จากข่าว Vic Gundotra หัวหน้าทีม Google+ กำลังจะลาออกจาก Google เว็บไซต์ TechCrunch รายงานข่าววงในว่ากูเกิลเองก็จะปรับยุทธศาสตร์ที่มีต่อ Google+ ไปในโอกาสเดียวกัน

อย่างแรกคือ กูเกิลจะไม่มองว่า Google+ จะเป็นผลิตภัณฑ์ (product) ที่เอาไว้แข่งกับเครือข่ายสังคมอื่นๆ โดยตรง แต่จะมองว่ามันเป็นแพลตฟอร์ม (platform)

ประเด็นถัดมาคือมีข่าวลือว่ากูเกิลจะโยกย้ายทีมงาน Google+ บางส่วน (ปัจจุบันมีราว 1,000-1,200 คน) ไปทำงานอย่างอื่น เท่าที่มีข้อมูลคือทีม Google Hangouts จะย้ายไปอยู่กับทีม Android ส่วนทีมอื่นๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

กูเกิลเปิดตัว +Post Ads โฆษณาแนวใหม่ที่นำโพสต์ (ข้อความ-ภาพ-วิดีโอ) จาก Google+ ของแบรนด์ต่างๆ ไปแสดงเป็นโฆษณาในตำแหน่งเดียวกับแบนเนอร์ในเครือข่ายโฆษณา Google Display Network ของกูเกิล (ข่าวการทดสอบระบบก่อนหน้านี้)

สิ่งที่ +Post Ads ต่างไปจากแบนเนอร์ปกติคือมันไม่ใช่แค่เป็นภาพหรือวิดีโอ แต่มันสามารถกด +1, แชร์, คอมเมนต์ ได้เช่นเดียวกับโพสต์ในระบบ Google+ ตามปกติ ซึ่งกูเกิลบอกว่าอัตราการมีปฏิสัมพันธ์ (engagement) สูงกว่าโฆษณาอินเทอร์แอคทีฟทั่วไปถึง 50% เลยทีเดียว

ผู้ใช้ Google+ คงคุ้นเคยกับฟีเจอร์ Auto Backup แบ็คอัพภาพถ่ายจากมือถือมาเก็บไว้พร้อมแชร์บนเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิลโดยอัตโนมัติ วันนี้กูเกิลไปไกลกว่านั้นอีกขั้น โดยภาพที่เก็บผ่านระบบ Auto Backup สามารถใช้กับ Gmail เวอร์ชันเว็บได้ด้วย

วิธีการไม่มีอะไรยุ่งยาก แค่กดปุ่ม Insert Photo ใน Gmail เราจะเห็นหน้าจอ Google Photos โผล่ขึ้นมา (แบบเดียวกับตอนแชร์ภาพใน Google+) ซึ่งเราสามารถเลือกรูปแล้วส่งไปพร้อมกับอีเมลได้เลย

เท่านั้นยังไม่พอครับ ในกรณีที่เราอยากแชร์ภาพเป็นอัลบั้มก็สามารถส่งไปกับอีเมลได้ และสามารถปรับขนาดภาพที่จะส่งในหน้า Gmail ได้โดยตรง

ที่มา - Gmail Blog

Google+ มีลูกเล่นใหม่เพิ่มขึ้นมาเพื่อตกแต่งรูปภาพอีกแล้ว โดยครั้งนี้คือฟีเจอร์ชื่อ Auto Awesome Photobombs ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตกแต่งภาพของตนเองโดยการแทรกรูปของเหล่าคนดังลงในรูปของตนเองได้ไม่ยาก

ประเดิมฟีเจอร์ด้วยภาพชุดแรกของ David Hasselhoff ดารานักแสดงและนักร้อง ในลีลาต่างๆ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกนำไปใส่ในรูปของตนเองเพื่อเพิ่มสีสันบรรยากาศให้ดูสนุกสนานไม่ซ้ำใคร

