Netflix จัดงาน “See What’s Next: Asia” เปิดตัวคอนเทนต์จากภูมิภาคเอเชียเป็นครั้งแรก โดยเปิดตัวเนื้อหาใหม่จากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย อินเดีย และเกาหลีใต้รวม 17 เรื่อง แต่ในเนื้อหาข่าวนี้ยังไม่มีข้อมูลจากซีรีส์อินเดีย Blognone จึงรวบรวมเฉพาะเรื่องที่ Netflix ประกาศเปิดตัวล่าสุดมาให้อ่านก่อน

ในงาน "See What’s Next Asia” ของ Netflix มีประกาศสำคัญสำหรับประเทศไทยคือ เร็วๆนี้ จะ Netflix Original ของไทยครั้งแรกสองเรื่องคือ "เคว้ง" และ "อุบัติกาฬ"

"เคว้ง (The Stranded)" เป็นการจับมือกันกับ GMM Grammy และเป็นผลงานการกำกับของโสภณ ศักดาพิสิษฎ์ และ “อุบัติกาฬ (Shimmers)” ซีรีส์ลี้ลับชวนสยองขวัญของเด็กวัยรุ่น 5 คน ในโรงเรียนห่างไกลแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศไทย ผลงานกำกับโดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง และสิทธิศิริ มงคลศิริ

หลังมีรายงานว่า Henry Cavill ที่โด่งดังจาก Man of Steel และ MI6: Fallout ตกลงรับบท Geralt ในซีรีส์ The Witcher บน Netflix ล่าสุดเจ้าตัวก็เผยภาพแรกของตัวเองในลุค Geralt แรกแล้ว

โฉมแรกี้น่าจะเป็นการลองชุดและเทสต์หน้ากล้องของ Henry Cavill ขณะที่ลุคของ Geralt ที่เผยโฉมออกมาหน้าตาค่อนข้างเด็กรวมถึงยังไม่มีหนวดอย่างที่เราคุ้นเคยกันในเกมภาคล่าสุด ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดในซีรีส์จะเกิดก่อนเรื่องราวในเกมภาคแรก ขณะที่ผู้กำกับเคยบอกว่าจะอิงเรื่องราวจากนิยายเป็นหลัก มีทั้งหมด 3 ซีซัน เริ่มฉายปี 2020 นี้

Sandvine บริษัทพัฒนาระบบวิเคราะห์ทราฟิกเครือข่าย ออกรายงานประจำครึ่งแรกปี 2018 ของการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก มีประเด็นสำคัญหลายอย่างดังนี้

• มากกว่า 50% ของทราฟิกตอนนี้มีการเข้ารหัส และการใช้ TLS 1.3 ก็เพิ่มขึ้นสูง
• ดาวน์สตรีมของอินเทอร์เน็ต 58% ตอนนี้มาจากวิดีโอ
• Netflix มีส่วนแบ่งการใช้ดาวน์สตรีมถึง 15%
• เกมเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณทราฟิกมากที่สุด ทั้งการดาวน์โหลดเกม, แคสต์เกม และความนิยมใน e-sport ที่เพิ่มขึ้น

Netflix รายงานตัวเลขผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2018 รายได้รวมเติบโต 34.0% เป็น 3,999 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 403 ล้านดอลลาร์

จำนวนสมาชิกในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 6.96 ล้านคน รวมเป็น 137.10 ล้านคน โดยเป็นสมาชิกนอกอเมริกา 78.64 ล้านคน ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวรวมผู้สมัครสมาชิกที่ใช้งานฟรีเดือนแรกแบบยังไม่ได้เสียเงินด้วย (ถ้าคิดเฉพาะที่จ่ายเงินมี 130.42 ล้านคน) ซึ่ง Netflix บอกว่าตั้งแต่ไตรมาส 1/2019 บริษัทจะรายงานเฉพาะตัวเลขสมาชิกที่เริ่มจ่ายเงินเท่านั้น

Netflix ประกาศสร้างหนังแฟนตาซีสุดยิ่งใหญ่ Chronicles of Narnia จากผลงานของผู้เขียนหนังสือ C.S. Lewis ที่มีรวมชุด 7 เล่ม

ถือเป็นอีกก้าวย่างที่สำคัญของ Netflix ที่จะสู้ Disney ที่มีคอนเทนต์แฟนตาซีมากมายในมือ ในขณะที่ Netflix ยังมีไม่มากเท่า ซึ่ง Chronicles of Narnia ที่สร้างมาจากนิยายยาวถึง 7 เล่ม จะช่วยตอบโจทย์ได้ นอกจากนี้ Narnia ยังเคยมีเวอร์ชั่นหนังไตรภาคที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกมาแล้ว และผู้สร้างคือ Disney

