ออราเคิลเปิดตัว Oracle Cloud ที่ปรับเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจของบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากซอฟต์แวร์แทบทุกตัวที่เคยขายให้องค์กรไปติดตั้งเอาเอง ถูกยกขึ้นไปอยู่บนกลุ่มเมฆและให้บริการแบบ hosted service แทน
แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ (ไมโครซอฟท์ก็ทำมาแล้วกับ Office 365 ซึ่งมันคือ Exchange/SharePoint เวอร์ชันกลุ่มเมฆ) แต่สิ่งที่น่าสนใจคือออราเคิลมีผลิตภัณฑ์และบริการเยอะมาก การยกทุกอย่างขึ้นไปอยู่บนกลุ่มเมฆจึงทำให้บริการน่าสนใจมากทีเดียว
Larry Ellison เองก็ใช้ตรงนี้เป็นจุดขายโดยพูดว่า "the most comprehensive Cloud on the planet Earth" และเขาบอกว่าเตรียมการเรื่องนี้มา 7 ปีเต็ม
Oracle Cloud แบ่งออกได้เป็น 3 หมวดใหญ่ๆ ครับ
Open Innovation Network (OIN) เป็นหน่วยงานที่เกิดขึ้นจากสมัยการฟ้องร้องลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรลินุกซ์ ทำให้บริษัทใหญ่ๆ ที่ใช้งานโอเพนซอร์สพากันเอาสิทธิบัตรมากองรวมกันเพื่อให้สมาชิกหยิบสิทธิบัตรไปฟ้องกลับได้หากถูกฟ้องจากหน่วยงานอื่น ล่าสุด Keith Bergelt ซีอีโอของ OIN ออกมาแสดงความยินดีกับคดีสิทธิบัตรจาวาระหว่างกูเกิลและออราเคิล โดยระบุว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ผู้พิพากษามีการตัดสินใจอย่างชัดเจนและมีการคิดวิเคราะห์อย่างมาก และการตัดสินเช่นนี้เป็นผลดีต่อชุมชน [โอเพนซอร์ส] โดยรวม
ทั้งกูเกิลและออราเคิลต่างก็เป็นสมาชิกของ OIN ทั้งคู่ แต่เนื่องจาก OIN ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องการฟ้องสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับเคอร์เนลลินุกซ์ เทคโนโลยีจาวาจึงไม่ครอบคลุมถึงข้อตกลงในการเข้าเป็นสมาชิกหน่วยงานนี้
คดีระหว่างออราเคิล-กูเกิลเดินทางมาถึงข้อยุติ (ในศาลชั้นต้น) เมื่อผู้พิพากษา William Alsup ตัดสินประเด็นสุดท้ายว่ากูเกิลไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ Java API ของออราเคิลแต่อย่างใด
(ข่าวเก่าสำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามคดีนี้ สรุปความคืบหน้าคดี Oracle vs Google และ คณะลูกขุนตัดสิน กูเกิลไม่ละเมิดสิทธิบัตรออราเคิล)
คำตัดสินของผู้พิพากษา Alsup คือ "ตราบเท่าที่โค้ดที่ใช้สร้าง API นั้นต่างกัน ทุกคนมีเสรีภาพในการเขียนโค้ดที่ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเท่ากับฟังก์ชันหรือเมธอดที่ใช้ใน Java API"
NetBeans IDE ยอดนิยมอีกตัวจากค่าย Oracle ออกรุ่น 7.2 Beta แล้ว ของใหม่ในรุ่นนี้ที่สำคัญคือการรองรับภาษา C++ รุ่นใหม่คือ C++11 และ PHP 5.4
ส่วนของตัว editor เองก็ปรับปรุงเพิ่มหลายจุด โดยเฉพาะการทำดัชนีเพื่อค้นหาข้อมูลภายในโค้ด ถูกนำไปรันเบื้องหลังและทำงานแบบขนาน นอกจากนี้ยังมีปุ่มลัด Ctrl+Space เพิ่มเติมคำใน search bar
