จากเหตุการณ์อื้อฉาวของ Facebook ที่มีข้อมูลผู้ใช้หลุด 50 ล้านบัญชี ก่อให้เกิดกระแส #DeleteFacebook ชักชวนให้ปิดบัญชี Facebook ของเราทิ้ง

ล่าสุด Elon Musk ได้สั่งปิดเพจของ Tesla และ SpaceX แล้ว โดยเหตุการณ์เริ่มจากทวีตของ Brian Acton ผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp ที่ออกมาสนับสนุนกระแส #DeleteFacebook เมื่อสามวันก่อน และ Elon Musk ได้ตอบทวีตของ Brian เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาว่า "อะไรคือ Facebook?" จากนั้นมีผู้ใช้ทวิตเตอร์คนหนึ่งท้ากลับไปหา Elon ว่า "ลบเพจของ SpaceX ออกจาก Facebook สิถ้าแน่จริง" ซึ่ง Elon ก็รับคำท้า และทวีตว่า "ผมไม่รู้นะว่ามีเพจนี้ด้วย จะลบมัน"

เหตุการณ์ Cambridge Analytica ยังมีผลกระทบตามมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Elon Musk จัดการลบเพจของ ทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว

เริ่มจากการที่ Musk ไปแซว Brian Acton อดีตผู้ก่อตั้ง WhatsApp ที่หนุนกระแส #deletefacebook (ข่าวเก่า) จากนั้นจึงมีคนไปท้าให้เขาลบเพจของ SpaceX ซึ่ง Musk ตอบว่าเขาเพิ่งรู้ว่ามีเพจของบริษัทด้วยและจะลบแน่นอน หลังนั้นก็มีคนท้าให้ลบเพจของ Tesla ด้วย ซึ่ง Musk ก็รับปากทันทีแถมยังกล่าวว่ายังไงมันก็ดูไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว ซึ่งเพจทั้งสองก็หายไปในเวลาไม่นาน

ทั้งสองเพจมีผู้ติดตามรวมประมาณ 2.5 ล้านคนก่อนที่จะถูกลบไป

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา SpaceX ได้ทดลองยิงจรวดรุ่นใหม่ Falcon Heavy เป็นครั้งแรก และถือว่าภารกิจทั้งหมดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ล่าสุด Elon Musk ผู้ก่อตั้ง SpaceX ได้ไปพูดเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศที่งาน SXSW (South by Southwest Conference) ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส พร้อมปล่อยวิดีโอรวมภาพและคลิปต่างๆ ให้ได้ชมกัน

ในวิดีโอมีทั้งคลิปบรรยากาศผู้คนที่มารอสังเกตการณ์การยิงจรวด, บรรยากาศของกลุ่มพนักงาน SpaceX, จังหวะที่ยิงออกจากฐานเรื่อยไปจนถึงการปล่อยรถ Tesla Roadster พร้อมหุ่นจำลอง "Starman" สวมชุดอวกาศ ก่อนจะจบด้วยการบินกลับมาลงจอดของบูสเตอร์ตัวซ้ายและขวา

คล้อยหลังการยิงจรวด Falcon Heavy มาราว 2 สัปดาห์ เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา SpaceX ได้ยิงจรวด Falcon 9 อีกครั้ง ภารกิจหลักคราวนี้เป็นการปล่อยดาวเทียม Paz ให้บริษัท Hisdesat จากสเปน ซึ่ง Paz เป็นดาวเทียมถ่ายภาพให้กับรัฐบาลสเปนและลูกค้าอื่นๆ

นอกจากนี้ยังมีภารกิจรอง คือการปล่อยดาวเทียมขนาดเล็ก 2 ดวง ที่ระดับ low-Earth orbit (LEO) ชื่อ Microsat-2a และ Microsat-2b ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมภายใต้โครงการชื่อ Starlink