สามารถชมภาพตัวอย่างได้ท้ายข่าว

ที่มา - Google Official Blog

ในงานวิจัยของ Nate Elliott ได้ทำผลสำรวจการมีส่วนร่วมของโพสต์จากแบรนด์ในรูปของเปอร์เซ็นต์ พบว่า Facebook นั้นมาเป็นอันดับหนึ่งคือ .073% ตามติดมาด้วย Google+ .069% และ Twitter .035%

น่าแปลกใจตรงที่ Google+ นั้นเกิดหลัง Twitter แต่กลับมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้ รวมถึงการมีส่วนร่วมในโพสต์ของแบรนด์นั้นสูงมากกว่า Twitter ถึงเกือบๆ สองเท่าเลยทีเดียว

ที่มา - Mashable

จากเดิมเมื่อเวลาเราโพสต์ลิงก์ใน Google+ จะโชว์ภาพทัมบ์เนลขนาดเล็กและหัวข้อ ตอนนี้ Google+ เริ่มเปลี่ยนมาแสดงพรีวิวลิงก์ด้วยรูปขนาดใหญ่แล้ว (ลักษณะจะคล้ายๆ กับการโพสต์ลิงก์ใน Facebook ปัจจุบัน) ดูตัวอย่างได้ที่ท้ายข่าว

ที่มา - The Next Web

กูเกิลเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ Google+ Communities ด้วยการรองรับการปักหมุดโพสต์ไว้ด้านบนสุดของชุมชน โดยในขณะนี้ยังสามารถปักหมุดโพสต์ได้เพียง 1 โพสต์เท่านั้นครับ - Google+ Daily

นอกจากนี้กูเกิลยังออกอัพเดตแอพ Google+ บน iOS เวอร์ชัน 4.6.2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ครับ

• รองรับการปักหมุดโพสต์ในชุมชน
• ปรับหน้า "มาแรง (What's Hot)" ใหม่ ดูหัวข้อที่กำลังได้รับความนิยมได้เหมือนบนเว็บและแอนดรอยด์
• ตั้งค่าการรายงานตำแหน่งได้จากภายในแอพ

ที่มา - App Store

Google+ for Android อัพเดตใหม่ เพิ่มฟีเจอร์ด้านการแต่งภาพเข้ามาอีกชุดใหญ่

Google ประกาศฟีเจอร์ใหม่ที่รวมระหว่าง Gmail และ Google+ เข้าด้วยกัน เมื่อเราต้องการจะส่งอีเมล ระบบจะแสดงอีเมลของคนที่เป็นคอนแท็กต์ของเราและคนที่เป็นคอนเน็กชันของเราใน Google+ โดยที่อีเมลของคนที่ถูกส่งถึงนั้นจะไม่แสดงจนกว่าเขาจะส่งเมลตอบกลับมา โดยเราสามารถตั้งค่าได้ด้วยว่าจะให้คนใน Google+ ส่งเมลมาหาเราได้หรือไม่

ถ้าใครยังไม่ได้ฟีเจอร์นี้ก็อาจจะต้องรอหน่อย เพราะเขาทยอยปรับระบบให้ทุกคนได้ใช้กันอยู่ในอีกไม่นานนี้

โปรแกรม Picasa บนวินโดวส์และแมค เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เป็นโปรแกรมเสริมชื่อ Google+ Auto Backup (ติดตั้งแยกกัน-ลบเฉพาะโปรแกรมนี้ได้) ช่วยแบ็คอัพรูปภาพที่เก็บอยู่ในโปรแกรม Picasa ขึ้นไปเก็บบน Google+

การทำงานจะเหมือนกับแอพ Google+ บนอุปกรณ์พกพาคือการแบ็คอัพจะรันอัตโนมัติอยู่เบื้องหลัง โดยขณะแบ็คอัพเราจะเห็นไอคอนของ Google+ Auto Backup อยู่ที่ system tray ของระบบ สั่งหยุดพักการอัพโหลดได้เหมือนโปรแกรม Google Drive

ถ้ารูปภาพมีขนาดไม่ใหญ่เกิน 2048px ก็จะไม่ถูกคิดเนื้อที่ใน Google Drive เช่นเดียวกับการแบ็คอัพรูปด้วย Google+ บนอุปกรณ์พกพา

