เมื่อวานนี้เกิดเหตุรถยนต์ไร้คนขับ Waymo ถูกคนกลุ่มหนึ่งในย่าน Chinatown ของเมือง San Francisco บุกล้อม ขีดเขียน ทุบกระจก และโยนพลุเข้าใส่ในรถ จนทำให้รถยนต์ไฟไหม้เสียหาย
ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าแรงจูงใจเกิดจากอะไร ทางตำรวจของเมืองบอกว่ากำลังสอบสวน แต่เหตุการณ์เกือบทั้งหมดมีคนถ่ายคลิปเก็บไว้ได้
โฆษกของ Waymo ให้ข้อมูลว่าขณะเกิดเหตุ รถคันนี้ไม่ได้รับส่งผู้โดยสาร และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ บริษัทจะร่วมมือกับตำรวจเพื่อสอบสวนเหตุการณ์นี้ และจะยังให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับตามปกติต่อไป
ที่มา - San Francisco Standard
Waymo ประกาศความสำเร็จในการระดมทุนเพิ่มได้อีกราว 2.25 พันล้านดอลลาร์จาก Silver Lake บริษัท Private Equity สหรัฐ, Canada Pension Plan Investment Board, บริษัทลงทุน Andreessen Horowitz, Mubadala Investment Company กองทุนความมั่งคั่งของ UAE และที่น่าสนใจคือมีบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์มาลงทุนด้วยอย่าง Magna International, AutoNation และบริษัทแม่ Alphbet
Waymo บริษัทรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติภายใต้ Alphabet ประกาศความสำเร็จในการพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติว่า ตอนนี้กลุ่มรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Waymo สามารถวิ่งออกบนถนนสาธารณะได้ครบถึง 4 ล้านไมล์แล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลเพื่อการนำมาพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติได้เป็นอย่างดี
ในโอกาสนี้ Waymo ได้เผยสถิติของรถยนต์ไร้คนขับของตนเองดังนี้ คือ
Intel ประกาศร่วมมือกับ Waymo บริษัทพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติภายใต้ Alphabet เพื่อมอบพลังประมวลผลให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 4 และ 5 ที่สามารถขับได้ภายใต้สภาวะหลายแบบ
ในความร่วมมือนี้ Waymo จะเข้าไปทำงานร่วมกับ Intel เพื่อให้สามารถเลือกส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ประมวลผลที่เหมาะกับเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ประมวลผลข้อมูลเซนเซอร์, ฮาร์ดแวร์สำหรับการตัดสินใจตนเอง, การค้นหาเส้นทาง และอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นการทำให้การพัฒนาของ Waymo ที่ต้องการสร้างเซนเซอร์และเทคโนโลยีเอง สามารถทำงานร่วมกับ Intel ได้ทันที
ไฮไลท์ของงาน North American International Auto Show ที่กำลังจัดขึ้นในเมืองดีทรอยท์คงหนีไม่พ้นรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้ขับ ซึ่ง Waymo บริษัทรถไร้คนขับของกูเกิลที่ไม่ได้มีรถยนต์มาโชว์ (โชว์ไปหมดแล้ว) ได้เปิดเผยว่ามีการปรับทิศทางการพัฒนารถไร้คนขับของบริษัท โดยหันมาพัฒนาเซ็นเซอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานบนรถทั้งหมดด้วยตัวเองแทน
John Krafcik ซีอีโอของ Waymo ขึ้นพูดคีย์โน้ตเปรียบเทียบการพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไร้คนขับด้วยตัวเองทั้งหมดนี้ ช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัวมากขึ้น รวมถึงลดระยะเวลาที่ใช้ในวงจรการพัฒนาทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ลงด้วย