ถึงแม้ Tesla Roadster จะไปไม่ถึงดวงจันทร์ (เอ่อ..หมายถึงดาวอังคาร) แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว เมื่อนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต ใช้คอมพิวเตอร์คำนวนสถานการณ์จำลอง เพื่อทำความเข้าใจและคาดการการโคจรของรถยนต์ Tesla Roadster ในระบบสุริยจักรวาล หลังเลยวงโคจรของดาวอังคารไป

ผลการวิเคราะห์จากการคำนวนกว่า 240 ครั้งเผยว่า รถยนต์ Tesla Roadster จะกลายเป็นเทหวัตถุในระบบสุริยะไปอีกหลายสิบล้านปีและน่าจะอยู่ในชั้นในของระบบสุริยะเท่านั้น ไม่น่าไปไกลเกินกว่าแถบดาวเคราะห์น้อย โดยวงโคจรของรถทั้งในระยะสั้นและระยาวเหมือนจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงในระยะกับโลก ก่อนจะเป็นอิทธิพลของดาวศุกร์เมื่อเวลาผ่านไป

จากเหตุการณ์ SpaceX ยิงจรวด Falcon Heavy พร้อมส่งรถยนต์ Tesla Roadster ไปยังดาวอังคาร ที่สร้างเสียงฮือฮาอย่างมากในสัปดาห์ก่อน

แต่สิ่งที่เดินทางไปยังดาวอังคารด้วย ไม่ได้มีแค่รถ Tesla และชุดอวกาศ Starman ในที่นั่งคนขับเพียงเท่านั้น เพราะ Elon Musk ส่งนิยายวิทยาศาสตร์ชุด "สถาบันสถาปนา" ไตรภาคแรก (Foundation Trilogy) ขึ้นไปกับ Tesla ด้วย

เช้ามืดวันนี้ SpaceX ได้ทำภารกิจยิงจรวดรุ่นใหม่ Falcon Heavy ออกสู่อวกาศ โดยบูสเตอร์ 2 ตัวกลับมาลงจอดบนพื้นโลกสำเร็จ แต่บูสเตอร์ตัวกลางเชื้อเพลิงหมด ทำให้การลงจอดบนโดรนลอยน้ำล้มเหลว ทิ้งดิ่งลงทะเลไปอย่างน่าเสียดาย

ภารกิจครั้งนี้คือการปล่อยรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Roadster สีแดงของ Elon Musk ไปยังดาวอังคาร โดยหลังแยกออกจากบูสเตอร์ รถยนต์ได้ลอยผ่าน Van Allen Radiation Belt หรือแถบรังสีแวนอัลเลนเป็นเวลาราว 6 ชั่วโมงเพื่อโชว์การเคลื่อนที่ให้กองทัพสหรัฐฯ เห็น จากนั้นเครื่องยนต์ถูกติดขึ้นอีกครั้งพร้อมส่งรถมุ่งไปยังดาวอังคาร

เช้าวันนี้เวลาเกือบตีสี่ตามเวลาประเทศไทย SpaceX ได้ยิงจรวด Falcon Heavy ออกจากฐานปล่อย 39A ที่แหลมคานาเวอรัลได้ตามที่วางแผนไว้ เครื่องยนต์ทั้ง 27 เครื่องทำงานพร้อมกันและพาจรวดออกสู่ห้วงอวกาศด้วยแรงขับสูงถึง 22,819 กิโลนิวตัน

หลังจรวด Falcon Heavy บินขึ้นไปราว 2 นาทีครึ่ง บูสเตอร์ด้านซ้ายและขวาก็แยกตัวออกจากบูสเตอร์หลัก หมุนตัว 1 ทีและบินกลับมายังโลก พร้อมลงจอดที่ฐานจอด LZ-1 และ LZ-2 พร้อมกันได้สำเร็จ โดยบูสเตอร์ทั้งสองตัวนี้เคยถูกใช้งานมาก่อน หนึ่งในนั้นได้ทำภารกิจปล่อยดาวเทียมไทยคม 8 ให้ประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2016