Larry Ellison ซีอีโอแห่งออราเคิลขึ้นเวทีในงานสัมมนา D10 ของ All Things D โดยพูดถึงการซื้อซันเมื่อ 3 ปีก่อนว่าเป็นดีลที่สร้างกำไรให้กับออราเคิลมากที่สุดของบริษัท ถึงแม้นักวิเคราะห์จะมองว่ากลุ่มธุรกิจฮาร์ดแวร์ของออราเคิลยังดูไม่ค่อยดีเท่าใดนัก แต่เขายืนยันว่าในแง่ผลกำไรแล้วธุรกิจฮาร์ดแวร์ของออราเคิลนั้นสูงที่สุดในตลาด
คดีระหว่างออราเคิลกับกูเกิล ส่วนของสิทธิบัตรมีคำตัดสินแล้ว โดยคณะลูกขุน 10 คนลงมติว่ากูเกิลไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตรของออราเคิล
สำหรับคดีส่วนสิทธิบัตรนี้ ออราเคิลฟ้องกูเกิลข้อหาละเมิดสิทธิบัตร 2 ใบ รวมประเด็นที่ละเมิด 8 ประเด็น ผลของคำตัดสินนี้ทำให้ประเด็นเรื่องสิทธิบัตรตกไป และเหลือแค่ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์เท่านั้น (อ่านข่าวเก่า สรุปความคืบหน้าคดี Oracle vs Google ประกอบ)
คดีประวัติศาสตร์นี้เป็นข่าวตลอดมาในรอบเดือนนี้ (นับตั้งแต่เริ่มไต่สวนกันรอบใหม่) แต่หลายเรื่องที่เป็นข่าวก็เป็นประเด็นยิบย่อยเกินไป จนหลายครั้งไม่ได้นำมาเขียนเป็นข่าวบน Blognone (เช่น ใครมาให้การที่ศาลบ้าง) ดังนั้นขอสรุปเป็นข่าวเดียวแบบรวบรัดแทนนะครับ
ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า คดีระหว่างออราเคิลกับกูเกิลแยกการไต่สวนออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
คดีส่วนลิขสิทธิ์ แบ่งออกได้เป็นอีก 2 ประเด็นย่อย คือ
คดีระหว่างออราเคิลและกูเกิลในเรื่องของจาวา กำลังดำเนินเข้ามาสู่ช่วงแรก คือ คดีลิขสิทธิ์ ที่ออราเคิลกล่าวหาว่ากูเกิลใช้โค้ดบางส่วนของออราเคิลในแอนดรอยด์โดยตรง ในคำฟ้องคือฟังก์ชั่น rangeCheck
ที่กูเกิลอ้างว่าเป็นโค้ดเพียง 9 บรรทัดใน 15 ล้านบรรทัดเท่านั้น อย่างไรก็ดี แม้คณะลูกขุนจะระบุว่าการใช้งานโค้ดของกูเกิลนั้นเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่กลับไม่สามารถตัดสินได้ว่ามันเป็น "การใช้งานอย่างเป็นธรรม" (fair use) ซึ่งกฏหมายทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ ให้การรับรองไว้หรือไม่
ในส่วนของ API ที่เป็นชื่อฟังก์ชั่นและอาร์กิวเมนต์ของจาวานั้น คณะลูกขุนตัดสินว่ากูเกิลไม่ได้ละเมิด API ทั้ง 37 ชุดของจาวาแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของคอมเมนต์โค้ดของจาวา
ยักษ์สีฟ้า IBM ประกาศเปลี่ยนระบบซอฟต์แวร์บริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) จากเดิมที่ใช้ Siebel (ปัจจุบันเป็นบริษัทลูกของ Oracle ซื้อมาตั้งแต่ปี 2005) มาเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สอย่าง SugarCRM แทน
บริษัทที่รับเน้นๆ คือ SugarCRM ซึ่งเปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 2004 เพราะถือว่าได้ลูกค้ารายใหญ่ระดับ IBM มาอยู่ในมือ แต่เรื่องนี้มีนัยยะสำคัญกว่านั้น เพราะมันแสดงให้เห็นว่า IBM กำลังลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์จากบริษัทคู่แข่งอย่าง Oracle
IBM ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Siebel ในปัจจุบัน แต่การเสีย IBM ไปถือเป็นความเสียหายเชิงสัญลักษณ์มากกว่า เพราะ Siebel ยังมีลูกค้าเป็นองค์กรข้ามชาติขนาดใหญ่อีกมาก