หลังจากที่มีการประกาศแยกตัวโครงการรถไร้คนขับออกมาตั้งเป็นบริษัทลูกภายใต้ Alphabet ในนามของ Waymo ล่าสุดได้เผยโฉมรถยนต์ไร้คนขับคันแรกของบริษัทแล้ว ซึ่งปรับแต่งมาจากรถยนต์มินิแวนไฮบริดรุ่น Chrysler Pacifica ที่เคยรายงานไปแล้วก่อนหน้านี้
ถึงแม้ Chrysler Pacifica จะเป็นรุ่นเดียวกับที่วางจำหน่ายในท้องตลาด แต่รถที่นำมาปรับแต่งเป็นรถไร้คนขับนั้น ถูกปรับแต่งใหม่ตั้งแต่โครงรถบางส่วน ระบบไฟฟ้า ระบบส่งกำลังและแชสซี เพื่อให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีของ Waymo
เบื้องต้น Chrysler Pacifica ที่ถูกนำมาทดสอบวิ่งมีทั้งหมด 100 คัน ไม่รวม Lexus ที่มีอยู่ก่อนเดิม
ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่า โครงการพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Google จะแยกบริษัท และตอนนี้ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า โครงการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้โครงการ X ของ Alphabet นั้นจะแยกบริษัทออกมาใหม่ ชื่อว่า Waymo โดยมี John Krafcik เป็นซีอีโอ ซึ่งบริษัทใหม่นี้จะดำเนินงานภายใต้ Alphabet
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าการแยกบริษัทของโครงการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ คือมีการประกาศว่าโครงการจะพับแผนการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ขนาดเล็กที่ไม่มีเบรคและพวงมาลัยตามรายงานก่อนหน้า และจะเน้นพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติสำหรับการติดตั้งบนรถยนต์แทน
The Information รายงานว่า Google ปรับทิศทางการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับขนาดเล็ก (รุ่นที่ไร้พวงมาลัยและเบรค) จากที่เคยผลิตเอง ก็หันไปร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ผลิตรถยนต์ พร้อมมีแผนเตรียมเปิดตัวบริการ Ride-Sharing โดยใช้รถยนต์อัตโนมัติภายในสิ้นปีหน้า
แหล่งข่าวของ The Information ระบุว่า Larry Page และ Ruth Porat CEO และ CFO ของ Alphabet เป็นคนผลักดันแนวคิดนี้อยู่เบื้องหลัง เนื่องจากมองว่าการผลิตรถไร้คนขับแบบไม่มีพวงมาลัยและเบรค ไม่สามารถทำได้จริง (impractical ซึ่งน่าจะหมายถึงขายไม่ออก ไม่ก่อให้เกิดรายได้ - ผู้เขียน) (อ่านเรื่องราวของ Ruth Porat และบทบาทในการจัดระเบียบการเงินของเธอเพิ่มเติมได้ที่ BrandInside)
โครงการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Google ปัจจุบันมีผู้นำโครงการคือ John Krafcik ซีอีโอของ Hyundai น่าจะเตรียมแยกโครงการออกจาก X ของ Alphabet แต่ยังไม่กำหนดกรอบเวลาอย่างแน่นอน
เมื่อก่อนหน้า โครงการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติกำลังจ้างพนักงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกฎหมายอยู่และได้ตัว Kevin Vosen มา จากนั้น Alphabet ก็กำลังหาหัวหน้าฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจากการหางานก็พอจะเป็นไปได้ว่าโครงการนี้กำลังจะหาพื้นที่เพื่อแยกตัวออกไปเป็นบริษัทใหม่ และคาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งด้านตัวบริษัทและจำนวนพนักงาน
ความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของหัวหน้าฝ่ายนี้ คือต้องทำให้พื้นที่ทำงานและสิ่งอำนวยความสะดวกให้น่าดึงดูดต่อคนที่มีความสามารถ ขณะที่ยังคงทำให้ค่าดำเนินการยังคงมีประสิทธิภาพ