ที่มา - Google Operating System

Steve Grove หัวหน้าทีม Community Partnership ของ Google+ ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ LiveMint.com ถึงอนาคตของ Google+ ในประเด็นต่างๆ ดังนี้

เราเห็นข่าว Facebook ทำฟีเจอร์ Year in Review รวมโพสต์เด่นประจำปี 2013 ของผู้ใช้แต่ละคนให้เจ้าตัวดูระลึกความหลังว่าปีนี้ทำอะไรมาบ้าง

ฝั่ง Google+ ก็ไม่ยอมแพ้ และล้ำกว่าตรงที่นำฟีเจอร์ Auto Awesome (Auto Awesome สำหรับวิดีโอ) มาประยุกต์ใช้ โดยผู้ใช้ Google+ ที่สั่งให้แบ็คอัพภาพจากมือถืออัตโนมัติ จะเห็นคลิปวิดีโอส่วนตัวที่ Google+ นำภาพของเรามาคัดเลือกเป็นคลิป Year in Review ให้โดยผู้ใช้ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม

กูเกิลบอกว่าผู้ใช้ Google+ จะทยอยได้รับการแจ้งเตือนว่ารวมคลิปให้แล้ว (ของผมก็ได้แล้วนะครับ) ตัวอย่างคลิปดูได้ท้ายข่าว

ที่มา - +Vic Gundotra

Google กำลังทดสอบระบบโฆษณาใหม่ +Post ซึ่งอนุญาตให้แบรนด์ต่างๆ สามารถดึงเนื้อหาที่โพสต์บนหน้า Google+ ของตนเอง ไปแสดงผลผ่านพื้นที่โฆษณาในเครือข่าย Google Display Network

+Post จะดึงข้อความล่าสุดที่แบรนด์ได้โพสต์อย่างสาธารณะบนหน้า Google+ ของตนเอง ซึ่งอาจมีภาพประกอบ, มีคลิปวิดีโอแนบ หรือมีกระทั่งปุ่มเชิญเข้าร่วมการสนทนา Hangouts โดยทั้งหมดนั้นจะถูกนำไปแสดงผ่านพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ในเครือข่าย Google Display Network

ต้อนรับช่วงเทศกาลประจำปีกันด้วยความสามารถใหม่เล็กๆ น้อยๆ จาก Auto Awesome หรือระบบตกแต่งรูปอัตโนมัติบน Google+ ครับ กับความสามารถในการเพิ่ม "แสงไฟระยิบระยับ" (Twinkle) และ "หิมะโปรยปราย" (Snow) เข้ามาในภาพถ่ายที่ตรงกับสถานการณ์ทันที

โดยความสามารถใหม่นี้จะตรวจจับจากรูปที่มีอะไรที่ดูเปล่งแสงออกมา แล้วใส่เอฟเฟกต์ระยิบระยับเพิ่มให้ หรือมีภาพฉากหลังที่เป็นหิมะจำนวนมาก Auto Awesome ก็จะแต่งให้ดูเหมือนมีหิมะโปรยตลอดเวลา (ภาพประกอบท้ายข่าว -- โปรดระวังรูปขนาดใหญ่)

ที่มา: Gizmodo

เหตุผลหนึ่งในการเปลี่ยนระบบคอมเมนต์แบบใหม่ของ YouTube ที่ผูกกับ Google+ คือการสร้างตัวตนของผู้ใช้เพื่อแก้ปัญหาสแปม-คอมเมนต์หยาบคายหรือโจมตีกัน แต่มันกลับมีช่องโหว่ให้สแปมเมอร์ใช้งานซะอย่างงั้น

จุดอ่อนสำคัญคือระบบโพสต์ของ Google+ นั้นอนุญาตให้ผู้ใช้โพสต์ลิงก์ ทำให้บรรดาสแปมเมอร์สร้างบัญชี Google+ มาโพสต์คอมเมนต์สแปมพร้อมลิงก์ลงใน YouTube กันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ระบบการแสดงผลคอมเมนต์แบบใหม่ยังให้คะแนนตามจำนวนคอมเมนต์ reply ทำให้คอมเมนต์ที่มีปัญหามากๆ (คนเข้ามาด่าคอมเมนต์กันเยอะ) ยิ่งถูกแสดงผลให้เห็นเยอะขึ้นไปอีก