หนังไตรภาค Narnia ออกมาในปี 2005, 2008 และ 2010 ทำรายได้ 745, 419, 415 ล้านคอลลาร์ตามลำดับ ด้านหนังสือก็ขายไปแล้วกว่า 100 ล้านชุด แปลไปแล้ว 47 ภาษา

สตรีมมิ่งไม่เพียงให้ความบันเทิงแค่ผู้ใหญ่ แต่ผู้ชมที่เป็นกลุ่มเด็กและครอบครัวก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันสตรีมมิ่งเปรียบเหมือนเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปแล้ว ดังนั้นการแข่งขันคอนเทนต์ของวงการสตรีมมิ่งจึงต้องเจาะกลุ่มเด็กและครอบครัว

ตลาดตอนนี้ที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็น Netflix โดย Andy Yeatman อดีตผู้จัดการคอนเทนต์เด็กและครอบครัวบอกว่า ในบรรดาคอนเทนต์สำหรับเด็กที่มีอยู่ประมาณ 200 เรื่องมีการรับชมไปแล้ว 2 ล้านครัวเรือน ตัวเลขกลุ่มผู้ชมที่เป็นเด็กและครอบครัวโตขึ้น 61% เป็นตัวเลขทั่วโลก ส่วนในสหรัฐฯ โตขึ้น 13% เพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว (ตัวเลขเดือนตุลาคม 2017)

ตลาดสตรีมมิ่งจะเริ่มสนุกสนานมากขึ้นไปอีกเมื่อ Disney กำลังจะเปิดตัวสตรีมมิ่งของตัวเอง แม้จะตามหลัง Netflix แต่ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเด็กๆ รู้จักก็น่าจะทำให้เด็กติดตามได้ไม่ยาก มาดูกันว่าแต่ละเจ้ามีทีเด็ดอะไรมาเจาะตลาดเด็กและครอบครัวได้บ้าง

ในงาน Emmy Awards ครั้งที่ 70 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในวงการสตรีมมิ่งเพราะ ผู้ที่กวาดรางวัลไปมากที่สุดในงานคือบิ๊กสตรีมมิ่ง HBO และ Netflix โดยได้ไปคนละ 23 รางวัล และถือเป็นครั้งแรกที่ Netflix ตีตื้นขึ้นมาเท่ากับ HBO ได้ด้วย

อย่างไรก็ตามรางวัลใหญ่อย่างซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยมก็ยังคงเป็นของ HBO คือ Game of Thrones ได้รางวัลเป็นปีที่สามแล้ว ด้าน Netflix ก็ได้รางวัลใหญ่คือ นักแสดงนำยอดเยี่ยมเรื่อง The Crown ส่วน Amazon ได้ไป 8 รางวัลจากเรื่อง The Marvelous Mrs. Maisel

รายชื่อผู้เข้าชิงในสาขาต่างๆ Netflix ได้รับการเสนอชื่อ 112 รางวัล ส่วน HBO ได้ 108 รางวัล ถือเป็นครั้งแรกที่ Netflix ได้รับการเสนอชื่อมากกว่า HBO

สาวกเณรน้อยอภินิหาร Avatar: The Last Airbender เตรียมชมซีรีส์ฉบับคนแสดงได้เลย เมื่อ Netflix ประกาศจับมือกับผู้สร้าง Michael DiMartino และ Bryan Konietzko และช่องทีวี Nickelodeon ในการสร้างซีรีส์ฉบับคนแสดง และจะถ่ายทำในปี 2019

Avatar: The Last Airbender เป็นเรื่องราวของสงครามสี่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ละเผ่าพันธุ์มีอาณาจักรของตนเองแต่ชาวไฟเข้ารุกรานชาติพันธุ์อื่นๆ เพื่อเสาะหาอวตารบุคคลผู้มีพลังพิเศษสามารถควบคุมธาตุทั้ง 4 ตัวการ์ตูนมี 3 ซีซั่น ฉายทางช่อง Nickelodeon ในปี 2005 และตอนนี้ก็มีใน Netflix ด้วย

Netflix ออกตรารับรอง Netflix Post Technology Alliance ที่จะช่วยรับประกันว่าอุปกรร์การถ่ายทำและเทคโนโลยีนี้สามารถใช้บน Netflix แล้วเวิร์ค ถือเป็นโครงการใหม่ที่ช่วยให้ผู้ผลิต Netflix Originals สามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการส่งเนื้อหาไปสตรีมบน Netflix ได้