ขณะนี้ SpaceX มีภารกิจที่สำคัญมากรออยู่ คือการยิงจรวด Falcon Heavy จรวดรุ่นใหม่ของบริษัทที่ทรงพลังมากที่สุด โดยก่อนหน้านี้ Elon Musk ซีอีโอ ได้ระบุว่าจะยิงจรวดดังกล่าวในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ล่าสุดเขาได้ทวีตยืนยันเวลายิงจรวดดังกล่าวแล้ว

Elon ระบุว่าภารกิจจะเริ่มขึ้นตอนบ่ายโมงครึ่งวันอังคารตามเวลารัฐฟลอริดา ซึ่งตรงกับตีหนึ่งครึ่งของวันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ ตามเวลาประเทศไทย (เช้าวันพุธ) ใครสนใจก็รอดูกันได้ครับ

SpaceX เตรียมยิง Falcon Heavy จรวดที่กำลังส่งสูงสุดของบริษัทในวันอังคารที่ 6 กุมพาพันธ์นี้ ตอนนี้ทางบริษัทก็ยืนยันแล้วว่าจะพยายามนำจรวดขั้นแรก (first stage) ทั้งสามชิ้นลงจอดทั้งหมด

จรวดด้านข้างทั้งสองข้างจะจอดที่ฐานยิงที่แหลม Canaveral ส่วนจรวดกลางจะลงจอดที่โดรนลอยน้ำ "Of Course I Still Love You" ต่างจากในวิดีโอสาธิต Falcon Heavy ตั้งแต่ปี 2015 ที่แสดงให้ตัวอย่างการลงจอดบนฐานบนบกทั้งสามส่วน

เช้าวันนี้ราวตีสี่ตามเวลาประเทศไทย SpaceX ทำภารกิจยิงจรวด Falcon 9 อีกครั้ง โดยภารกิจคราวนี้คือการปล่อยดาวเทียมขนาดใหญ่ GovSat-1 ให้รัฐบาลประเทศลักเซมเบิร์ก ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเพราะ SpaceX ยิงจรวดบ่อยมาก (เฉพาะปี 2017 ยิงไป 17 ครั้ง และปีนี้ยิงไปแล้ว 2 ครั้ง) แต่ความพิเศษของภารกิจนี้คือพวกเขาตั้งใจปล่อยให้ตัวบูสเตอร์ลงน้ำ แทนที่จะกลับมาลงจอดเหมือนทุกครั้ง

ก่อนเริ่มภารกิจ SpaceX ได้ประกาศก่อนแล้วว่าจะบังคับตัวบูสเตอร์ลงน้ำ แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่แน่ชัด แต่ก็มีการคาดเดากันว่าเพราะบูสเตอร์ตัวนี้ถูกใช้งานมาแล้วหลายครั้ง รวมถึง SpaceX ต้องการเก็บ drone ship ไว้ใช้กับภารกิจยิง Falcon Heavy สัปดาห์หน้า

หลัง SpaceX ทดสอบติดเครื่องยนต์ทั้ง 27 เครื่องของจรวด Falcon Heavy สำเร็จด้วยดีเมื่อสัปดาห์ก่อน Elon Musk ซีอีโอของบริษัทก็ได้ทวีตไว้ว่าจะยิงจริงภายใน 1 สัปดาห์

ล่าสุด Elon ได้ทวีตยืนยันแล้วว่า SpaceX จะยิงจรวดดังกล่าวในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ จากฐานปล่อย 39A Kennedy Space Center ที่แหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา โดยสัมภาระ (payload) ของภารกิจนี้คือรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Roadster สีแดงเชอร์รี่ ของ Elon เอง

หลังจาก SpaceX ได้นำจรวดรุ่นใหม่ Falcon Heavy ขึ้นตั้งบนฐานยิงที่ Kennedy Space Center แหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา ล่าสุดเมื่อคืน SpaceX ได้ทดสอบติดเครื่อง (static fire test) จรวด Falcon Heavy ทั้ง 27 เครื่องแล้ว