Google เปิดเผยรายงานการทดสอบรถไร้คนขับประจำเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมอัพเดตความสามารถใหม่ของรถ ที่สามารถกลับรถแบบ 180 องศาในถนนแคบหรือแบบ Three-Point Turns ได้แล้ว
Google ระบุว่าการกลับรถแบบนี้สำหรับคนแล้วค่อนข้างยาก เนื่องจากคนขับมองไม่เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวรถทั้งหมด ขณะที่รถไร้คนขับจะได้เปรียบกว่าจากกล้อง 360 องศาและการตรวจจับวัตถุรอบคันทั้งถังขยะและรถคันอื่นที่จอดอยู่ ซึ่ง Google บอกด้วยว่าตัวรถและซอฟต์แวร์ได้ฝึกซ้อมการกลับรถแบบนี้กว่า 1,000 ครั้งในทุกๆ สัปดาห์
Google เผยว่าได้ทำการทดลองรถไร้คนขับใน 4 เมืองในสหรัฐฯ มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยวันนี้ Dmitri Dolgov หัวหน้าส่วนรถไร้คนขับของ Google ออกมาเผยผลการทดลองว่า ทดลองให้รถขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยตัวเองไปแล้วกว่า 2 ล้านไมล์บนถนนหลัก ใช้เวลาบนท้องถนนโดยประมาณ 300 ปีเมื่อเทียบกับเวลาของมนุษย์ในการขับรถ
Dolgov เผยอีกว่าได้แก้ไขปัญหาของรถไร้คนขับไปแล้ว 90% ภายในสองปีแรกที่ทำการทดลอง ส่วนอีก 10% ก็จะเป็นช่วงเวลาต่อจากนี้ โดยวิศวกรต้องเน้นหนักไปที่ทักษะการขับรถในเขตพื้นที่ก่อสร้าง การทำความเข้าใจสัญญาณมือจากนักปั่นจักรยาน ปฏิกิริยาโต้ตอบต่อรถด่วนฉุกเฉิน เช่น รถพยาบาล รถตำรวจ นอกจากนี้ ยังจะเตรียมพร้อมให้ซอฟต์แวร์เรียนรู้การรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝั่น เช่น เป็ดเดินข้ามถนน เป็นต้น
เป็นที่ทราบกันดีว่ากูเกิล เปรียบเสมือนผู้มาก่อนกาลในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เนื่องจากเป็นเจ้าแรกๆ ที่พัฒนาและประกาศต่อสาธารณะ และย่อมมีส่วนให้เกิดกระแสให้ผู้ผลิตรถยนต์และเทคโนโลยีเจ้าอื่นๆ หันมาพัฒนารถยนต์ไร้คนขับกันไม่มากก็น้อย แต่ถึงแม้จะมาก่อนใครเพื่อน ดูเหมือนคู่แข่งของกูเกิลหลายๆ เจ้ามีพัฒนาการที่แซงหน้ากูเกิลไปแล้ว ขณะที่กูเกิลเองดูเหมือนยังไม่รู้ว่าจะหันหัวเรือไปทางไหน เพื่อทำให้รถไร้คนขับนำรายได้มาสู่บริษัทได้อย่างจริงจัง
เกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์ไร้ตนขับของกูเกิลอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เกิดจากรถคู่กรณีขับฝ่าไฟแดง ก่อนจะชนเข้ากับรถของกูเกิล
กูเกิลแถลงว่ารถไร้คนขับของตนกำลังมุ่งหน้าบนถนน Phyllis ในพื้นที่ Mountain View โดยขณะกำลังจะผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุ สัญญาณไฟแสดงสีเขียวไปแล้วกว่า 6 วินาที ก่อนที่รถอีกคันจะวิ่งฝ่าไฟแดงมาจากด้านขวา ขณะที่รายงานจากสำนักข่าวท้องถิ่นระบุว่า พนักงานของกูเกิลที่อยู่หลังพวงมาลัยได้เข้าควบคุมรถและเหยียบเบรค ตั้งแต่เห็นว่ารถด้านขวามือเริ่มฝ่าไฟแดงเข้ามาบริเวณสี่แยกแล้ว
Chris Urmson ซึ่งเป็น CTO (Chief Technology Officer) ของ Google Self-Driving Car ออกจากตำแหน่ง หลังจากทำงานเป็นหัวหอกของฝ่ายงานระบบรถไร้คนขับของ Google เป็นระยะเวลานานกว่า 7 ปีครึ่ง
Urmson เปิดเผยการลาออกของตนเองในโพสต์ Medium ว่าหลังจากทำงานโครงการรถขับเคลื่อนอัตโนมัติ Google และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เราเคยหวังไว้ว่าสักวันทุกคนจะใช้งานได้จริงในที่สุด ถือเป็นหนทางที่ยาวนาน ตั้งแต่การแข่งขันของ DARPA กับทีม Carnegie Mellon ในการพัฒนารถขับเคลื่อนอัตโนมัติในช่วงเริ่มต้นที่สามารถขับผ่านทะเลทรายและเมืองจำลองเมื่อสิบปีก่อน