Randall Stephenson ซีอีโอ AT&T ให้สัมภาษณ์พูดถึงธุรกิจสตรีมมิ่ง ในขณะที่ AT&T ได้ก้าวมาเป็นคู่แข่ง Netflix เนื่องจากเป็นเจ้าของ HBO ซึ่ง Stephenson ระบุว่า HBO นั้นจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

Stephenson ยังบอกด้วยว่าถ้าเปรียบ Netflix เป็น Walmart สำหรับหนังซีรีส์ HBO จะเปรียบได้กับห้างหรู Tiffany เขายังบอกด้วยว่า HBO มีคอนเทนต์พรีเมี่ยมมากพอๆ กับเจ้าอื่น

นอกจากจะมี HBO ในมือแล้ว AT&T ยังซื้อ Time Warner เข้ามาช่วงฤดูร้อน และมี CNN ด้วย ทำให้ AT&T มีคอนเทนต์พรีเมี่ยมเยอะและมาจากหลากหลายช่องทาง

Netflix ประกาศยกเลิกหน้าเขียนและอ่านรีวิวคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มไปเมื่อเดือนก่อน ตอนนั้น Netflix บอกว่าเพราะส่วนดังกล่าวไม่ค่อยมีใช้งานจึงยกเลิกไป แต่ข้อมูลอีกด้านพบสิ่งที่น่าสนใจ

Cordcutting เว็บไซต์รายงานข่าวบริการสตรีมมิ่ง พบว่า Netflix เริ่มผลักดันคอนเทนต์ที่ผลิตขึ้นเอง (Original Content) เพื่อฉายลงแพลตฟอร์มตั้งแต่ปี 2012 จำนวนต่อปีมีเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันคะแนนรีวิวคอนเทนต์กลุ่มนี้ ก็มีค่าเฉลี่ยที่ลดลงมาตลอดทุกปี เคยทำได้สูงสุดที่ 4.2 แต่ปีล่าสุดอยู่ที่ 3.2 จากคะแนนเต็ม 5.0 จึงอาจเป็นสาเหตุให้ Netflix ยกเลิกระบบรีวิวคะแนนเต็ม 5 นี้

หลังผู้กำกับหญิง Lauren S. Hissrich ของซีรีส์ชุด The Witcher บน Netflix ออกมาเปิดเผยเรื่องราวคร่าวๆ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ความคืบหน้าล่าสุดคือซีรีส์ชุดนี้ได้คนรับบทพระเอกอย่าง Geralt of Rivia แล้วคือ Henry Cavill นักแสดงนำจาก Man of Steel, The Man of U.N.C.L.E. และ M:I - Fallout

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า Netflix ได้เพิ่มการลงทุนในการผลิตคอนเทนต์ของตนเอง ทั้งซีรี่ส์ชุด และภาพยนตร์เพื่อฉายบนสตรีมมิ่งโดยเฉพาะ (เช่น Bright) อย่างไรก็ตามมีผู้ผลิตภาพยนตร์หลายรายที่ต้องการนำภาพยนตร์นั้น เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปกติด้วยเช่นกัน แต่นโยบายของ Netflix ก็เข้มงวดมาก นั่นคือจะต้องเริ่มฉายในโรงภาพยนตร์วันเดียวกับที่ลงสตรีมมิ่ง

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าดิสนีย์กำลังจะเปิดตัวสตรีมมิ่งที่ว่ากันว่าจะเป็นแนวทางธุรกิจหลักอย่างหนึ่งของดิสนีย์ มีข่าวลือแพร่ว่าชื่อใหม่ของสตรีมมิ่งคือ Disney Play อย่างไรก็ตามมีการอัพเดตล่าสุดว่า ดิสนีย์ยังไม่ได้เปิดเผยชื่อแต่อย่างใด

สตรีมมิ่งของดิสนีย์จะเปิดตัวในปี 2019 และซีอีโอดิสนีย์ Bob Iger บอกเองเลยว่าราคาบริการจะถูกกว่า Netflix คืออยู่ระหว่าง 8 - 14 ดอลลาร์ต่อเดือน และคอนเทนต์ที่แฟนๆ ตั้งตารอคือ ซีรีส์ Star Wars ฉบับคนแสดง

ร้านค้าแอพอย่าง App Stores, iTunes และ Google Play มีการเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทที่มาลงขายแอพบนแพลตฟอร์ม แต่ใครจะยอมเสียค่าธรรมเนียมไปเรื่อยๆ ถ้าตัวเองสามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาร้านค้าแอพก็ได้

