แอปเปิลเริ่มขายเฮดเซต Apple Vision Pro ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งตามกฎนั้นลูกค้าสามารถนำอุปกรณ์มาขอคืนเงินได้ภายใน 14 วัน ทำให้วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ เป็นวันสุดท้ายสำหรับผู้ซื้อกลุ่มแรกที่จะทำเรื่องขอคืนเงิน และดูเหมือนจะนำมาคืนกันเยอะด้วย
เว็บไซต์ Cult of Mac รวบรวมข้อมูลใน X พบว่าบัญชีผู้ใช้งานที่มีชื่อเสียงหลายคน ก็ประกาศหรือนำ Vision Pro ไปขอคืนเงินกันบ้างแล้ว โดยเหตุผลยอดนิยมคือ หนัก สวมใส่ไม่สบาย เวลาใช้งานรู้สึกโดดเดี่ยว และหากรณีเพื่อใช้งานทุกวันไม่ได้
Mark Zuckerberg โพสต์คลิปใน Instagram เล่าว่าเขาได้ทดลองแว่น Apple Vision Pro แล้ว ความเห็นของเขาคือแว่น Meta Quest ยังเหนือกว่าในแทบทุกเรื่อง ในราคาที่ถูกกว่าหลายพันดอลลาร์
Mark บอกว่าก่อนทดลอง Vision Pro เขาคาดว่า Meta Quest จะเหนือกว่าในแง่ความคุ้มค่าต่อราคา (ราคาถูกกว่ากัน 7 เท่า) แต่หลังลองแล้ว เขาพบว่าเอาแค่ตัวผลิตภัณฑ์อย่างเดียว Quest ก็เหนือกว่าแบบไร้ข้อกังขา เพราะ Quest ทำได้ดีกว่าในงานด้าน Mixed Reality ที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน
แอปเปิลออกอัพเดต visionOS เวอร์ชัน 1.0.3 ระบบปฏิบัติการของเฮดเซต Vision Pro ซึ่งเป็นอัพเดตย่อยครั้งแรกสำหรับลูกค้าทั่วไป นับตั้งแต่สินค้าเริ่มขายในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ 2 กุมภาพันธ์
เหตุผลที่เลขเวอร์ชันกระโดดเป็น 1.0.3 เลย เพราะว่าเวอร์ชัน 1.0 และ 1.0.1 ถูกอัพเดตไปก่อนหน้านี้แล้วในช่วงส่งสินค้าเพื่อรีวิวทดสอบ แต่ก่อนจะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าทั่วไป ก็มีเวอร์ชัน 1.0.2 ออกมาแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยอีกครั้ง
มีข้อมูลน่าสนใจจากบริษัทวิจัยตลาดแอป Appfigures พบว่าในตอนนี้มีแอปที่พัฒนาขึ้นเพื่อเฮดเซต Apple Vision Pro โดยเฉพาะ ที่อยู่ใน App Store ถึง 52% ที่เป็นแอปแบบเสียเงินดาวน์โหลด ซึ่งเทียบกับแอปใน App Store ปกติ มีประมาณ 5% เท่านั้น ที่เป็นแอปแบบเสียเงิน
นอกจากนี้ในกลุ่มแอปที่มีเฉพาะใน Vision แบบเสียเงินดาวน์โหลด 35% เป็นการจ่ายแล้วจบ ไม่เสียเงินเพิ่ม ส่วนอีก 13% ยังมีระบบ Subscription ผ่านระบบ App Store เพิ่มเติมอีกด้วย
ราคาเฉลี่ยของแอปเสียเงินบน Vision Pro อยู่ที่ 5.67 ดอลลาร์ สูงสุดที่พบคือ 98 ดอลลาร์ (แอปตารางธาตุ) ส่วนใหญ่ราคา 9.99 ดอลลาร์
จดหมายข่าวรายสัปดาห์ Power On โดย Mark Gurman แห่ง Bloomberg ตอนล่าสุด เขาอ้างข้อมูลจากทีมพัฒนา Apple Vision Pro ที่มองว่าเฮดเซต Vision Pro นี้ อาจต้องใช้เวลาถึงรุ่นที่ 4 ลูกค้าทั่วไปจึงจะเริ่มซื้อมาใช้งานแบบเป็นประจำทุกวัน
