สืบเนื่องจากข่าวที่ Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook ออกมาประกาศการปรับรื้อ News Feed ครั้งใหญ่ โดยเน้นเนื้อหาจากเพื่อนและครอบครัวมากขึ้น ด้วยเหตุผลว่าเขาต้องการชุมชนที่ดี มีคุณค่าและความหมายเวลาใช้งาน โดย The New York Times ได้สัมภาษณ์เขา และมีประเด็นที่น่าสนใจ
เขาบอกว่าจากการวิจัยนั้นพบว่าผู้ใช้ Facebook รู้สึกว่าการใช้ Facebook ทำให้ห่างจากเพื่อนและครอบครัวมากขึ้น แต่มีเนื้อหาสาธารณะ, แบรนด์ และสื่อ เพิ่มขึ้นมาก จึงต้องกลับมาทบทวนว่าตกลงเรากำลังทำอะไรกันแน่ จึงเป็นที่มาของแนวทางดังกล่าว
Facebook ประกาศเตรียมปรับปรุง News Feed ครั้งใหญ่ ซึ่งตรงกับข่าวที่รายงานก่อนหน้า โดยซีอีโอ Mark Zuckerberg ชี้แจงหลักการและที่มาที่ไปว่า เป้าหมายของ Facebook ในปี 2018 คือการทำให้เป็นพื้นที่ซึ่งเราใช้เวลากับมันได้อย่างมีคุณค่า
เว็บไซต์ด้านโฆษณาออนไลน์ Digiday อ้างแหล่งข่าวจากกลุ่มบริษัทสื่อ ที่ได้รับแจ้งข้อมูลล่วงหน้าจาก Facebook ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง News Feed ในเร็วๆ นี้ เพื่อแก้ปัญหาข่าวปลอมและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม (ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่บริษัทกำลังเผชิญ) การเปลี่ยนแปลงอาจจะเกิดในสัปดาห์หน้า
Facebook ระบุว่าจะให้คะแนนกับเนื้อหาที่แชร์โดยผู้ใช้ หรือมีอัตรา engagement ดีๆ มากขึ้น ทำให้บริษัทสื่อกังวล เพราะเนื้อหาข่าวจำนวนมาก มักไม่มีการแชร์หรือคอมเมนต์เยอะเท่าไรนัก และคาดว่าจะทำให้ค่า reach ลดต่ำลงไปอีก
Facebook ทดลองสร้าง section ใหม่สำหรับข่าวสารและประกาศอีเวนท์ท้องถิ่นโดยเฉพาะ ชื่อว่า Today In ทดลองใช้ใน 6 เมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในความพยายามลบล้างคำครหาว่า Facebook มีแต่ข่าวปลอมและข้อมูลผิดๆ
โฆษก Facebook ระบุว่า Today In ทำงานด้วย machine learning เป็นหลัก ข่าวท้องถิ่นจากสำนักข่าวที่ปรากฏใน Today In จะได้รับการอนุมัติและตรวจสอบเนื้อหาจากบริษัทข่าวที่เป็นพาร์ทเนอร์ในโปรแกรม News Partnerships กำกับดูแลโดย Campbell Brown อดีตผู้ประกาศข่าวของ NBC โดย Today In เป็นหนึ่งในโครงการ Facebook Journalism Project ที่เปิดตัวหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
Amit Fulay ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Google ที่ดูแลผลิตภัณฑ์สายการสื่อสารอย่าง Duo, Allo และ Hangout ได้ประกาศบนทวิตเตอร์ว่าลาออกจาก Google และย้ายไปร่วมงานกับทางเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาและก็ดูเหมือนว่าจะถูกทาบทามจากเฟซบุ๊กก่อนด้วย
Fulay ไม่ได้เปิดเผยว่าเขาได้รับตำแหน่งอะไรในเฟซบุ๊ก นอกจากระบุในแถบประวัติส่วนตัวบนทวิตเตอร์ว่า Product @ Facebook ซึ่งก็ไม่น่าจะพ้นผลิตภัณฑ์สายการสื่อสารอย่างที่เขาดูแลให้ Google มาก่อน
ที่มา - @amitfulay