ออราเคิลประกาศออก Java Standard Edition 7 Update 4 (เรียกย่อๆ ว่า Java SE 7u4) บน 4 ระบบปฏิบัติการคือ Windows, Linux, Solaris และ Mac OS X
สำหรับผู้ใช้ 3 ระบบปฏิบัติการแรกคงไม่มีอะไรแปลกไปจากการอัพเดตปกติ แต่สำหรับผู้ใช้ Mac OS X แล้ว ถือเป็นรุ่นสำคัญเพราะ
Jonathan Schwartz ซีอีโอคนสุดท้ายของซันก่อนขายกิจการให้ออราเคิล ไปให้การต่อศาลในฐานะพยานฝั่งกูเกิล
คดีระหว่างออราเคิลกับกูเกิล ทำให้เราได้เห็นเอกสารภายในของกูเกิล แสดงภาพต้นแบบของ Android ตั้งแต่ปี 2006 ที่กูเกิลนำเสนอไอเดียให้กับ T-Mobile ก่อนที่เราจะเห็นโครงการสำเร็จออกมาเป็น T-Mobile G1 ในปี 2008
จากภาพจะเห็นว่า "Google Phone" รุ่นแรกหน้าตาจะออกไปทาง BlackBerry แต่ไอเดียเรื่องกูเกิลเป็นคนผลิตมือถือ และเชื่อมต่อกับบริการของกูเกิลนั้นยังใช้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ในเอกสารของกูเกิลตอนนั้นบอกว่ากำลังทำ Gmail, Gtalk, Google Calendar บนมือถือตัวนี้อยู่
สเปกของ Google Phone ที่ระบุในตอนนั้นคือซีพียู ARMv9 200MHz, RAM 64MB, ROM 64MB, mini SD, กล้อง 2MP พร้อมปุ่มชัตเตอร์แยก, USB, Bluetooth 1.2, จอ QVGA ไม่จำเป็นต้องเป็นจอสัมผัส, ปุ่ม soft button อย่างน้อยสองปุ่ม
ออราเคิลถูกหน่วยงานกำกับโฆษณาแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Advertisement Division - NAD) เตือนเรื่องโฆษณาที่เปรียบเทียบระหว่างเซิร์ฟเวอร์ SPARC SuperCluster T4-4 กับ IBM Power 795 ที่ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ของออราเคิลนั้นเร็วเป็นสองเท่าและราคาถูกกว่า 3.3 ล้านดอลลาร์ ว่าการโฆษณาว่าเร็วกว่าสองเท่านั้นสามารถตีความได้ผิดว่าเซิร์ฟเวอร์ของออราเคิลนั้นเร็วกว่าสองเท่าในทุกรณี และราคา 4.5 ล้านดอลลาร์ของไอบีเอ็มก็เทียบราคารวมกับ storage ไม่ได้เทียบเฉพาะตัวเซิร์ฟเวอร์
งานนี้หน่วยงานกำกับระบุให้ออราเคิลระบุให้ชัดเจนว่าจะเปรียบเทียบกับสินค้ารุ่นใดและรายละเอียดเช่นใดของคู่แข่ง และให้หยุดการอ้างว่า "SPARC SuperCluster T4-4 รันออราเคิลและจาวาเร็วกว่าเครื่องที่เร็วที่สุดของไอบีเอ็มสองเท่าตัว"
วันนี้เป็นคิวของ Larry Page ซีอีโอของกูเกิลที่ต้องขึ้นให้การต่อศาลในคดีระหว่างออราเคิลกับกูเกิลที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ แต่ดูท่าทางของ Larry Page จะไม่ค่อยดีนัก โดยเมื่อ Larry Page ถูก David Boies ซึ่งเป็นทนายความของฝั่งออราเคิลถามคำถามใดๆ เขามักจะแสดงท่าทางไม่สบายใจ, ไม่ค่อยสบตากับ David Boies และปฏิเสธว่าจำเอกสารภายในของกูเกิล (ที่ออราเคิลนำมาใช้ในการสู้คดี) ไม่ได้อยู่บ่อยๆ
กระบวนการพิจารณาคดีระหว่างออราเคิลกับกูเกิลเรื่องสิทธิบัตร Android/Java ในวันที่สองยังคงดำเนินต่อไป แต่วันนี้ก็มีประเด็นที่น่าสนใจในช่วงการให้การต่อศาลของ Larry Ellison ซีอีโอออราเคิล โดยเขากล่าวว่าก่อนหน้าที่มีจะมีการฟ้องร้องกูเกิลนั้น ออราเคิลเองก็มีความสนใจที่จะขยายธุรกิจของตนมาทำสมาร์ทโฟนอยู่เหมือนกัน (Java Phone?)