โจทย์ท้าทาย Vision Pro มีหลายอย่าง หลังจากสินค้าเริ่มขายให้กับลูกค้าทั่วไป ทั้งปัญหาฮาร์ดแวร์ ที่ยังมีความหนัก แบตเตอรีที่ใช้งานได้ในเวลาจำกัด แอปยังมีไม่เยอะ และบั๊กที่พบหลายอย่างใน visionOS ซึ่งหากแอปเปิลแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ Vision Pro ก็จะเป็นอีกสินค้าหลักของแอปเปิลเหมือน iPhone, iPad และ Apple Watch
Webex ประกาศนำแอปลง Apple Vision Pro ซึ่งออกแบบมาให้ได้ประสบการณ์ immersive ในการประชุมออนไลน์บน Spatial Computing
แอป Webex บน Vision Pro นี้ ยังรองรับฟีเจอร์สร้างใบหน้าเสมือน Persona รวมทั้งรองรับระบบเสียง Spatial Audio ด้วย
ฟีเจอร์การประชุมอื่นที่มีใน Webex ก็จะได้ใช้งานบน Vision Pro เช่นกัน อย่าง Webex AI ที่ตัดเสียงรบกวน, การแปลภาษาเรียลไทม์, การขึ้นคำบรรยายข้อความ, ทำแบบสอบถามขณะประชุม และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังรองรับการเปลี่ยนอุปกรณ์การประชุมแบบต่อเนื่อง เช่น สลับจาก Vision Pro มา Mac หรือ iPhone นั่นเอง
ก่อนหน้านี้ Webex เพิ่มประกาศออกแอปรองรับ Apple TV 4K ด้วย
หลังจากแอปเปิลเริ่มขายเฮดเซต Vision Pro ให้กับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา ก็มีคอนเทนต์ใส่ Vision Pro ในสถานการณ์ต่าง ๆ มากมาย ที่ดูจะสุ่มเสี่ยงหน่อยและเป็นข่าวในหลายสื่อ ก็คือการใส่ขณะนั่งรถ Tesla ที่เปิดโหมดขับรถอัตโนมัติ ซึ่งอาศัยการมองภาพถนนผ่าน Vision Pro อีกที จึงไม่ปลอดภัยและมีคำเตือนออกมาแล้ว
เมื่อ Tesla รวมกับ Apple Vision Pro ดูเป็นสิ่งที่หลายคนอยากนำมาใช้งานร่วมกัน ก็เลยต้องไปถามความคิดเห็นของ Elon Musk ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Tesla ซึ่งได้ลองใช้ Vision Pro แล้วเช่นกัน
เป็นเรื่องปกติสำหรับอุตสาหกรรมคอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ ที่มักกระโดดเข้าสู่เทคโนโลยีใหม่ ๆ เสมอ อย่างไรก็ตามด้วยเฮดเซต Spatial Computing จากแอปเปิลอย่าง Vision Pro ดูเหมือนโลกของคอนเทนต์ผู้ใหญ่ในแบบ immersive อาจจะยังไม่ง่ายนัก
มีรายงานถึงความพยายามดูเนื้อหาคอนเทนต์ผู้ใหญ่ โดยใช้การแสดงผลของ Vision Pro ที่แสดงภาพ 3D รอบทิศ แต่ในเบื้องต้นสามารถเดาได้ไม่ยากว่าเราจะไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ได้รูปแบบแอปดูหนังผู้ใหญ่ใน Vision Pro แน่ เพราะแนวทางควบคุมเนื้อหาผู้ใหญ่ใน App Store ที่ขึ้นชื่อมานาน
อย่างไรก็ตาม Safari ที่เป็นเว็บเบราว์เซอร์นั้น พอจะเป็นทางออกในเรื่องนี้ ซึ่งรายงานจากผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งที่พยายามเข้าถึงเนื้อหา ก็พบว่ามันเป็นการแสดงคอนเทนต์ผู้ใหญ่แบบ 2D ตามปกติเท่านั้น
มีรายงานจาก Mark Gurman แห่ง Bloomberg เนื่องจากเฮดเซต Apple Vision Pro ต้องตั้งค่าเริ่มต้นเป็นรหัสปลดล็อก Passcode สำหรับยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน แบบเดียวกับ iPhone, iPad ที่มักเป็นตัวเลข 6 หลัก แต่คำถามคือหากลืมรหัส Passcode นี้ จะกู้คืนเองได้หรือไม่?