เพื่อแก้ปัญหาผู้ใช้ Facebook อัพโหลดเพลงประกอบวิดีโอที่ละเมิดลิขสิทธิ์ค่ายเพลง Facebook จึงทยอยเซ็นสัญญากับบรรดาค่ายเพลง ปลายปี 2017 ทาง Facebook ก็เซ็นสัญญากับ Universal Music ไปแล้ว และล่าสุดก็คือ Sony/ATV Music นอกจากนี้ เว็บไซต์ Variety ยังอ้างแหล่งข่าวว่าคิวต่อไปอาจจะเป็น Warner Music
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ผู้ใช้งานสามารถอัพโหลดวิดีโอกับเพลงประกอบที่เป็นลิขสิทธิ์ของ Sony และ ATV Music บน Facebook, Instagram, Oculus ได้ นักแต่งเพลงของค่ายมีโอกาสได้รับค่าลิขสิทธิ์จากการเผยแพร่เพลงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วย
ในทุกปี Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook จะประกาศเป้าหมายส่วนตัวของแต่ละปี อย่างเมื่อปีที่แล้ว คือการเดินทางไป 50 รัฐในอเมริกา หรือในอดีตก็มี วิ่ง 365 ไมล์, สร้าง AI ในบ้าน, อ่านหนังสือใหม่ทุก 2 สัปดาห์ สำหรับเป้าหมายปีนี้เขาบอกเองเลยว่า ไม่ถือเป็นเป้าหมายส่วนตัวเสียทีเดียว แต่เป็นเรื่องของ Facebook
เขาบอกว่าวันนี้โลกมีความสับสนวุ่นวายและแตกแยก ซึ่งถือเป็นภารกิจ Facebook ต้องลงมือทำ เพื่อปกป้องชุมชนจากการก่อกวนและสร้างความเกลียดชัง ให้เวลาที่เราใช้งาน Facebook เป็นเวลาที่ดี เป้าหมายของเขาในปีนี้จึงเป็นการลงมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ มีการควบคุมและปกป้องผู้ที่ใช้งาน Facebook อย่างไม่ถูกต้อง
กฎข้อห้ามการโพสต์บน Facebook คือ ต้องไม่เป็น Hate Speech หรือเข้าข่ายดูถูกเหยียดหยาม ข่มขู่คุกคามกลุ่มคนโดยใช้ศาสนา สีผิว ชาติพันธุ์เป็นข้ออ้าง แต่รายละเอียดของเนื้อหาที่เป็น Hate Speech ในตำราของ Facebook กับคนทั่วไปอาจไม่สอดคล้องกัน ผู้ใช้งาน Facebook ส่วนหนึ่งจึงยังพบโพสต์ Hate Speech บน Facebook แม้จะรายงานโพสต์ไปแล้วก็ตาม
เว็บไซต์ Axios เผยแพร่บทความวิเคราะห์แนวทางของ Facebook ในปี 2018 ระบุว่า Mark Zuckerberg จะพยายามแก้ปัญหาเพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่น และพยายามรักษาไว้ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีประสิทธิภาพที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์
BuzzFeed News เผยแพร่ 50 ข่าวปลอมบน Facebook ประจำปี 2017 พบว่าบรรดาข่าวปลอมในปีนี้มียอดแชร์ ยอดไลค์ และ engagement รวมกัน 23.5 ล้านครั้ง มากกว่าปี 2016 ที่มียอด engagement 21.5 ล้านครั้ง ก่อให้เกิดคำถามว่า Facebook แก้ปัญหาข่าวปลอมมากเพียงพอหรือไม่
BuzzFeed สอบถามไปยัง Facebook โดยโฆษก Facebook บอกว่า บริษัทกำลังพัฒนาเครื่องมือจัดการข่าวปลอมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าการป้องกันดังกล่าวได้เริ่มทำตั้งแต่ต้นปีต้นปี 2017 เชื่อว่าตัวเลขข่าวปลอมบน Facebook จะน้อยกว่านี้ ยอด engagement ก็จะลดลงด้วย ตอนนี้เรามีระบบที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแต่ก่อน มันอาจไม่สมบูรณ์แต่ดีกว่าเมื่อก่อนมาก
