บริษัทไอที 7 แห่ง ประกอบด้วย Asana, Canon, Dropbox, Google, Newegg, Pure Storage, SAP ประกาศตั้งกลุ่ม License on Transfer (LOT) Network หรือ LOTNET ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนสิทธิบัตรกันระหว่างสมาชิก เพื่อใช้ป้องกันตัวถ้าหากต้องเจอคดีฟ้องสิทธิบัตรในอนาคต

LOTNET ระบุว่ามีสิทธิบัตรในมือทั้งหมดเกือบ 300,000 รายการ (นับรวมสิทธิบัตรที่อยู่ระหว่างการยื่นจด) ในจำนวนนี้มีสิทธิบัตรที่จดในสหรัฐมากกว่า 50,000 รายการ

LOTNET ประกาศชัดเจนว่าความเสี่ยงจากการถูกฟ้องสิทธิบัตรโดย patent troll หรือบริษัทที่จดสิทธิบัตรเพื่อตั้งใจฟ้องมีสูงขึ้นเรื่อยๆ และตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา มีคดีฟ้องร้องด้านสิทธิบัตรมาแล้วมากกว่า 10,000 คดี

ในวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลในประเทศเยอรมนีพบว่า Motorola ได้ละเมิดสิทธิบัตรของบริษัทวิศวกรรมในประเทศเยอรมนี (LPKF) ในการออกแบบเสาอากาศสำหรับ Moto X และ Moto G โดย Motorola จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับ LPKF และยังต้องเรียกคืนเครื่องทั้งหมดในประเทศเยอรมนีที่ละเมิดลิขสิทธิ์อีกด้วย

ในขณะนี้คาดว่าทาง LPKF จะติดตามเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิบัตรในครั้งนี้ไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีการขายเครื่องด้วย แต่ตอนนี้ทาง Motorola พยายามที่จะอุทธรณ์คำตัดสินของศาลในประเทศเยอรมนีอยู่

ที่มา: GSMArena

เมื่อปี 2012 บริษัทจีน Zhizhen Network Technology จากเซี่ยงไฮ้ เคยยื่นฟ้องแอปเปิลว่า Siri ละเมิดสิทธิบัตรด้านการสั่งงานด้วยเสียงของตัวเองในภาษาจีนกลางและกวางตุ้ง (ยื่นขอสิทธิบัตรปี 2004 และได้รับในปี 2006) โดยขอให้ศาลสั่งห้ามไม่ให้แอปเปิลขายสินค้าที่มี Siri ติดตั้งอยู่

แอปเปิลยืนยันว่าไม่รู้จักสิทธิบัตรของ Zhizhen และไม่ได้ใช้เทคนิคตามสิทธิบัตรชิ้นนี้ ทนายความของแอปเปิลใช้วิธีขอให้สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของจีน (State Intellectual Property Office) ยกเลิกสิทธิบัตรฉบับนี้แต่ก็ถูกปฏิเสธ แอปเปิลจึงใช้วิธีฟ้องทั้ง Zhizhen และสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญา แต่ก็แพ้คดีในศาลปักกิ่งอีกเช่นกัน

ปกติเราจะเห็นข่าวไมโครซอฟท์ลงนามใช้สิทธิบัตรร่วมกับบริษัทที่เกี่ยวกับอุปกรณ์บนแพลตฟอร์มแอนดรอยด์เป็นประจำ แต่ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้ลงนามแลกเปลี่ยนสิทธิบัตรกับแคนนอนแล้ว โดยข้อตกลงนี้จะครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการด้านการถ่ายภาพดิจิทัลและอุปกรณ์พกพาของทั้งสองฝั่ง

เว็บไซต์ SlashGear ตั้งข้อสังเกตว่า ไมโครซอฟท์น่าจะใช้ประโยชน์จากดีลนี้กับมือถือที่บริษัทซื้อธุรกิจมาจากโนเกีย ส่วนแคนนอนน่าจะใช้ประโยชน์จากดีลนี้ในการผนวกกล้องเข้ากับวินโดวส์โฟน โดยแคนนอนอาจเดินตามรอยซัมซุงที่ออกมือถือเน้นกล้องตระกูล Galaxy โดยการเปิดตัวกล้องที่รันแพลตฟอร์มวินโดวส์โฟนก็เป็นได้