คำตอบที่ Gurman ได้จากลูกค้าที่ลืมรหัสนี้ แล้วสอบถามไปทางแอปเปิลคือ ไม่สามารถกู้คืนหรือรีเซตได้เอง ต้องนำ Vision Pro มาแก้ไขที่ร้าน Apple Store เท่านั้น กรณีไม่สะดวกเดินทางไป ก็ให้ส่งสินค้ามาที่แอปเปิล
The Verge ได้สอบถามไปยังตัวแทนของ YouTube เกี่ยวกับแผนการพัฒนาแอปเวอร์ชันสำหรับเฮดเซต Apple Vision Pro ซึ่ง Jessica Gibby โฆษกของ YouTube ก็ตอบกลับมาว่า เราตื่นเต้นกับการเปิดตัว Vision Pro และตอนนี้ได้สนับสนุนให้ผู้ใช้งาน YouTube ได้ประสบการณ์ดีที่สุดบน Safari ส่วนแผนงานอื่นยังไม่มีรายละเอียดในตอนนี้ แต่ยืนยันได้ว่าแอปบน Vision Pro นั้นอยู่ในแผนของเราแล้ว
ก่อนหน้านี้ YouTube ให้ข้อมูลว่าไม่มีแผนพอร์ตแอปมาลง Vision Pro แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าจะมีการทำแอปโดยเฉพาะในอนาคตหรือไม่ ซึ่งเป็นประกาศคล้ายกับ Spotify และ Netflix ทำให้ Vision Pro ขาดแอปประเภทคอนเทนต์ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ก่อนการส่งมอบ Vision Pro กับลูกค้ากลุ่มแรก
Tim Cook ขึ้นปกนิตยสารแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์ Vanity Fair เนื่องในโอกาสเปิดตัวแว่น Apple Vision Pro ซึ่งแน่นอนว่าภาพถ่ายของเขาบนหน้าปกก็ต้องใส่แว่น Vision Pro อยู่ด้วย
ในบทสัมภาษณ์ของ Cook เขาเล่าถึงวันแรกที่ได้ลองใส่แว่นต้นแบบที่ทีมงานนำมาให้ลองเมื่อราว 7-8 ปีก่อน ตอนนั้นแอปเปิลยังอยู่ที่สำนักงานใหญ่แห่งเดิมที่ Infinite Loop ด้วยซ้ำ เขาเล่าว่าแว่น Vision Pro รุ่นต้นแบบถูกสร้างขึ้นในตึกชื่อ Mariani 1 ที่เป็นเขตหวงห้าม เพราะเป็นตึกที่ทดลองสร้างสินค้าใหม่ๆ ที่ยังไม่เปิดตัว (รวมถึง iPod และ iPhone ในอดีตด้วย)
แอปเปิลเริ่มส่งมอบเฮดเซต Apple Vision Pro ให้กับลูกค้าในสหรัฐอเมริกาแล้ว ทำให้มีข้อมูลเอกสารซัพพอร์ตเผยแพร่ออกมาประกอบการใช้งาน ซึ่งมีหลายประเด็นที่น่าสนใจในรายละเอียด โดยมีคนรวบรวมไว้แล้วดังนี้
การใช้งาน Vision Pro สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์บลูทูธเพิ่มเติมได้ ดังนี้
แอปเปิลเริ่มขายเฮดเซต Apple Vision Pro ในสหรัฐอเมริกาแล้ว โดย Tim Cook ซีอีโอแอปเปิล ได้เข้าร่วมการเปิดขายสินค้าวันแรกที่ร้าน Apple Store สาขา Fifth Avenue เพื่อต้อนรับลูกค้าวันแรกที่มาซื้อหรือรับ Vision Pro
Tim Cook ยังอีเมลถึงพนักงานแอปเปิล ว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นของ Spatial Computing ที่ยังมีโอกาสมากมายมหาศาลอยู่ข้างหน้า ทั้งความบันเทิงในรูปแบบใหม่ แอปนวัตกรรมใหม่ที่รอนำเสนอ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จะนำไปประยุกต์ใช้งาน
แอปเปิลประกาศความพร้อมของ App Store สำหรับเฮดเซต Apple Vision Pro ที่จะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าทั่วไปในสหรัฐอเมริกาวันนี้ โดยมีแอปที่รองรับ visionOS ให้ดาวน์โหลดมากกว่า 1 ล้านแอป และมีมากกว่า 600 แอป ทั้งหมวดแอปและเกม ที่พัฒนามาใหม่รองรับ Vision Pro โดยเฉพาะด้วย
ทั้งนี้ App Store ของ Vision Pro ได้พอร์ตแอปของ iPhone และ iPad ขึ้นสโตร์ให้อัตโนมัติ แต่นักพัฒนาสามารถเลือกไม่ส่งแอปขึ้นสโตร์ได้ (opt-out) ซึ่งมีแอปรายใหญ่ที่ประกาศไม่ส่งแอปเช่น YouTube, Netflix และ Spotify