การแยกตัวออกจาก X (Google X เดิม) ของโปรเจ็ครถไร้คนขับของ Google ดูจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้มีการแต่งตั้งซีอีโอไปแล้ว ล่าสุดเป็นคราวของหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย โดย Ken Vosen อดีตหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ The Climate Corporation บริษัทด้านสิ่งแวดล้อม จะมานั่งเก้าอี้ตำแหน่งนี้
Astro Teller ประธานโครงการ X เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า โปรเจ็ครถไร้คนขับนั้นใกล้จะประสบความสำเร็จและแยกตัวออกมาจาก X (เจ้าตัวใช้คำว่า graduate) ซึ่งกระบวนการตรงนี้ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ปัจจุบัน Google นำรถไร้คนขับทดสอบวิ่งไปแล้วกว่า 2.7 ล้านกิโลเมตร ในทั้งหมด 4 รัฐคือเท็กซัส, แคลิฟอร์เนีย, แอริโซนาและวอชิงตัน
Google เปิดเผยในรายงานประจำเดือนมิถุนายนว่า รถยนต์ไร้คนขับสามารถตรวจจับ และเข้าใจสัญญาณมือของนักปั่นจักรยานเวลาต้องการเลี้ยวหรือขอทางแล้ว รวมถึงสามารถตรวจจับจักรยานที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ในความมืดได้ด้วยเช่นกัน
นอกจากจักรยาน 2 ล้อทั่วไปแล้ว Google ยังระบุด้วยว่าใช้ machine learning สอนให้ระบบสามารถตรวจจับและแยกแยะจักรยานหลากหลายประเภทอย่างจักรยานล้อเดียว, จักรยานเรียงแถว (Tandem Bike) และ Fatbikes เป็นต้น
ที่มา - Engadget
Google ออกรายงานประจำเดือนพฤษภาคมเรื่องรถไร้คนขับระบุว่า ระบบ AI ของรถไร้คนขับนั้น เรียนรู้การบีบแตรในสถานการณ์ต่างๆ มากขึ้น โดยในช่วงทดสอบ ทีมวิศวกรให้รถบีบแตรเฉพาะภายในรถเท่านั้น เพื่อไม่ให้รบกวนและสร้างความเข้าใจผิดแก่รถคันอื่น จนกระทั่งเริ่มมั่นใจในระบบ AI มากขึ้นจึงปล่อยเสียงแตรออกสู่ภายนอกตามปกติ
ทีมวิศวกรได้ทดสอบให้ตัวรถพบเจอกับสถานการณ์ที่ควรจะบีบแตรสารพัด ทั้งกรณีที่มีรถวิ่งสวนเลน, รถคันหน้าถอยหลังมา หรือแม้แต่สอนให้แยกแยะสถานการณ์อย่างรถที่วิ่งสวนเลนมา และรถที่พยายามจะกลับรถแบบ Three-point turn ซึ่งความดังของแตรก็จะแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ โดยรถจะบีบแตรดังสุดในสถานการณ์ฉุกเฉิน
Google ประกาศข่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่ากำลังจะตั้งศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับแห่งใหม่ในเขตเมือง Novi ห่างจากเมือง Detroit ออกไปราว 50 กิโลเมตร
ช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ มีวิศวกรของ Google หลายคนที่ทำงานจากระยะไกลจาก Detroit เพื่อร่วมพัฒนารถยนต์ไร้คนขับกับทีมที่สำนักงานใหญ่ใน California ด้วยเหตุนี้ Google จึงตัดสินใจจัดตั้งศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับที่เมือง Novi นี้เพื่อให้ทีมงานทำงานกันได้สะดวกมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การตั้งศูนย์ในละแวก Detroit เช่นนี้ ทำให้ Google มีโอกาสหาความร่วมมือจากคนเก่งๆ ในวงการรถยนต์จากอดีตเมืองหลวงแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ขณะที่ Uber เหมือนจะยืนยันอย่างเป็นทางการผ่านภาพหลุดแล้วว่า จะนำรถไร้คนขับมาให้บริการ ทาง Grab เองก็ดูเหมือนจะมีแนวคิดในลักษณะเดียวกันนี้โดยซีอีโอ Anthony Tan ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Recode ว่าบริษัทเปิดกว้างต่อการนำรถไร้คนขับมาให้บริการ หากเทคโนโลยีนี้พร้อม