ปฏิกิริยาต่อต้านร้านค้าแอพไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กำลังสะสมจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามมาด้วยความพยายามหาช่องทางใหม่ในการเข้าถึงผู้ใช้งาน โดยเฉพาะบรรดาแอพเพื่อความบันเทิง ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ Fortnite for Android จะไม่มีให้โหลดผ่าน Google Play และ Netflix ก็กำลังทดสอบระบบจ่ายเงินที่ไม่ต้องผ่าน iTunes และยังมี Spotify ที่ยกเลิกการจ่ายเงินผ่าน iTunes ไปแล้ว

เป็นเรื่องที่ทราบดีว่าระบบจ่ายเงินผ่าน App Store และ iTunes นั้น แอปเปิลจะหักค่าธรรมเนียม (30% หรือต่ำกว่า) จากนักพัฒนา ทำให้หลายแอปพยายามเลี่ยงการให้ผู้ใช้งานจ่ายเงินผ่าน iTunes โดยเฉพาะบริการประเภท Subscription รายเดือน และล่าสุด Netflix คือแอปที่กำลังทดสอบเรื่องดังกล่าว

โดย Netflix ใช้คำว่า การทดสอบระบบจ่ายเงินผ่าน iTunes แบบใหม่ โดยผู้สมัครใหม่จนถึงสิ้นเดือนกันยายน เมื่อจะจ่ายเงินผ่าน iTunes ก็จะถูก redirect ไปยังหน้าเว็บ Netflix เพื่อเลือกวิธีจ่ายเงินอื่นแทน ซึ่งทำให้ Netflix ได้รับเงินส่วนนี้โดยตรงทั้งหมด

การทดสอบนี้ทดลองใน 33 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย

ผู้ใช้ Netflix ที่เคยคิดว่าจะไม่มีโฆษณาคั่นให้กวนใจนั้น อาจต้องคิดใหม่ เพราะ Netflix เผยว่ากำลังทดลองฟีเจอร์โฆษณาคั่นระหว่างตอน เป็นโฆษณาโปรโมทซีรีส์และหนังออริจินัลคอนเทนต์เรื่องอื่นๆ ของ Netflix

เรื่องราวเริ่มต้นจากมีผู้ใช้จำนวนหนึ่งไปโพสต์ใน Reddit ว่าอยู่ๆ Netflix ก็มีโฆษณาคั่น ตอนที่ดู Rick & Morty ก็มีโฆษณาเป็นเทรลเลอร์ซีรีส์ Better Call Saul โผล่มาและกดข้ามไม่ได้ โฆษณายังปรากฏบนสมาร์ททีวีของผู้ใช้บางรายในอังกฤษด้วย

Netflix บอกกับ Ars Technica ว่า กำลังทดลองฟีเจอร์ดังกล่าวอยู่จริง โดยให้เหตุผลว่าถ้าเสนอซีรีส์เป็นโฆษณาให้ผู้ใช้ จะช่วยให้ผู้ใช้เจอเรื่องที่อยากดูเร็วขึ้นหรือไม่ ก่อนหน้านี้ Netflix ได้ทำฟีเจอร์เล่นวิดีโอทันทีที่เข้ามา เพื่อจะช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลา scroll หาเรื่องที่จะดู

มีรายงานจากผู้ใช้ Netflix จำนวนหนึ่งว่าหลังจากรับชมวิดีโอซีรี่ส์จบไปหนึ่งตอน Netflix ก็ขึ้นภาพนิ่ง แนะนำให้ชมตัวอย่างซีรี่ส์เรื่องอื่น และมีปุ่มด้านขวาให้เลือกสำหรับข้ามสิ่งนี้เพื่อไปชมซีรี่ส์เรื่องเดิมตอนถัดไป (คล้ายปุ่มข้ามโฆษณาบน YouTube) ซึ่งด้วยการปรากฏในลักษณะดังกล่าว ผู้ใช้งาน Netflix ก็มองว่านี่เป็นโฆษณาประเภทหนึ่ง

Netflix ประกาศว่า David Wells ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน หรือซีเอฟโอ เตรียมลาออกจากตำแหน่ง โดยเขาจะยังทำงานต่อไปจนกว่าจะหาคนมารับตำแหน่งนี้ต่อจากเขาได้ ซึ่ง Wells บอกว่าเป้าหมายหลังการลาออกคือการทำงานเพื่อสังคมและสาธารณะ

ความน่าสนใจคือ David Wells นั้นทำงานกับ Netflix มานานถึง 14 ปี และขึ้นรับตำแหน่งซีเอฟโอตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งเป็นช่วงที่ Netflix เข้าสู่ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่ง และบริษัทก็ขยายกิจการขึ้นมาก ขณะเดียวกันผลประกอบการก็เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือการจัดการบริหารรายได้และต้นทุนคอนเทนต์นั่นเอง