ถึงแม้สินค้าจะยังไม่ได้เริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าทั่วไปในสหรัฐอเมริกา แต่เฮดเซต Apple Vision Pro ก็ได้ออกอัพเดตซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ visionOS เวอร์ชัน 1.0.2 แล้ว
ในอัพเดตนี้แอปเปิลไม่ได้ระบุรายการฟีเจอร์ที่สำคัญ แต่บอกว่าเป็นการแก้ไขช่องโหว่ WebKit ที่มีรายงานการโจมตีแล้ว ซึ่งแอปเปิลก็แก้ไขช่องโหว่เดียวกันนี้ไปใน iOS 17.3 และ macOS Sonoma 14.3 ที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เนื่องจากอัพเดต visionOS 1.0.2 นี้ สื่อที่ได้เฮดเซตไปรีวิวพบว่าแอปเปิลเพิ่งออกอัพเดตมา จึงคาดว่าลูกค้าที่รับสินค้ากลุ่มแรก ก็น่าจะต้องเปิดกล่องมาแล้วอัพเดตซอฟต์แวร์ให้เป็น 1.0.2 นี้ด้วยเช่นกัน
เฮดเซต Apple Vision Pro นั้นใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ที่ต่อแยกออกมาอีกที ตอนนี้มีสื่อที่ได้รับอุปกรณ์มารีวิว จึงมีการทดสอบหลายอย่าง และค้นพบความน่าสนใจในแบตเตอรี่ส่วนนี้
โดยแบตเตอรี่แยกของ Vision Pro นั้น มีช่องชาร์จไฟเป็นพอร์ต USB-C ตรงนี้คงไม่น่าแปลกใจเพราะแอปเปิลย้ายอุปกรณ์มาเป็น USB-C เกือบทั้งหมดแล้ว แต่ส่วนที่แบตเตอรี่ไปเชื่อมต่อกับ Vision Pro เป็นสายชาร์จที่ล็อกติดกับแบตเตอรีเลย ซึ่งสามารถแยกชิ้นส่วนได้โดยใช้เข็มจิ้มแบบที่ใช้กับถาดใส่ซิม จึงพบว่าปลายสายเป็นหัวชาร์จหน้าตาคล้ายกับ Lightning แต่มีจำนวนขั้วมากกว่าสาย Lightning แบบเดิม
ไมโครซอฟท์ประกาศนำแอปในกลุ่ม Microsoft 365 มาลงใน App Store ของเฮดเซต Apple Vision Pro ซึ่งจะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าในอเมริกาวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้
โดยไมโครซอฟท์บอกว่าแอปที่นำมาลงได้แก่ Microsoft Teams, Word, Excel, PowerPoint, Outlook, OneNote และ Loop ทั้งหมดมาพร้อมกับฟีเจอร์ด้าน AI Copilot
ฟีเจอร์เฉพาะสำหรับ Vision Pro ในแต่ละแอปตัวอย่างเช่น PowerPoint กับ Word มีโหมดทำงานแบบ Immersive Environment เพื่อให้ทดลองซ้อมนำเสนอหรือเพิ่มโฟกัสในการทำงาน, Excel เพิ่มพื้นที่แสดงผลตาราง-กราฟ, Teams รองรับฟีเจอร์ persona ที่แสดงใบหน้า
Unity ออกเครื่องมือพัฒนาสภาพแวดล้อมแบบ spatial (จงอย่าเรียกว่า VR) มาต้อนรับการวางขายแว่น Apple Vision Pro หลังจากเปิดทดสอบแบบ Beta มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2023
การใช้งานจำเป็นต้องมี Unity 2022 LTS เป็นพื้นฐาน แล้วติดตั้ง visionOS build target โดยรองรับเฉพาะบน Mac ที่เป็นชิป Apple Silicon เท่านั้น
Unity ระบุว่าการสร้าง "ประสบการณ์ spatial" (จงอย่าเรียกว่าแอพ) สำหรับ visionOS มีความเป็นไปได้ 3 แบบคือ
แว่น Apple Vision Pro เตรียมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้แล้ว ล่าสุดบรรดาสื่อ และอินฟลูเอนเซอร์ของสหรัฐฯ เริ่มปล่อยบทวิจารณ์เบื้องต้นแล้ว หลายสื่อมีความเห็นว่าเป็นอุปกรณ์ที่ดูมีอนาคต และดูดีที่สุดในตลาดตอนนี้ แต่คำว่าอนาคตที่ว่านั้นกลับยังไม่มาถึง บางส่วนยังต้องปรับปรุงแม้ประสบการณ์ที่ได้รับจะดีมากก็ตาม แต่ที่อุปกรณ์ตัวนี้มีราคาแพงเกินไป โดยมีตัวอย่างบทวิจารณ์จากสื่อต่าง ๆ ดังนี้