หลังจาก YouTube เริ่มใช้ระบบคอมเมนต์แบบใหม่ที่ผูกกับ Google+ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็อย่างที่หลายคนคาดคือ "ผู้ใช้จำนวนมากรุมประท้วง" นั่นเองครับ

จุดประท้วงหลักที่ใหญ่ที่สุดคงเป็นแคมเปญบน change.org ที่ต้องการให้กูเกิลกลับไปใช้ระบบคอมเมนต์แบบเดิม ตอนนี้มีคนมาลงชื่อสนับสนุนแล้ว 178,933 คน (ตั้งเป้า 200,000 คน)

ถ้ายังจำกันได้ เมื่อกลางปีนี้ กูเกิลปิดบริการรายงานพิกัด Google Latitude และบอกให้ไปใช้ Google+ ที่มีฟีเจอร์ด้านการแชร์พิกัดแทน แต่ในความเป็นจริงคือ Google+ ในช่วงนั้นยังรองรับเฉพาะการรายงานพิกัดแบบโพสต์เป็นครั้งๆ ไปเท่านั้น ไม่มีการอัพเดตอัตโนมัติแบบ Latitude

อย่างไรก็ตาม Google+ for Android เวอร์ชันล่าสุด (4.2.3) รองรับฟีเจอร์แบบ Latitude แล้ว เมื่อเราเปิดหน้า Locations ขึ้นมาจะแสดงพิกัดของเพื่อนๆ ที่แชร์ไว้ให้ดูบนแผนที่ และอัพเดตพิกัดโดยอัตโนมัติ

ฟีเจอร์อย่างหนึ่งของ Android 4.4 คือแอพโทรศัพท์ตัวใหม่ smart caller ID (ข่าวเก่า) ซึ่งจะไปดึงข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของร้านค้าหรือสำนักงานต่างๆ ในระบบของ Google Maps หรือ Google Apps มาแสดงให้เราเห็นด้วยเมื่อมีสายเข้าจากหมายเลขโทรศัพท์เหล่านี้

อย่างไรก็ตาม Attila Bodis หนึ่งในทีมงาน Android ก็ประกาศข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลังว่า ฟีเจอร์นี้จะครอบคลุมถึงเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวด้วย โดยกูเกิลจะดึงภาพอวตารหรือภาพแทนตนของเจ้าของเบอร์จาก Google+ มาแสดง ไม่ว่าจะเป็นสายโทรเข้าหรือโทรออกก็ตาม (สรุปง่ายๆ ว่าโทรหาคนไม่รู้จักหรือคนไม่รู้จักโทรมา ถ้าเบอร์นั้นตรงกับโพรไฟล์ใน Google+ เราจะเห็นภาพที่ใช้แทนตัวด้วยเลย)

YouTube เพิ่งเปิดตัวระบบคอมเมนต์แบบใหม่ที่ผูกกับ Google+ ไปได้ไม่กี่เดือน ล่าสุดก็ประกาศว่าจะเริ่มใช้ระบบคอมเมนต์แบบใหม่นี้แล้ว

จุดเด่นของระบบคอมเมนต์แบบใหม่คือสามารถคอมเมนต์แบบ private ได้ (ตาม circle ของ Google+) และระบบก็จะนำคอมเมนต์ของคนที่เรารู้จักใน Google+ (หรือคนสำคัญอย่างผู้สร้างวิดีโอนั้น หรือคนดังในโลกออนไลน์) มาแสดงข้างบนให้เห็นกันง่ายๆ

ในส่วนของเจ้าของวิดีโอก็ยังได้ฟีเจอร์เรื่องการบริหารจัดการคอมเมนต์ที่ดีขึ้น เช่น การบล็อคคีย์เวิร์ด หรือกำหนดว่าสำหรับแฟนคลับบางคนสามารถคอมเมนต์แล้วขึ้นหน้าแรกโดยอัตโนมัติ (whitelist) เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ Google+ ได้ประกาศให้ใช้ custom URL กับเพจและโปรไฟล์ Google+ ของผู้ใช้บางกลุ่ม ส่วนมากจะเป็นคนดัง (เพื่อป้องกันตัวปลอมมาแย่งจองชื่อ) แต่ตอนนี้กูเกิลได้เริ่มขยายการใช้ custom URL มากขึ้นไปอีก โปรไฟล์ของผู้ใช้ที่จะได้ใช้ custom URL ของ Google+ จะต้องเข้าเงื่อนไขดังนี้

