดย Bloomberg ระบุว่า FTC จะสอบสวนว่า Amazon ได้ให้สิทธิพิเศษกับบริษัทบางแห่งที่ทำงานให้ AWS แต่เพียงผู้เดียว และลดความสำคัญบริษัทที่ทำงานร่วมกับคลาวด์คู่แข่งหรือไม่
FTC ระบุว่า Google เตรียมจ่ายค่าปรับ 170 ล้านดอลลาร์เนื่องจาก YouTube ฝ่าฝืนกฎหมายการเก็บข้อมูลของเด็กในสหรัฐฯ
YouTube ได้ทำการเก็บข้อมูลผู้ชมที่เป็นเด็กผ่านการใช้คุกกี้โดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง และใช้คุกกี้เหล่านี้เพื่อการทำโฆษณาตามกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายเรื่องการเก็บข้อมูลเด็ก โดยกฎหมายสั่งห้ามเก็บข้อมูลเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีนี้ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1998 และมีการปรับปรุงแก้ไขในปี 2013 ให้ครอบคลุมคุกกี้ที่ใช้ในการติดตามพฤติกรรมด้วย
ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2018 ที่ FTC ได้ทำการสืบสวนคดีที่ Facebook ทำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานรั่วไหลโดยมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากบริษัทวิจัยข้อมูล Cambridge Analytica โดยกระทบถึง 89 ล้านราย (อ่านบทความย้อนหลังได้ ที่นี่) ล่าสุด FTC ออกมาประกาศผลการสืบคดีอย่างเป็นทางการแล้วว่า Facebook ต้องจ่ายค่าปรับ 5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 150,000 ล้านบาท และ Facebook ต้องตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องการจัดการข้อมูลในบริษัทด้วย
Wall Street Journal (WSJ) อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตน ระบุว่ากรรมการการค้าสหรัฐฯ (Federal Trade Commission - FTC) ได้ข้อตกลงนอกศาลกับเฟซบุ๊ก ให้จ่ายค่าปรับ 5,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 150,000 ล้านบาท จากความล้มเหลวในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้หลายครั้ง ทั้งคดี Cambridge Analytica และคดีการทำข้อมูลหลุดครั้งต่อๆ มา
ทางโฆษก FTC ไม่ให้ความเห็นต่อข่าวนี้ โดยรายงานของ WSJ ระบุว่ากรรมการเสียงแตกทำให้ต้องลงคะแนนเห็นชอบต่อการตกลงกับเฟซบุ๊ก เสียงอนุมัติข้อตกลงชนะไปด้วยคะแนน 3 ต่อ 2 และได้ส่งสำนวนไปให้กระทรวงยุติธรรมตรวจสอบอยู่
ก่อนหน้านี้เฟซบุ๊กเคยกันเงินไว้เป็นค่าปรับ จำนวน 3,000 ล้านดอลลาร์ โดยปีที่แล้วเฟซบุ๊กมี "กำไร" ทั้งหมด 22,000 ล้านดอลลาร์
FTC ยื่นฟ้อง Qualcomm ตั้งแต่ปี 2017 ฐานผูกขาดชิปโมเด็ม จากการพ่วงขายค่าสิทธิบัตรไปกับการขายชิปและกีดกันผู้ผลิตรายอื่น
หลังสืบสวนและต่อสู้ในชั้นศาลกันมา 2 ปีกว่า ล่าสุดปลายเดือนที่แล้วผู้พิพากษา Lucy Koh แห่งศาลแขวงแคลิฟอร์เนียเหนือมีคำตัดสินออกมาเห็นตามคำฟ้องของ FTC ว่า Qualcomm มีความผิดฐานผูกขาดชิปโมเด็ม