Zoom เปิดตัวแอปใหม่บน Apple Vision Pro ซึ่งเป็นการนำแพลตฟอร์มการประชุมออนไลน์เข้าสู่โลก Spatial Computing ได้ประสบการณ์ใช้งานที่ใกล้กันมากขึ้น โดยแอปจะออกมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ พร้อมกับการส่งมอบ Vision Pro ลอตแรกในสหรัฐอเมริกา
Zoom บนระบบปฏิบัติการ visionOS ของ Vision Pro มีฟีเจอร์เด่นที่ดึงความสามารถของเฮดเซตนี้มาใช้งานด้วย ได้แก่ Personas ระบบสแกนใบหน้าผู้สวมใส่เฮดเซต เพื่อให้แสดงผลใบหน้าและการเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ขณะประชุม นอกจากนี้ยังสามารถเปิดการทำงาน immersive เพื่อสร้างบรรยากาศโดยรอบให้เสมือนอยู่ในห้องประชุมเดียวกับผู้ร่วมประชุมคนอื่นได้ด้วย
Meta Platforms บริษัทแม่ของ Facebook ซึ่งเปลี่ยนชื่อบริษัทตั้งแต่ปี 2021 เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นบริษัท Metaverse แต่ผ่านมาเกือบสามปี ส่วนธุรกิจ Reality Labs ที่รับผิดชอบด้าน Metaverse ยังมีรายได้น้อยกว่า 1% ของรายได้รวมทั้งหมด ก็อาจสะท้อนว่าตลาดโลกเสมือนนั้นยังไม่ได้ออกสู่กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปแบบธุรกิจโซเชียลมีเดีย
ก่อนหน้านี้ Netflix ออกมายืนยันว่าจะไม่มีแอปในสโตร์ของ Apple Vision Pro โดยให้เข้าใช้งานผ่านเบราว์เซอร์ Safari แทน ถึงแม้บริการสตรีมมิ่งหลายรายจะพัฒนาแอปมารองรับ และแอปเปิลเองก็เปิดให้พอร์ตแอปเวอร์ชัน iPad มาลงได้เลย
Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สายซัพพลายเชนที่ให้ข้อมูลสินค้าใหม่แอปเปิลอยู่เป็นประจำ รายงานข้อมูลของเฮดเซต Apple Vision Pro ที่เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในอเมริกาตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และตอนนี้สินค้าลอตแรกที่จะได้รับในวันแรก 2 กุมภาพันธ์ ก็หมดไปแล้ว จึงอาจสะท้อนว่าความต้องการสินค้ามีจำนวนมาก หรือสินค้าอาจมีไม่มากก็ได้
Mark Gurman แห่ง Bloomberg รายงานข่าวแอปเปิลในจดหมายข่าวประจำสัปดาห์ Power On โดยคราวนี้เขาพูดถึงปัญหาเฮดเซต Apple Vision Pro ที่อาจมีแอปภายนอกจากนักพัฒนาไม่มากพอ ซึ่งมาจากหลายสาเหตุรวมกัน
โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังแอปเปิลเปิดให้สั่งจอง Vision Pro ก็มีแอปรายใหญ่เช่น Netflix, YouTube และ Spotify ที่ส่งสัญญาณว่าจะไม่มีแอปเวอร์ชัน Vision Pro ออกมา และบอกให้ใช้งานผ่าน Safari บน Vision Pro แทน ถึงแม้ในฝั่งนักพัฒนาจะสามารถกดส่งแอป iPad มาใช้บนสโตร์ Vision Pro ได้เลย แต่ผู้พัฒนาเหล่านี้ก็เลือก opt-out
ข้อมูลที่แอปเปิลไม่เคยบอกเลยตั้งแต่เปิดตัวเฮดเซต Apple Vision Pro คือน้ำหนัก ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของฮาร์ดแวร์แว่นโลกเสมือน รีวิวที่ออกมาในช่วงแรกก็บอกเพียงไม่เบาแต่ไม่หนักมากจนเกินไป
แต่เมื่อแอปเปิลเปิดให้สั่งจอง Vision Pro ล่วงหน้า จึงมีข้อมูลสเป็กอย่างเป็นทางการออกมาแล้ว โดย Vision Pro เฉพาะส่วนเฮดเซต มีน้ำหนัก 600-650 กรัม ซึ่งน้ำหนักจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับส่วนสายรัดศีรษะที่เลือก ขณะที่แบตเตอรีแยกต่างหากนั้นมีน้ำหนักอีก 353 กรัม