ด้าน SpaceX ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไร เพียงแต่บอกทางทวิตเตอร์ว่าการทดสอบสำเร็จ ส่วน Elon Musk ซีอีโอของบริษัทก็ทวีตว่าการทดสอบผ่านไปด้วยดีและตั้งเป้าว่าจะยิงจริงภายในสัปดาห์หน้า

Falcon Heavy เป็นจรวดรุ่นใหม่ของ SpaceX ทรงพลังมากที่สุดนับตั้งแต่ยุค Saturn V ประกอบไปด้วยจรวด Falcon 9 สามลำติดกัน ลำละ 9 เครื่องยนต์ รวมเป็น 27 เครื่อง

ที่มา - Ars Technica

เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา SpaceX ได้เริ่มขนย้าย Falcon Heavy จรวดรุ่นใหม่ที่ทรงพลังมากที่สุดไปยังฐานปล่อยของตัวเองในรัฐฟลอริดา ซึ่งทาง SpaceX ได้ปล่อยภาพที่น่าตื่นตาของจรวด Falcon Heavy มาให้ได้ชมกัน ก่อนที่จะมีการปล่อยจรวดเพื่อทดสอบในเดือนมกราคมนี้ตามกำหนดการ

การขนย้ายจรวดไปยังฐานปล่อยในรัฐฟลอริดาที่มีขึ้นนี้ ก็เพื่อทดสอบระบบ ซึ่งเรียกว่า “fit check” ซึ่งในขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการตรวจเช็คครั้งใหญ่ เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องยนต์ทั้ง 27 ตัวของจรวดนั้น จะทำงานได้เป็นอย่างดี และพร้อมสำหรับการยิง ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายจรวดไปยังฐานปล่อยหลักที่จะใช้ปล่อยจรวดจริงๆ ณ Kennedy Space Center ที่เป็นของ NASA ซึ่ง SpaceX ได้เช่ามา และปรับปรุงสำหรับใช้ปล่อยจรวดของตัวเอง

เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Elon Musk ได้ทวีตสร้างกระแสว่าจะใช้รถยนต์ Tesla Roadster ของเขาเป็นสัมภาระ (payload) ที่จะยิงขึ้นไปพร้อมกับ Falcon Heavy จรวดรุ่นใหม่ของ SpaceX ที่กำลังจะทดสอบยิงเป็นครั้งแรก

ล่าสุด Elon ได้โพสต์รูปจำนวนหนึ่งลงบัญชีอินสตาแกรมของเขา ยืนยันว่าเอาจริงแน่ เป็นภาพรถยนต์ Tesla Roadster สีแดงถูกติดตั้งเข้ากับ payload fairing หรือส่วนที่ปกติจะเอาไว้ใช้ติดตั้งสัมภาระของจริง (เช่น ดาวเทียม) โดย Elon ระบุว่าปกติแล้วการทดสอบยิงจรวดจะใช้ "dummy payload" หรือสัมภาระปลอมๆ เช่นแท่งคอนกรีตหรือก้อนโลหะ แต่เขาเห็นว่ามันน่าเบื่อเกินไปเลยใช้รถ Tesla Roadster รุ่นแรกของตัวเองซะเลย

ถือว่า Elon Musk เป็นเจ้าพ่อแห่งการสร้างกระแสจริงๆ เพราะเดือนหน้า SpaceX จะทดสอบยิง Falcon Heavy จรวดรุ่นใหม่ที่ทรงพลังมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคจรวด Saturn V โดย Elon เคยโพสต์รูป Instagram ชักชวนคนให้มาร่วมสังเกตการณ์การปล่อยจรวดดังกล่าว และรับประกันว่าจะน่าตื่นเต้นแน่นอน

SpaceX บริษัททำธุรกิจด้านอวกาศของ Elon Musk ได้ระดมทุนรอบใหม่ด้วยการขายหุ้นมูลค่ารวม 100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.26 พันล้านบาท เพิ่มจากการระดมทุนรอบก่อนๆ ในปีนี้ที่เคยได้เงินมาแล้ว 350 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ขณะนี้มูลค่าบริษัท SpaceX เพิ่มมาอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.8 แสนล้านบาท)