ต้องมาตามกันต่อว่าท้ายที่สุดเราจะได้เห็นสินค้าอะไรจากดีลนี้ครับ

ไมโครซอฟท์จดสิทธิบัตร Wearable Multi-modal Input Device for Augmented Reality ซึ่งกล่าวถึงอุปกรณ์สวมข้อมือที่สามารถยืดหดได้แนวเดียวกับ Nokia Morph ซึ่งก็มีข่าวลือว่าโนเกีย (ส่วนที่ไม่ได้ขายให้ไมโครซอฟท์) จะทำออกสู่ตลาดเช่นกัน (ดูภาพที่ 1 และ 2 เปรียบเทียบกันได้ท้ายข่าว)

ตามสิทธิบัตรนี้ระบุว่า อุปกรณ์สวมข้อมือนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเทคโนโลยีโลกเสมือน (augmented reality หรือ AR) มีสามรูปแบบการทำงาน คือ

เว็บไซต์ WPDang รายงานว่าไมโครซอฟท์ระงับโครงการ Fortaleza แว่นตาที่รองรับเทคโนโลยีโลกเสมือน (augmented reality หรือ AR) ไว้ชั่วคราว (temporarily canceled)

WPDang ระบุเหตุผลไว้ว่า ไมโครซอฟท์ไม่มีปัญหาในการพัฒนาอุปกรณ์เลยแต่ติดปัญหาเรื่องสิทธิบัตร เนื่องจากสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ไม่ได้เป็นของไมโครซอฟท์ทั้งหมด จึงต้องไลเซนส์สิทธิบัตรที่ในระหว่างพัฒนา Project Fortaleza นั้นเกิดไปอิงขึ้นมา WPDang ยังเสริมว่าที่จริงไมโครซอฟท์ได้สิทธิ์ในการใช้งานสิทธิบัตรสำหรับ Kinect รุ่นที่สองมาจำนวนหนึ่ง แต่บริษัทถูกจำกัดไม่ให้สิทธิบัตรเหล่านั้นกับงานอื่นได้อีก

เป็นประเด็นที่ไม่จบไม่สิ้นเสียที สำหรับกรณีการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรระหว่างแอปเปิลและซัมซุง แต่ดูเหมือนความขัดแย้งดังกล่าวจะมีแนวโน้มยุติลงในเร็ววันแล้ว เมื่อทางผู้บริหารของทั้งสองบริษัทกำลังพยายามเจรจาหาทางออกต่อประเด็นดังกล่าว

Korea Times รายงานว่าทางแอปเปิลและซัมซุงตกลงที่จะตัดประเด็นเรื่องสิทธิบัตรที่ขัดแย้งกันทิ้ง และเจรจาหาทางออกที่เป็นไปได้และมีผลประโยชน์ร่วมกัน ถึงแม้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทางผู้บริหารของทั้งสองบริษัทจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันไปแต่ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ก็ตาม

Elon Musk นักคิดค้นและซีอีโอบริษัทผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Tesla Motors ได้ประกาศลงบนบล็อกของเว็บไซต์ Tesla ว่าตัวเขาและบริษัทมีความยินดี หากบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ จะเอาเทคโนโลยีของเขาไปใช้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานสะอาด

Musk กล่าวว่า Tesla Motors ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำให้วงการการพัฒนารถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเติบโต แต่การถือสิทธิบัตรด้านเทคโนโลยีดังกล่าวไว้ฝ่ายเดียว เท่ากับว่า Tesla กำลังทำในสิ่งที่ขัดกับหลักการแรกเริ่มอยู่ เพราะเขาเห็นว่าการผลิตรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้น้ำมันออกสู่ตลาดในปัจจุบัน ยังมีส่วนน้อยถึงน้อยมาก มีไม่ถึง 1% ของจำนวนรถยนต์ที่ขายออกสู่ตลาดทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ

เราได้เห็นความพยายามจะสร้างสมาร์ทโฟนที่สามารถแปลงร่างไปสู่อุปกรณ์ที่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นมาหลายรูปแบบแล้ว ทั้งการใส่ด็อกเพื่อเป็นโน้ตบุ๊ก หรือเป็นแท็บเล็ต และคราวนี้เป็นแนวคิดจากทางซัมซุงที่เพิ่งจดสิทธิบัตรสมาร์ทโฟนที่สามารถแปลงเป็นแท็บเล็ตด้วยการพับหน้าจอ

จากรูปทรงแล้ว สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ของซัมซุงจะเป็นอุปกรณ์ที่ถูกพับไว้สามชั้น ซึ่งสามารถกางออกมาเป็นแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 8" หรือ 9" ซึ่งเคล็ดลับของการทำอุปกรณ์รูปทรงนี้ได้ก็มาจากเทคโนโลยีหน้าจอยืดหยุ่นได้นั่นเอง

คดีสิทธิบัตรที่โมโตโรลาฟ้องแอปเปิลและแอปเปิลฟ้องโมโตโรลามาตั้งแต่ปี 2010 (สมัยที่โมโตโรลายังเป็นไทแก่ตัวด้วยซ้ำ) และลากยาวมาถึงปัจจุบันได้ยุติลงแล้ว เมื่อทั้งสองบริษัทสามารถเจรจายุติคดีและยอมความกันได้นอกศาล

ทั้งคู่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของการยุติคดีครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้แลกเปลี่ยนสิทธิบัตรกันตามธรรมเนียมของคดีแนวๆ นี้ ทั้งสองฝ่ายบอกเพียงว่าจะร่วมมือกันผลักดันเรื่องการปฏิรูปกฎหมายสิทธิบัตรในบางประเด็นต่อไป

สถานะของคดีในสหรัฐอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ ซึ่งขั้นต่อไปทั้งสองบริษัทจะแจ้งให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากระบบ

ไมโครซอฟท์ได้รับอนุมัติการขอจดสิทธิบัตร Mobile Devices with Plural Displays ซึ่งกล่าวถึงอุปกรณ์พกพาที่มีจอภาพหลักด้านหน้า และจอภาพเสริม (secondary display) ที่ด้านหลัง ขอบตัวเครื่องทั้งสี่ด้าน และ/หรือด้านหน้าของอุปกรณ์ ขอบของจอภาพเสริมแต่ละด้านนี้สามารถเชื่อมติดกับจอภาพหลักและจอภาพเสริมที่ด้านอื่นๆ ของตัวเครื่องได้ โดยการควบคุมการทำงานระหว่างจอภาพหลักและจอภาพเสริมนั้นแยกอิสระต่อกัน

ไม่รู้ว่าอนาคตโนเกียจะมีจอโค้งหรือจอภาพรอบตัวเครื่องหรือเปล่านะ

ไมโครซอฟท์จดสิทธิบัตร Wearable Personal Information System ซึ่งกล่าวถึงนาฬิกาสำหรับการออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้ง และแท่นชาร์จที่เป็นด็อกในตัว (ดูภาพประกอบท้ายข่าว)

สิทธิบัตรกล่าวว่า ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอพจับระยะทางที่วิ่งไป อัตราการเต้นของหัวใจ และแคลอรี่ที่ใช้ไปได้ (ภาพที่ 1) นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถถอดตัวเรือนนาฬิกาไปใช้กับอุปกรณ์อื่นในอนาคตเพื่อเก็บข้อมูลได้ (ภาพที่ 2) และสามารถวางกับแท่นชาร์จที่เป็นด็อก (ภาพที่ 4) เพื่อการรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์อื่น และตั้งเป็นนาฬิกาปลุกได้ (ภาพที่ 3)

หลังจากที่ศาลได้มีคำตัดสินในคดีสิทธิบัตร 3 รายการระหว่าง Apple กับ Samsung ออกมาแล้วโดยสรุปได้ว่า Samsung ต้องจ่ายค่าละเมิดสิทธิบัตรให้แก่ Apple เป็นเงิน 119.6 ล้านดอลลาร์ ล่าสุดคณะลูกขุนได้ให้ความเห็นว่า หาก Apple ต้องการเงินชดเชยมากกว่านี้ก็ควรสู้คดีกับ Google โดยตรง