ความคืบหน้าของคดีประวัติศาสตร์ระหว่างออราเคิลกับกูเกิล ในเรื่องสิทธิบัตร-ลิขสิทธิ์ของ Android/Java ครับ
คดีสิทธิบัตร-ลิขสิทธิ์ระหว่างออราเคิลกับกูเกิล ในประเด็นเรื่อง Java/Android จะกลับมาไต่สวนกันต่อวันที่ 16 เมษายนนี้
ในเอกสารฉบับล่าสุดที่กูเกิลยื่นต่อศาล กูเกิลระบุว่าถ้าหากออราเคิลสามารถพิสูจน์ได้ว่า Android ละเมิดสิทธิบัตรของ Java จริง (สิทธิบัตรมี 2 ชิ้น) กูเกิลจะยอมจ่ายเงินให้ออราเคิลและหยุดสู้คดีทันที แต่นั่นหมายความว่าออราเคิลจะต้องเห็นชอบกับตัวเลขค่าเสียหายที่กูเกิลเสนอด้วย
กูเกิลจะจ่ายค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิบัตรย้อนหลังให้ 2.8 ล้านดอลลาร์ และสำหรับค่าเสียหายในอนาคต กูเกิลจะจ่ายเงิน 0.5% จากรายได้ Android ให้กับสิทธิบัตรหนึ่งชิ้น (จนกว่าจะหมดอายุเดือนธันวาคมปีนี้) และ 0.015% สำหรับสิทธิบัตรอีกหนึ่งชิ้น (หมดอายุปี 2018)
ก่อนเข้าข่าวต้องปูพื้นก่อนนิดนึงว่า ผลิตภัณฑ์หลักของ Red Hat ในตอนนี้คือ Red Hat Enterprise Linux (RHEL) ซึ่งเปิดซอร์สโค้ด แต่ไม่แจกไบนารี (ดังนั้นถ้าอยากได้อัพเดตก็ต้องเสียเงินค่า subscription/support)
เมื่อ RHEL เปิดซอร์สโค้ด ก็มีองค์กรหลายแห่งเอาซอร์สไปทำดิสโทรของตัวเอง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ CentOS (ฟรีทั้งหมดแต่อัพเดตช้าหน่อย)
ฝั่งของ Oracle ก็มี Oracle Linux ที่นำซอร์สโค้ดของ RHEL มาปรับแต่งให้เหมาะกับการรันแอพพลิเคชันของตัวเอง (แต่การทำงานข้างในยังเหมือน RHEL เกือบทั้งหมด) และใช้วิธีขาย subscription/support เหมือนกัน ซึ่งก็ถือว่าเจาะตลาดของ Red Hat ไปบางส่วน (โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อยากรัน Oracle 11g บน RHEL ก็หันมาใช้ Oracle Linux แทนจะดีกว่า)
ออราเคิลรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามตามปฏิทินการเงินบริษัท รายได้เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนอยู่ที่ 9.1 พันล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 13% เป็น 3.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดกันไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อแยกรายได้ตามส่วนธุรกิจ ค่าขายไลเซนส์ซอฟต์แวร์ใหม่เพิ่มขึ้น 7% ค่าขายซอฟต์แวร์และการสนับสนุนหลังการขายเพิ่มขึ้น 8% ส่วนยอดขายฮาร์ดแวร์ลดลงถึง 16% ซึ่งออราเคิลอธิบายเพิ่มเติมว่าถ้าพิจารณาเฉพาะสินค้าตระกูล Exadata จะมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 139%
ออราเคิลทำระบบปฏิบัติการลินุกซ์ของตัวเองมาตั้งแต่ปี 2006 โดยนำซอร์สโค้ดของ Red Hat Enterprise Linux (RHEL) มาพัฒนาต่อ (ซึ่งไม่ผิดสัญญาอนุญาตตาม GPL) และขายในชื่อ Oracle Enterprise Linux (ภายหลังเปลี่ยนเป็น Oracle Linux เฉยๆ)
สิ่งสำคัญที่เพิ่มเข้ามาคือเคอร์เนลของ Oracle Linux ที่ออราเคิลปรับแต่งให้เหมาะสมกับการรันฐานข้อมูลของตัวเองมากขึ้น ตัวเคอร์เนลนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Unbreakable Enterprise Kernel ซึ่งของเดิมพัฒนาอยู่บนเคอร์เนลเวอร์ชัน 2.6
ไม่รู้ว่ายังมีใครใช้กันอยู่ไหมนะครับ แต่หลังจากที่ออราเคิลออก JavaFX 2.0 เมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ถึงเวลาที่ JavaFX รุ่นก่อนหน้าจะต้องจากไป