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา SpaceX ได้ปล่อยดาวเทียมให้กองทัพสหรัฐอเมริกาด้วยจรวด Falcon 9 ซึ่งเป็นการหยุดการผูกขาดภารกิจนี้ที่ Lockheed Martin และ Boeing เป็นผู้ทำมาตลอด 10 ปี

ที่มา - Fortune

วันนี้ที่งาน International Astronautical Congress 2017 จัดขึ้นที่เมือง Adelaide ประเทศออสเตรเลีย Elon Musk ซีอีโอของ SpaceX ได้ขึ้นเวทีพร้อมเปิดตัวจรวดรุ่นใหม่ในชื่อ BFR ที่จะมาแทนทั้ง Falcon 9 ที่ใช้ในปัจจุบัน และ Falcon Heavy จรวดอีกรุ่นที่กำลังจะทดสอบยิงภายในปีนี้

จรวด BFR ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานได้ทั้งการเดินทางจากโลกสู่ดาวอื่น และจากเมืองในโลกสู่อีกเมืองหนึ่ง มันถูกออกแบบมาให้ใช้ซ้ำได้อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงสามารถเติมเชื้อเพลิงในอวกาศได้ด้วย

จรวด BFR สามารถบรรทุกของได้ถึง 150 ตัน (Falcon Heavy บรรทุกได้ 30 ตัน) โดย Elon Musk ระบุว่ามันมีความแม่นยำสูงมากจนลงจอดได้โดยไม่ต้องมีขาค้ำยื่นออกมา

จากที่สองสัปดาห์ที่แล้ว Elon Musk ได้เผยช่วงบนของชุดอวกาศใหม่ของ SpaceX ล่าสุดเจ้าตัวโพสต์ตัวเต็มของชุดแล้ว ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างยานแคปซูล Crew Dragon

รูปเผยให้เห็นกางเกง ถุงมือและรองเท้าของชุด ซึ่งก็ดูเรียบง่ายไม่เทอะทะตามดีไซน์ ซึ่งทาง TechCrunch มองว่าดูจากความสะดวกสบายและน้ำหนักเบา ชุดนี้น่าจะเป็นชุดที่ใส่บนยานหรือสถานีอวกาศมากกว่าที่จะเป็นชุดที่ใส่นอกยาน (EVA)

ที่มา - @elonmusk via TechCrunch

Blognone อาจไม่ได้ลงข่าวเกี่ยวกับ Hyperloop บ่อยนัก แต่ไอเดียการขนส่งมวลชนแบบใหม่ที่เสนอโดย Elon Musk ซีอีโอของ SpaceX และ Tesla ก็มีความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ โดย SpaceX ได้สร้างท่อสำหรับวิ่งทดสอบระยะทางประมาณ 1 ไมล์ และจัดการแข่งขันขึ้นเพื่อหาทีมที่สามารถสร้าง Hyperloop Pod ที่นำไปสู่การใช้งานจริง

การแข่งขันรอบแรกมีขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2017 มีทีมเข้าร่วมการแข่งมากมาย แต่ต้องผ่านการทดสอบจำนวนมากถึงจะได้ลงวิ่งในท่อจริง เช่นการทดสอบว่าตัวรถพอดีกับรางหรือไม่, ทดสอบการเบรก ไปจนถึงการทดสอบว่าตัวรถและระบบสื่อสารสามารถทำงานได้ในท่อเกือบสุญญากาศ และเหลือทีมที่ผ่านเข้ารอบเพียง 3 ทีมเท่านั้นที่ได้แข่งจริง คือ

หลังจากมีแต่ภาพหรือข่าวเกี่ยวกับจรวดหรือยานอวกาศมาตลอด ล่าสุด Elon Musk ได้เผยโฉมชุดอวกาศใหม่ที่ SpaceX พัฒนาขึ้นเองบน Instagram ส่วนตัวแล้ว โดย Musk ระบุว่าเป็นชุดที่ถูกนำมาใช้งานจริง ไม่ใช่ม็อคอัพแต่อย่างใด