นิตยสาร Vanity Fair ได้เขียนถึงประวัติและกลยุทธ์ในการทำธุรกิจของซัมซุง โดยในเนื้อหาระบุว่ามันเป็นเรื่องปรกติ ที่ซัมซุงจะละเมิดสิทธิบัตรของคู่แข่งต่อไปเรื่อย ๆ เพราะซัมซุงมีประวัติทางด้านนี้มานาน และก็ประสบความสำเร็จมากเสียด้วย

ในปี 2010 ก่อนที่แอปเปิลจะฟ้องซัมซุงข้อหาละเมิดสิทธิบัตร ทีมผู้บริหารและทีมกฎหมายของแอปเปิล ได้บินเข้าพบกับทีมผู้บริหารของซัมซุง โดยรองประธานของซัมซุงได้ขู่แอปเปิลไว้ว่า ถ้าแอปเปิลเลือกที่จะฟ้องซัมซุง ซัมซุงก็จะฟ้องคืนทันที เพราะว่า “ซัมซุงผลิตมือถือมานานแทบจะตลอดกาล และซัมซุงก็มีสิทธิบัตรของตัวเอง ซึ่งเป็นไปได้ว่าแอปเปิลได้ละเมิดสิทธิบัตรบางฉบับไปแล้วด้วยซ้ำ”

นี่เป็นการต่อสู้กันในชั้นศาลรอบที่สองระหว่างแอปเปิลและซัมซุง โดยแอปเปิลอ้างว่าซัมซุงได้ละเมิดสิทธิบัตร 5 ฉบับของแอปเปิล และต้องการเรียกร้องค่าเสียหายเป็นมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ ล่าสุดคณะลูกขุนได้ตัดสินแล้วว่าซัมซุงได้ละเมิดสิทธิบัตร data syncing และ slide-to-unlock ในขณะที่ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษา Koh ได้ออกมาตัดสินแล้วว่าซัมซุงละเมิดสิทธิบัตร autocomplete ของแอปเปิล

สิทธิบัตรสองฉบับที่เหลือ ที่คณะลูกขุนไม่ได้เห็นว่าซัมซุงละเมิด คือสิทธิบัตร universal search และสิทธิบัตร background syncing

Apple ได้สิทธิบัตรฉบับใหม่เกี่ยวกับเทคนิคการระบุตำแหน่งของผู้ใช้โดยอาศัยข้อมูลจากอุปกรณ์พกพาของผู้ใช้ว่าเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย Wi-Fi ใดในพื้นที่ โดยสิทธิบัตรฉบับนี้ถูกยื่นจดตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2012 และเพิ่งได้รับอนุมัติเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา

การระบุตำแหน่งของผู้ใช้โดยอ้างอิงจากตำแหน่งของเสาส่งสัญญาณ Wi-Fi ที่อุปกรณ์พกพาของผู้ใช้เชื่อมต่ออยู่นี้เป็นเทคนิคที่มีการใช้งานกันแพร่หลายมานานแล้ว (สมาร์ทโฟนสารพัดยี่ห้อล้วนแล้วแต่มีฟีเจอร์นี้) โดยอาศัยความสามารถของอุปกรณ์พกพาที่จะตรวจหาเครือข่าย W-Fi ที่อยู่ใกล้เคียงในขณะนั้นตลอดเวลา จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ก็จะอาศัยข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์ของจุดส่งสัญญาณเครือข่าย Wi-Fi เหล่านั้น ทำให้ประเมินตำแหน่งของผู้ใช้ได้

Foxconn ประกาศข่าวเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่าได้ขายสิทธิบัตรเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการสื่อสารบางส่วนให้แก่ Google

อย่างไรก็ตาม Foxconn มิได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมอื่น ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของสิทธิบัตร, จำนวนสิทธิบัตรในข้อตกลงซื้อ-ขาย ตลอดจนเรื่องมูลค่าของการซื้อ-ขายสิทธิบัตรในครั้งนี้