Tan มองว่าสิงคโปร์น่าจะเป็นประเทศแรกที่จะมีรถไร้คนขับวิ่งก่อนประเทศอื่นในภูมิภาค เนื่องจากการเก็บแผ่นที่ค่อนข้างง่าย ขณะที่รัฐบาลสิงคโปร์ก็ผลักดันเทคโนโลยีนี้ด้วย ซึ่งขณะนี้ทาง Grab ก็เริ่มเก็บข้อมูลแผนที่และการจราจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มประเทศฟิลิปปินส์ไปแล้ว (ทำแผนที่ให้รัฐบาล)
แม้กูเกิลจะออกมาบอกเสมอว่ารถยนต์ไร้คนขับปลอดภัยกว่ารถทั่วไป ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ไม่ได้หมายความว่า รถยนต์ไร้คนขับจะไม่เผลอไปชนใครเข้าสักวัน เพราะอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นกูเกิลจึงออกแบบและจดสิทธิบัตรรถยนต์ไร้คนขับที่แม้ชนคนเดินเท้าเข้า ก็ไม่สร้างความเสียหายถึงชีวิต
กระบวนการขับเคลื่อนให้รถยนต์ไร้คนขับ ให้กลายเป็นที่ยอมรับทั้งในเชิงกฎหมายและสังคมในสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Google ได้จับมือกับ Ford, Volvo, Uber และ Lyft จัดตั้งกลุ่ม Self-Driving Coalition for Safer Streets ในการทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่อผลักดันร่างกฎหมาย รวมถึงสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและภาคส่วนอื่นๆ เกี่ยวกับรถไร้คนขับให้มากยิ่งขึ้น
Google กำลังจะนำรถยนต์ไร้คนขับไปทดสอบใน Phoenix รัฐ Arizona ถือเป็นเมืองที่ 4 ที่ Google จะได้เอารถที่พวกเขาพัฒนาไปวิ่งทดสอบบนถนนจริง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เอารถไปวิ่งทดสอบฝ่าทะเลทรายตรงๆ แต่โอกาสในการนำรถไร้คนขับไปวิ่งทดสอบใน Phoenix นั้นหมายถึง Google จะได้รู้แน่ชัดว่าเซ็นเซอร์และระบบต่างๆ ในรถของพวกเขาจะเป็นอย่างไรในสภาพอากาศที่มีฝุ่นทรายมากกว่าและร้อนกว่า California ซึ่งเป็นรัฐที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Google และเป็นที่ที่พวกเขาได้โอกาสทดสอบรถยนต์ไร้คนขับมากที่สุดเป็นระยะทางถึง 1.5 ล้านไมล์
เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ไร้คนขับของ Google ชนเข้ากับรถประจำทางคันหนึ่งในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา จุดเกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานใหญ่ของ Google
รถของ Google ขับมาด้วยความเร็ว 3 กม./ชม. พยายามวิ่งเข้ามาในเลนและชนเข้ากลางคันรถประจำทางที่กำลังวิ่งอยู่ในเลน วิศวกรที่นั่งควบคุมรถของ Google กล่าวว่าเขาคิดว่ารถประจำทางที่วิ่งมาด้วยความเร็ว 24 กม./ชม. จะชะลอรถ เพื่อให้รถของ Google วิ่งแทรกเข้ามาในเลนได้ เขาจึงไม่ได้แทรกแซงระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองของรถ เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
Astro Teller ประธาน X (หรือชื่อเดิม Google X) เผยกระบวนการทำงานและคัดกรองโครงการ เขาเล่าถึงวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับ "การล้มโครงการ" ถึงขั้นว่าทีมไหนตัดสินใจล้มโครงการใดๆ ทุกคนในทีมจะได้โบนัสกันถ้วนหน้า คนล้มได้เลื่อนตำแหน่ง ซึ่งขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไป
Astro เล่าแนวคิดของ X ว่าต้องประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ
เท้าความก่อนว่าทาง Google ได้ส่งจดหมายไปยังหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ (NHTSA) เพื่อยื่นข้อเสนอต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไร้คนขับ โดยหนึ่งในนั้นทาง NHTSA ได้ตอบกลับไปแล้วว่า ยอมรับระบบไร้คนขับของ Google ในฐานะผู้ขับขี่รถยนต์