Tim Brandall หัวหน้าทีม Internationalization ของ Netflix เขียนบล็อกเล่าถึงวิธีการจัดการภายใน ที่ทำให้การแสดงผลเนื้อหาบน Netflix ในภาษาต่าง ๆ แสดงผลได้ดีไม่เกิดตัวอักษรล้น UI ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายหลังจาก Netflix ขยายตลาดไปสู่ 190 ประเทศ ทำให้การแสดงผลต้องเพิ่มจากภาษาอังกฤษภาษาเดียว ไปสู่ภาษาอื่นรวม 26 ภาษา

รูปโปรไฟล์บน Netflix ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นรูปกราฟิกน่ารักๆ ที่ Netflix ออกแบบมาให้ ล่าสุด Netflix ประกาศเพิ่มรูปโปรไฟล์กว่าร้อยรูป เป็นรูปตัวละครจากซีรีส์ออริจินัลคอนเทนต์บน Netflix เอง เช่น Stranger Things, Troll Hunters, Okj, Orange is the New Black, Queer Eye เป็นต้น

Netflix จะไม่หยุดที่วิดีโอสตรีมมิ่งอีกต่อไป ล่าสุดทางบริษัทจับมือกับ SiriusXM ทำรายการวิทยุทอล์คโชว์แนวคอเมดี้ โดย SiriusXM ถือเป็นคลื่นวิทยุรายใหญ่รายหนึ่งในสหรัฐฯ ที่มีทั้งคอนเทนต์บนคลื่นและบนออนไลน์

Netflix มีแนวทางชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กับเนื้อหาคอเมดี้ที่สามารถเข้าถึงคนได้กว้างขวาง โดยบริษัทประกาศเปิดตัวภาพยนตร์คอมเมดี้ชุดพิเศษในปี 2019 ที่จะมีนักแสดงตลก 47 คนจากประเทศต่างๆทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว "The Comedy Lineup" เป็นรายการตอนละ 15 นาทีอีกด้วย

ส่วนเนื้อหาที่จะทำกับ SiriusXM นั้นยังไม่มีรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม แต่คาดว่าจะเป็นอีกช่องทางในการโปรโมทเนื้อหาคอเมดี้ที่มีหลากหลายรอจ่อบน Netflix เช่น รายการพิเศษของนักแสดงตลกชื่อดัง Chris Rock, Dave Chappelle, Amy Schumer and Jerry Seinfeld เป็นต้น

ปัจจุบัน ระบบเตือนภัยฉุกเฉินจากทางการสหรัฐฯ (เช่น การก่อการร้าย, ภัยธรรมชาติ และอื่น ๆ) มักจะใช้การแจ้งเตือนผ่านมือถือหรือป๊อปอัพบนรายการทีวี ล่าสุดวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายให้ปรับปรุงระบบเตือนภัยฉุกเฉินใหม่ชื่อว่า Reliable Emergency Alert Distribution Improvement หรือ READI ที่มีจุดประสงค์สำคัญคือปรับปรุงให้การเตือนภัยไปถึงประชาชนให้ได้มากขึ้น และเชื่อถือได้มากขึ้น

เรื่องที่สำคัญที่ปรากฏในร่างกฎหมาย READI คือการเปิดช่องทางให้ภาครัฐแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉินผ่านบริการสตรีมมิ่ง (โดยเอ่ยชื่อตัวอย่างคือ Netflix และ Spotify) เนื่องจากบริการเหล่านี้เป็นที่นิยมและมีจำนวนผู้ใช้บริการมากขึ้นในช่วงหลัง

ส่วนอื่น ๆ ที่สำคัญในร่างกฎหมาย READI เช่น

Netflix ประกาศปรับอินเตอร์เฟสบนแอพสำหรับทีวีใหม่ โดยเพิ่ม sidebar เข้ามาทางด้านซ้าย พร้อมแยกส่วนต่าง ๆ เช่น Search, Home, Series, Movies, My List และ New ไว้อย่างชัดเจน

Stephen Garcia ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ของบริษัทเผยว่าอินเตอร์เฟสใหม่ของ Netflix บนทีวีนี้ถูกพัฒนาขึ้นใหม่จากการศึกษาและทดสอบว่าจะทำอย่างไรให้สามารถค้นเนื้อหาบนทีวีที่การเลื่อนไปมาติดกับปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่มบนรีโมทได้ง่าย ๆ