Foxconn ระบุว่าบริษัทมีสิทธิบัตรที่อยู่ระหว่างยื่นจดทะเบียนมากกว่า 128,000 รายการ และมีสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติแล้วอยู่ในครอบครองมากกว่า 64,000 รายการ โดยแม้ว่า Foxconn จะดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เป็นหลัก แต่บริษัทก็ได้พยายามคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และยื่นจดสิทธิบัตรเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรมากยิ่งขึ้น

ด้าน Google ยังไม่ให้ความเห็นใดเกี่ยวกับการซื้อ-ขายสิทธิบัตรในครั้งนี้

ไมโครซอฟท์จดสิทธิบัตร Touchless Input ซึ่งกล่าวถึงการรับอินพุทโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ

สิทธิบัตรอธิบายว่า การใช้นิ้วควบคุมเคอร์เซอร์บนหน้าจออุปกรณ์โดยไม่สัมผัสหน้าจอทำได้โดยใช้กล้องจับความลึก (depth camera) หรือเซ็นเซอร์อื่น (หมายเลข 110 บนภาพที่ท้ายข่าว) ที่จะจับภาพแผนที่ความลึก (depth map) และระบบวิเคราะห์พิกเซลต่างๆ บนแผนที่ความลึกเพื่อหาพิกเซลที่มีวัตถุที่เคลื่อนไหวอยู่ (non-static pixel) ที่มีความลึกมากที่สุด (shallowest depth) ตำแหน่งของพิกเซลเหล่านั้น (ซึ่งก็หมายถึงนิ้วมือของผู้ใช้) จะถูกเทียบกับตำแหน่งของเคอร์เซอร์ต่อไป เทคนิคนี้อาจถูกปรับใช้เพื่อควบคุมการทำงานของเคอร์เซอร์และการวาดนิ้วแบบหลายตำแหน่ง (multitouch gestures) ได้

หากจำกันได้เมื่อต้นปี Google ได้เปิดตัวคอนแทคเลนส์อัจฉริยะ ซึ่งมีการฝังเซ็นเซอร์และชิปประมวลผลไว้ในตัว ตอนนี้ Google ได้ขอจดสิทธิบัตรที่เกี่ยวโยงกับคอนแทคเลนส์อัจฉริยะดังกล่าว ซึ่งว่าด้วยการติดตั้งกล้องขนาดเล็กจิ๋วเข้าไปในตัวคอนแทคเลนส์นั้น

แนวคิดในการติดตั้งกล้องเข้าไปในคอนแทคเลนส์อัจฉริยะนี้ก็เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถรับรู้มุมมองแบบเดียวกับที่ผู้ใช้มองเห็นจริงได้ ทำให้สามารถประมวลผลเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่รับและบันทึกภาพจะถูกติดตั้งอยู่ในบริเวณที่ไม่บดบังส่วนนัยน์ตาดำของผู้ใช้งาน

Hiroshi Lockheimer หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรม Android ขึ้นให้การเป็นพยานแก่ซัมซุง ในคดีสิทธิบัตรกับแอปเปิล โดยเขาให้การยืนยันว่าฟีเจอร์หลายอย่างของ Android (ที่แอปเปิลฟ้องว่าลอก) นั้นกูเกิลคิดเองมาตั้งแต่แรก

Lockheimer บอกว่าเขามาอยู่กับกูเกิลตั้งแต่ปี 2006 โดยตอนนั้นทีม Android มีคนประมาณ 20-30 คน (ปัจจุบันมีประมาณ 600-700 คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา) วิธีการทำงานของ Android เป็นเหมือน startup ที่แยกตัวเป็นอิสระจากกูเกิล

เขาเล่าประวัติการกำเนิด Android ให้คณะลูกขุนฟังว่ากูเกิลพยายามทำซอฟต์แวร์ให้แตกต่างจาก iOS อยู่แล้ว กูเกิลอยากมีอัตลักษณ์ของตัวเอง มีไอเดียของตัวเอง มีความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่

Lenovo ยังเดินหน้าเสริมทัพธุรกิจมือถือของตัวเองอย่างต่อเนื่อง (หลังซื้อโมโตโรลาจากกูเกิล) ล่าสุดประกาศซื้อสิทธิบัตรด้านโทรศัพท์มือถือทั้ง 3G และ LTE จาก NEC กว่า 3,800 รายการ