Facebook เซ็นสัญญากับ Universal Music เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดเพลงในวิดีโอที่อัพโหลดขึ้นแพลตฟอร์มได้ ซึ่งมีผลกับทั้ง Facebook, Instagram และ Oculus ด้วย ซึ่งภายใต้สัญญานี้ ผู้ใช้ Facebook จะสามารถอัพโหลดและแชร์วิดีโอที่มีเพลงของศิลปินในเครือ Universal Music ได้โดยไม่ต้องถูกลบเนื่องจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิอย่างที่เคยเป็นในอดีต
ดีล Facebook กับ Universal Music นี้จะช่วยจัดการปัญหาด้านการละเมิดลิขสิทธิเกี่ยวกับเพลงบนแพลตฟอร์ม โดย Facebook กล่าวว่านี่เป็นเพียงก้าวแรก และรายงานเพิ่มเติมว่า Universal Music จะร่วมกับ Facebook เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเพลงบนแพลตฟอร์มด้วย
Facebook ออกเครื่องมือบรรเทาปัญหาคุกคามออนไลน์ และ cyber bullying คือป้องกันไม่ให้บัญชีที่เราเคยบล็อก กลับมาติดต่อหรือเพิ่มเราเป็นเพื่อนได้อีกแม้เขาคนนั้นจะลงทะเบียนมาใหม่ในอีกบัญชีหนึ่ง และเครื่องมือที่สองคือเพิกเฉยการสนทนาใน Facebook Messenger ได้ โดยไม่ต้องบล็อกผู้ที่ส่งข้อความเข้ามา
Facebook ประกาศเพิ่มคุณสมบัติการทำงานของเทคโนโลยีรู้จำใบหน้า (face recognition) จากเดิมเมื่อเราอัพโหลดรูปภาพ ก็จะมีการแนะนำว่าเราน่าจะแท็กชื่อใครเข้าไป คราวนี้เทคโนโลยีนี้ถูกต่อยอดเพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาภาพใดๆ ที่เป็นภาพเราแต่ไม่ถูกแท็กได้ด้วย
Facebook ยกตัวอย่างประโยชน์ของฟีเจอร์นี้ เช่นกรณีผู้ใช้ที่ถูกสวมรอยรูป Profile หรือกรณีเป็นภาพไม่เหมาะสม แล้วผู้โพสต์ตั้งใจไม่แท็กจริงๆ ก็ทำให้เราทราบได้
สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ก็สามารถควบคุมได้โดยสามารถ เปิด/ปิด คุณสมบัติดังกล่าวได้ ซึ่งหากปิดก็จะไม่มีการค้นหาภาพใบหน้าของผู้ใช้งานคนนั้น
CNIL หน่วยงานกำกับดูแลด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้สั่งให้ WhatsApp หยุดการแชร์ข้อมูลกับบริษัทแม่ Facebook โดยให้เวลาหนึ่งเดือนในการทำตามคำสั่ง
CNIL กล่าวอ้างว่าเหตุผลที่ WhatsApp เก็บข้อมูลผู้ใช้และแชร์ให้ Facebook เพื่อนำไปใช้งานกับ business intelligence นั้นเป็นเหตุผลที่ไม่สามารถยอมรับได้ ซึ่ง WhatsApp นั้นไม่เคยแจ้งผู้ใช้ว่าจะเก็บข้อมูลไปทำการวิเคราะห์ด้านธุรกิจ และไม่มีวิธีหยุดมันนอกจากลบแอพทิ้ง ถือเป็นการละเมิดเสรีภาพพื้นฐานของผู้ใช้
Farhad Manjoo คอลัมนิสต์ด้านเทคโนโลยี และผู้เขียนหนังสือ "True Enough: Learning to Live in a Post-Fact Society" ว่าด้วยความพยายามครอบโลกธุรกิจของ Apple, Amazon, Facebook และ Google โดย Farhad Manjoo เขียนบทความว่าปี 2017 เป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนของบริษัทเทคโนโลยี โดยปี 2017 มีหลายเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีต้องมีส่วนรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกออฟไลน์ ไม่ว่าบริษัทจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