ต่อเนื่องจากการอัพเดตฟีเจอร์ใหม่ให้กับ Hangouts for Android เมื่อคืนยังมีอีกแอพอย่าง Google+ Photo ที่ได้ฟีเจอร์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากโข โดยมากเน้นไปที่การอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ได้ภาพที่สวยขึ้นแบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์ทั้งหมดไล่เป็นข้อๆ ได้ดังนี้ครับ

• เริ่มต้นกันที่ผู้ใช้ iOS จะได้ฟีเจอร์รองรับการแบ็คอัพภาพเต็มความละเอียด เป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มความสามารถจากของเดิมที่อัพโหลดภาพอัตโนมัติอยู่แล้ว และจะได้ฟีเจอร์ซิงก์ภาพแม้ว่าตัวแอพจะรันอยู่เบื้องหลังด้วย ซึ่งตรงนี้ผู้ใช้แอนดรอยด์ได้มาก่อนแล้ว

• ฟีเจอร์การค้นหาภาพแบบใหม่ที่สามารถพิมพ์เพื่อหาภาพได้ (เช่นพิมพ์คำว่าชายหาด ก็จะได้ภาพชายหาดเป็นต้น) ค้นหาได้ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ

เมื่อคืนนี้กูเกิลจัดงานแถลงข่าวฟีเจอร์ใหม่ของ Google+ หลายอย่าง เริ่มจากส่วนของ Hangouts ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ด้านการสื่อสารของกูเกิลก่อนนะครับ

แอพ Hangouts for Android ได้ฟีเจอร์ใหม่ 3 อย่าง

เมื่อคืนนี้กูเกิลมีแถลงข่าวฟีเจอร์ใหม่ของ Google+ (เดี๋ยวแยกเป็นอีกข่าวนะครับ) และได้เปิดเผยสถิติการใช้งาน Google+ รอบล่าสุดดังนี้

ถ้าให้อธิบายข่าวนี้แบบสั้นๆ คือกูเกิลกำลังจะทำแบบเฟซบุ๊กที่โฆษณามีบอกว่า "เพื่อนเราคนไหนไลค์เพจนี้" นั่นล่ะครับ

กูเกิลประกาศปรับเงื่อนไขการให้บริการ (Terms of Service) ใหม่ โดยประเด็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือการแก้ไขให้กูเกิลมีสิทธินำ "ชื่อและรูปภาพของผู้ใช้" (จาก Google Account/Google+) ไปแสดงในโฆษณาของกูเกิล เช่น ร้านอาหารหรือแอพที่เราเคยรีวิวให้คะแนนไว้ในระบบของกูเกิล เวลาเพื่อนของเรามาเห็นโฆษณานี้ก็จะเห็นใบหน้า ชื่อ และคะแนนรีวิวของเรา

Google Search เพิ่มฟีเจอร์การค้นหาด้วย #hashtag ได้แล้ว โดยผลการค้นหาส่วนหลัก (ซีกซ้ายของจอ) จะยังแสดงรายชื่อเว็บเหมือนเดิม แต่ฝั่งขวามือของหน้าจอจะเพิ่มโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับ hashtag นั้นๆ จาก Google+ มาแสดงด้วย

โพสต์จาก Google+ ที่ผู้ใช้เห็นในหน้าผลการค้นหา จะมีแค่โพสต์แบบสาธารณะ และโพสต์ที่เจ้าของตั้งค่าแชร์ให้ตัวผู้ค้นหามีสิทธิมองเห็นเท่านั้น

เบื้องต้นยังใช้ได้เฉพาะ google.com และ google.ca ในสหรัฐและแคนาดาเท่านั้นครับ

ที่มา - +Zaheed Sabur via Search Engine Land