ผู้บริหารของ Lenovo ประกาศชัดเจนว่าต้องการเสริมความแข็งแกร่งของคลังสิทธิบัตร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขยายกิจการมือถือสู่ระดับโลก

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า Apple, DuPont, Ford, General Electric, IBM, Microsoft และ Pfizer รวมตัวกันตั้งกลุ่ม Partnership for American Innovation เพื่อล็อบบี้สมาชิกสภาคองเกรสให้ถอนการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกฎหมายที่จะต่อกรกับ PAE (บริษัทที่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากซื้อสิทธิบัตรมาและพยายามเรียกร้องค่าธรรมเนียมใช้สิทธิบัตรจากบริษัทอื่นหรือฟ้องร้องบริษัทอื่นว่าละเมิดสิทธิบัตร ซึ่งเราเรียกกันว่า patent trolls) เนื่องจากทางกลุ่มมองว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการปกป้องสิ่งประดิษฐ์ (invention) ที่มีคุณค่า

นอกจากนั้น กลุ่มนี้จะต่อต้านความพยายามที่จะทำให้ซอฟต์แวร์และไบโอเทคโนโลยีไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ด้วย

เมื่อวานนี้ ผู้พิพากษาของศาลแขวงตอนเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามที่ BlackBerry ร้องขอ ห้ามมีการจำหน่าย Typo ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ iPhone ที่เป็นแป้นพิมพ์ติดไปกับตัวเครื่อง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้าน BlackBerry ซึ่งเป็นผู้ยื่นฟ้องร้องและขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระบุว่า เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการตัดสินในครั้งนี้และจะปกป้องการออกแบบดังกล่าว ด้าน Ryan Seacrest ที่เป็นดาราและเจ้าของแป้น Typo ดังกล่าว ออกมาระบุว่าจะมีการอุทธรณ์ของคำสั่งศาลดังกล่าวต่อไป

Dell กลายเป็นบริษัทฮาร์ดแวร์รายล่าสุดที่เซ็นสัญญาสิทธิบัตรกับไมโครซอฟท์ เพื่อป้องกันการฟ้องร้องจากสิทธิบัตรที่ไมโครซอฟท์ถืออยู่และมีโอกาสทับซ้อนกับ Android และ Chrome OS

Dell เองช่วงหลังหันมาเน้น Android มากขึ้น และเพิ่งประกาศทำ Chromebook เมื่อปลายปีที่แล้ว การเซ็นสัญญาคุ้มครองทางสิทธิบัตรกับไมโครซอฟท์ย่อมเป็นมาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันการฟ้องร้อง

นอกจากนี้ในสัญญายังมีพูดถึงสิทธิบัตรของ Xbox (แต่ไม่บอกรายละเอียดว่าเป็นอะไร คาดว่าน่าจะเป็นไมโครซอฟท์ใช้สิทธิบัตรบางตัวจาก Dell มาใช้ใน Xbox)

Lenovo วางแผนจะซื้อสิทธิบัตรและใบอนุญาตต่างๆ รวมมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมธุรกิจสมาร์ทโฟนของตนเอง โดยคาดว่าการซื้อขายครั้งนี้จะเสร็จสิ้นภายใน 30 วัน

แผนงานในครั้งนี้ เป็นการซื้อสิทธิบัตรส่วนหนึ่ง และซื้อสิทธิการใช้งานสิทธิบัตรอีกบางส่วน จากบริษัท Unwired Planet ซึ่งเป็นบริษัทในรัฐ Nevada ของสหรัฐอเมริกา โดยเนื้อหาด้านเทคนิคของสิทธิบัตรที่อยู่ในข้อตกลงซื้อขาดนี้ เกี่ยวกับเทคโนโลยี 3G และ LTE แบ่งออกได้เป็น 21 หัวเรื่อง ส่วนสิทธิการใช้งานสิทธิบัตรที่รวมอยู่ด้วยนั้น จะทำให้ Lenovo สามารถใช้งานสิทธิบัตรอื่นของ Unwired Planet (ทั้งที่รอจดสิทธิบัตรและจดสำเร็จแล้ว) จำนวนกว่า 2,500 รายการ