ถึงแม้ออราเคิลออก Java SE 7 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2011 แต่นักพัฒนาจำนวนมากก็ยังใช้ Java SE/JDK 6 กันอย่างแพร่หลาย จนออราเคิลต้องยืดอายุการพัฒนา-ดูแลรักษาออกไปอีก 4 เดือน จากเดิมที่จะหยุดพัฒนาในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ไปเป็นเดือนพฤศจิกายนแทน
ต้องอธิบายนิดนึงว่า ระยะเวลาในที่นี้คือ end-of-life (EOL) ไม่ใช่ระยะเวลาของการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ (support) ที่จะยาวนานกว่านั้นมาก ในกรณีนี้ เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน 2012 ออราเคิลจะปิดไม่ให้ดาวน์โหลด Java SE 6 แต่คนที่จ่ายเงินซื้อบริการหลังขายจะยังใช้ไปได้ถึงปี 2016 ครับ
หลังจากออราเคิลเข้าซื้อซัน เรื่องหนึ่งที่หลายๆ คนกลัวคือออราเคิลจะเอา MySQL ไปดองไว้เพื่อขาย Oracle DB เป็นหลัก แต่การออก MySQL Cluster 7.2 น่าจะช่วยลดความกังวลใจนี้ไปได้
ฟีเจอสำคัญของ MySQL Cluster 7.2 คือการเร่งความเร็วการคิวรีขึ้นถึง 70 เท่าจากฟีเจอร์ Adaptive Query Localization ที่ดันงานประมวลผลลงไปอยู่ที่โหนดลูกแทนที่จะนำขึ้นมาประมวลที่โหนดหลัก นอกจากการคิวรีตามปรกติแล้วยังมี NoSQL API ที่ได้ประโยชน์จากการกระจายงานจนรองรับการคิวรีได้มากกว่าพันล้านครั้งต่อชั่วโมงบรเครื่อง x86 จำนวน 8 เครื่อง
มีรุ่น GPL ให้ดาวน์โหลดใช้งานฟรีเช่นเดิม ส่วนถ้าใครอยากให้มีซัพพอร์ตก็มีขายเช่นกัน
Oracle เข้าซื้อกิจการบริษัท Taleo Corporation ผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ทรัพยากรบุคคลในองค์กร ด้วยมูลค่าประมาณ 1.9 พันล้านดอลลาร์
Taleo เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ โดยการซื้อครั้งนี้ Oracle เสนอราคา 46 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งผู้ถือหุ้นของ Taleo ก็อนุมัติด้วยดี
Taleo มีผลิตภัณฑ์อย่าง Talent Management Cloud ช่วยให้องค์กรสามารถตามติดพัฒนาการของพนักงานได้สะดวกจากหน้าเว็บ และมีลูกค้าเป็นองค์กรขนาดใหญ่ของสหรัฐ การซื้อกิจการครั้งนี้ยิ่งทำให้การขับเคี่ยวกันระหว่าง Oracle กับ SAP ยิ่งเข้มข้นขึ้น เพราะ SAP ก็กำลังเข้าซื้อกิจการของ SuccessFactors ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Taleo แต่ยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการดี
แม้ภาษาที่ได้รับความนิยมสูงๆ นั้นจะเกาะกลุ่มเดิมๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง แต่ภาษาบางกลุ่มแม้จะไม่ได้รับความนิยมมากนักแต่ก็มีกลุ่มผู้ใช้ที่ชัดเจนสามารถสร้างฐานผู้ใช้เฉพาะทางที่เหนียวแน่น เช่นภาษา R ที่รองรับงานด้านสถิติได้เป็นอย่างดี งานนี้ออราเคิลก็ประกาศรองรับ R อย่างเป็นทางการ
Oracle Advanced Analytics เป็นชุดรวมระหว่าง Oracle R Enterprise กับ Oracle Data Mining พร้อมกับสามารถทำงานร่วมกับ Hadoop ที่เชื่อมกับฐานข้อมูลด้วย Oracle Big Data Connectors ได้ด้วย โดยออราเคิลอ้างว่า Advanced Analytics จะทำความเร็วได้กว่าเดิมตั้งแต่ 10 ถึง 100 เท่าตัว
บ้านเราคาดว่านักเรียนสายการเงินใช้ R กันเยอะพอสมควร งานนี้อาจจะมีออราเคิลเข้าไปให้นั่งเรียนเพิ่มกันอีกตัว