Facebook ประกาศปรับปรุงวิธีการแสดงผลใน News Feed อีกครั้ง คราวนี้เน้นไปที่โพสต์จากบุคคลหรือจากเพจที่ใช้วิธีการ Engagement Bait โดยพยายามกระตุ้นให้คนอ่านกดไลค์, แชร์, แสดงความคิดเห็น หรือกระทำการอื่นๆ เพื่อเพิ่มค่า Engagement ตัวอย่างเช่น "กด Like เลย ถ้าคุณอยู่ราศีเมษ" ซึ่ง Facebook บอกว่าคนมักมองโพสต์แนวนี้ว่าเป็นสแปม
Facebook บอกว่าเพื่อให้ระบบตรวจหาโพสต์ประเภทดังกล่าวได้อัตโนมัติ ก็ได้ทำการรวบรวมรูปแบบโพสต์แนวนี้แล้วใช้ Machine Learning เพื่อแยกแยะออกมา โดยโพสต์ที่เข้าข่ายก็จะถูกลดน้ำหนักการแสดงผลบน News Feed
Facebook ประกาศเพิ่มคุณสมบัติใหม่ใน News Feed ชื่อว่า Snooze โดยสามารถ Unfollow เพื่อน, เพจ และกลุ่ม ได้ชั่วคราวเป็นเวลา 30 วัน วิธีการก็เหมือนฟีเจอร์แนวเดียวกันคือกดที่ปุ่มมุมบนขวาของโพสต์เพื่อ Snooze
แนวคิดของฟีเจอร์นี้ Facebook ยกตัวอย่างสถานการณ์เช่น คุณลุงกำลังเห่อแมวใหม่และอัพรูปทั้งวัน หรือเพื่อนไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอวดรูปอาหารตลอดเวลา ซึ่งบางทีก็มากเกินไป แต่จะให้ Unfollow หรือ Unfriend ไปเลยคงไม่ใช่ทางออก Snooze จึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ โดยเราไม่ต้องเห็นโพสต์จากเพื่อนคนนั้นๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง และสามารถแก้ไขค่าคืนได้ทุกเมื่อ
Facebook ทำฟีเจอร์ใหม่ Snooze ให้ผู้ใช้มีอำนาจควบคุม News Feed ของตัวเองมากขึ้นนอกเหนือจากฟีเจอร์ Hide, Report, Unfollow โดยผู้ใช้สามารถกดเลิกติดตามเพื่อนได้ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 30 วัน
วิธีการใช้งานคือกดตรงจุดสามจุดช่วงขวาบนของโพสต์เพื่อนคนนั้น จากนั้นเลือกเมนู Snooze โพสต์ของเพื่อนคนนั้นจะไม่ปรากฏบนหน้า News Feed 30 วัน และระบบจะแจ้งเตือนเมื่อใกล้ครบกำหนด
จากข่าว Facebook เตรียมหยุดจ่ายเงินจ้างเว็บดัง-เพจดังทำวิดีโอ เปลี่ยนโมเดลเป็นโฆษณาแทน ล่าสุด Facebook ออกมาแถลงข้อมูลอย่างเป็นทางการ โดยมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องวิดีโอ 3 อย่างดังนี้
Facebook ประกาศ 2017 Year in Review ของ Messenger โดยรวบรวมสถิติสำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน โดยมีสิ่งที่น่าสนใจดังนี้
ในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา Facebook หันมาทุ่มให้กับวิดีโอมาก จนถึงขนาดยอมจ่ายเงินให้ publisher ดังๆ ผลิตวิดีโอเพื่อโพสต์ลง Facebook ให้ผู้ใช้คุ้นเคย
ล่าสุดมีข่าวจาก publisher บางราย ระบุว่า Facebook เตรียมหยุดจ่ายเงินค่าวิดีโอแล้ว โดยสัญญาฉบับเดิมของ Facebook จะจ่ายค่าจ้างทำวิดีโอให้ถึงสิ้นปี 2017 และบริษัทจะไม่ต่อสัญญาในปี 2018