ความโดดเด่นของชุดอวกาศของ SpaceX ที่เห็นได้ชัดคือความเรียบง่าย มินิมอล ไม่เทอะทะ โดย Musk บอกว่าเป็นความลงตัวระหว่างความสวยงามและประโยชน์การใช้งาน ซึ่ง Musk บอกด้วยว่าสามารถทนแรงดัน/แรงกด (pressure) ในอวกาศได้ 2 เท่า

Musk บอกว่าจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับชุดอวกาศเพิ่มเติมในวันหลัง

เมื่อต้นปี SpaceX ได้ประกาศส่งมนุษย์ 2 คนไปโคจรรอบดวงจันทร์ในปี 2018 ด้วยจรวดรุ่นใหม่ Falcon Heavy ที่นับว่าเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดนับตั้งแต่ยุคจรวด Saturn V ในปี 1973 พร้อมบอกว่าจะทดสอบจรวดรุ่นดังกล่าวภายในปีนี้

ล่าสุด Elon Musk ได้โพสต์รูปจำลองของจรวด Falcon Heavy ลงบัญชีอินสตาแกรมส่วนตัวและระบุว่าจะทดสอบปล่อยจรวดในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

ไม่กี่วันก่อน ที่งานประชุม International Space Station Research and Development Conference 2017 (ISSR&D 2017) เขาได้พูดเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่าจรวด Falcon Heavy จะเป็นยานพาหนะที่แจ๋วมาก แต่มีหลายอย่างที่ไม่สามารถทดสอบบนพื้นดินได้ และสุดท้ายพวกเขาพบว่าโปรเจ็ค Falcon Heavy นี้ยากเกินกว่าที่คิดไว้เยอะ

กองทัพอากาศสหรัฐฯ ระบุกับวุฒิสภาว่าการยิงเครื่องบิน X-37B ของกองทัพครั้งต่อไปจะใช้ SpaceX ในการนำส่งขึ้นสู่อวกาศแทนจรวด Atlas V ที่เคยงานมาแล้วสี่ภารกิจก่อนหน้านี้ โดยเหตุผลสำคัญคือ SpaceX ราคาถูกกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ภารกิจกองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญของธุรกิจอวกาศในอเมริกา ก่อนหน้านี้ United Launch Alliance มักได้งานไปโดยไม่ต้องประมูล และ SpaceX ก็ยื่นฟ้องในปี 2015 จนชนะคดี และได้งานส่งจรวดลับครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และยังมีภารกิจที่เซ็นสัญญาไว้แล้วอีกจำนวนหนึ่ง

หลังจากที่เคยมีข่าวออกมาว่า SpaceX ยื่นเรื่องขอยิงดาวเทียมกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ตอนนี้มีรายละเอียดของแผนการนี้มากขึ้นแล้ว

Patricia Cooper รองประธานฝ่ายกิจการดาวเทียมรัฐบาลของ SpaceX ได้รายงานต่อกรรมการวุฒิสภาว่า บริษัทมีแผนจะปล่อยดาวเทียมรุ่นโปรโตไทป์ในปีนี้และปีหน้า และหากการทดสอบประสบผลสำเร็จ จะเริ่มปล่อยดาวเทียมดวงแรกในปี 2019 และปล่อยไปเรื่อยๆ จนครบ 4,425 ดวง ก่อนจะให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2024

วันนี้ SpaceX นำส่งดาวเทียม NROL-76 ของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผลสำเร็จ โดยไม่เปิดเผยข้อมูลของดาวเทียมดวงนี้ (แม้แต่วงโคจรก็ไม่เปิดเผย) แต่ทาง NRO (National Reconnaissance Office) หน่วยงานผู้สร้างและดูแลดาวเทียมลับของสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นดาวเทียมสำหรับการตรวจจับผู้ก่อการร้าย, ตรวจสอบการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์, และเตือนภัยขีปนาวุธ