รูปแบบการจ้างของ Facebook คือให้ publisher ผลิตวิดีโอทั้งแบบวิดีโอปกติ (ยาวขั้นต่ำ 90 วินาที) และการถ่ายวิดีโอ live (ยาวขั้นต่ำ 6 นาที) โดย Facebook จะจ่ายเงินให้ขั้นต่ำต่อเดือนตามที่ตกลงกัน เป้าหมายของ Facebook คือเปลี่ยนโมเดลจากการจ่ายเต็ม มาเป็นการจ่ายส่วนแบ่งโฆษณาที่จะแทรกมาช่วงกลางวิดีโอ (mid-roll) แทน
Facebook ออกแถลงการณ์ตอบโต้คำกล่าวของ Chamath Palihapitiya อดีตผู้บริหารฝ่ายดูแลการเติบโต ที่บอกว่าโซเชียลมีเดียเป็นอันตรายต่อสังคมโลก โดยมีรายละเอียดดังนี้
Chamath Palihapitiya อดีตผู้บริหารใน Facebook บอกว่าโซเชียลมีเดียเป็นอันตรายต่อสังคมโลก แบ่งแยกสังคมออกจากกัน เขายังบอกอีกว่าเขารู้สึกผิดอย่างร้ายแรงที่เป็นส่วนหนึ่งของการก่อตั้งโซเชียลมีเดียด้วย
Chamath Palihapitiya เข้ามาทำงานใน Facebook ตั้งแต่ปี 2007 ในหน้าที่ดูแลการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งาน
เขาไปพูดบรรยายที่ Stanford Graduate School of Business ในหัวข้อการเงิน ในตอนหนึ่งเขาบอกว่าเขารู้สึกผิดอย่างร้ายแรง ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโซเชียลมีเดียเป็นอันตรายต่อสังคม ไม่เพียง Facebook แต่รวมถึงโซเชียลมีเดียทุกราย และไม่ใช่แค่เรื่องของข่าวปลอมในสังคมอเมริกัน แต่รวมถึงสังคมทั่วโลก
เขายกตัวอย่างข้อมูลผิดๆ ที่แชร์กันในอินเดียจนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายคนในชีวิตจริง และวิกฤตชาวโรฮิงญาในพม่าที่ข้อมูลปลอมใน Facebook มีส่วนช่วยกระตุ้นให้วิกฤตรุนแรงขึ้น
Parse.ly บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ออนไลน์ เปิดเผยข้อมูลการสำรวจสัดส่วนทราฟฟิคเข้าเว็บไซต์ต่างๆ ตลอด 10 เดือนของปี 2017 ที่ผ่านมา พบว่าทราฟฟิคจากเฟสบุ๊คสูงกว่ากูเกิลในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนที่ช่วงครึ่งปีหลัง ทราฟฟิคจากกูเกิลจะแซงและและสูงกว่าเฟซบุ๊กถึงเกือบเท่าตัว
ช่วงเดือนมกราคา เฟซบุ๊กเป็นช่องทางการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ ที่ราว 40% ส่วนกูเกิลอยู่ที่ 34% ขณะที่เดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนที่สุดที่มีการเก็บข้อมูล ทราฟฟิคจากกูเกิลขึ้นสูงที่ราว 44% ส่วนเฟสบุ๊คตกลงไปที่ 26% เท่านั้น โดยเว็บไซต์ที่ถูกสำรวจก็เป็นเว็บไซต์ใหญ่ๆ อย่าง Wall Street Journal, Time, Mashable และ Huffington Post เป็นต้น
The Next Web เผยแพร่ภาพหน้าจอ Facebook ที่แสดงให้เห็นว่า Facebook กำลังทดลองฟีเจอร์ใหม่ คอมเมนท์ใต้โพสต์ของเพื่อนโดยตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของคอมเมนท์นั้นๆ ได้
การตั้งค่าทำได้ 4 แบบ เพื่อนและเจ้าของโพสต์เท่านั้นที่เห็น, เพื่อนเท่านั้น, เจ้าของโพสต์และผู้ใช้ที่คอมเมนท์โพสต์นั้นๆ, คนอื่นๆ The Next Web ระบุว่าฟีเจอร์นี้ยังมีไม่กี่คนที่ได้ใช้ แต่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ที่อยากคอมเมนท์แสดงความคิดเห็นแต่กังวลว่าจะถูกโจมตีจากผู้ใช้รายอื่นที่ไม่รู้จัก