Google ได้สิทธิบัตรว่าด้วยซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนบทสนทนาด้วยตัวอักษรเป็นภาพการ์ตูนสั้น

ตามคำบรรยายและภาพสิทธิบัตร ผู้ใช้เพียงแค่พิมพ์ข้อความบทสนทนาของตัวละครอย่างน้อย 2 ตัว ลงในช่องข้อมูลของระบบ พร้อมตั้งชื่อเรื่องและเลือกธีมของการ์ตูนที่ต้องการ สิ่งที่ได้คือภาพหน้าตัวการ์ตูนสนทนากันตาม "บท" ที่ผู้ใช้ได้กรอกไว้

ช่วงนี้มีข่าวของ Galaxy S5 และว่าที่เรือธงรุ่นใหม่ Galaxy F ออกมาค่อนข้างมาก พ่วงมาด้วยการออกแบบใหม่ที่จะใช้วัสดุเป็นโลหะมาด้วย ล่าสุดมีคนตาดีไปเห็นว่าซัมซุงจดสิทธิบัตรใหม่เกี่ยวกับการออกแบบ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับมือถือเรือธงของปีนี้ก็เป็นได้

สิทธิบัตรดังกล่าวยื่นไปตั้งแต่ช่วงกลางปี 2012 ใช้หลักการออกแบบต่างกับมือถือของซัมซุงค่อนข้างมาก ตัวเครื่องเน้นขอบโค้งมนทั้งด้านหน้า และด้านหลัง กระจกหน้าจอโค้งไปจนเกือบถึงด้านหลังตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มทั้งด้านหน้า และด้านข้างของเครื่องอีกด้วย

ดูจากรูปที่ออกมาแล้ว คงเทียบได้กับการจับเอา HTC One X มารวมกับ Nokia N8 ครับ

หากใครถ่ายภาพเป็นจำนวนมากจะพบว่านับวันจะหาภาพที่เราถ่ายยากขึ้นเรื่อยๆ การแท็กภาพนั้นช่วยให้เราค้นหาภาพง่ายขึ้นก็จริง อย่างไรก็ดีกว่าจะมานั่งพิมพ์ชื่อผู้คนในภาพกับสถานที่ของภาพนั้นก็ยังต้องใช้เวลา แต่ในอนาคตประสบการณ์ผู้ใช้งานด้านการแท็กภาพอาจดีขึ้นหากมีการอิมพลีเมนต์ระบบตามสิทธิบัตรนี้

แอปเปิลจดสิทธิบัตร Voice-Based Image Tagging and Searching ซึ่งกล่าวถึงการโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อความเสียงกับรูปภาพที่เก็บอยู่ในอุปกรณ์ อาทิ เมื่อผูัใช้พูดว่า "This is us at the beach" ระบบจะแท็กชื่อผู้ใช้ ชื่อผู้ติดตามในทริปนั้น และสถานที่ของภาพนั้นให้ หรือเมื่อพูดว่า "Show me photos of me at the beach" ระบบจะค้นหาภาพชายหาดที่มีผู้ใช้ถูกแท็กอยู่

ข่าวนี้ต่อจากข่าว Rockstar ฟ้องคดีสิทธิบัตรเหมาเข่ง ซัด Google, Samsung, HTC, Huawei และอีก 4 บริษัท (ไม่ใช่บริษัทเกม Rockstar แต่เป็นบริษัทด้านสิทธิบัตร Rockstar Consortium ที่ลงขันโดย Apple, Microsoft, BlackBerry, Ericsson)

ฝั่งกูเกิลได้ตอบโต้คดีนี้โดยยื่นฟ้องแยกเป็นอีกคดีหนึ่ง เพื่อให้ศาลตัดสินว่ากูเกิลไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตร 7 รายการตามที่ Rockstar กล่าวอ้าง

ในคำฟ้องนี้กูเกิลระบุว่า Rockstar เป็นบริษัท patent troll คือไม่ได้ทำอะไรขายเป็นชิ้นเป็นอัน แต่นำสิทธิบัตรของ Nortel ที่ประมูลได้ไปไล่ฟ้องบริษัทอื่นๆ โดยกูเกิลอ้างคำให้สัมภาษณ์ของซีอีโอ Rockstar ที่ว่า Facebook และ LinkedIn ก็ละเมิดสิทธิบัตรของตัวเองด้วย

กูเกิลจดสิทธิบัตร Wearable Computer with Nearby Object Response ซึ่งกล่าวถึงวิธีการที่ทำให้ผู้สวมใส่อุปกรณ์ที่มีหน้าจอแบบสวมหัว (head-mounted display หรือ HMD) อย่างแว่นตา หลีกเลี่ยงการชนกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวได้

สิทธิบัตรนี้กล่าวถึงการตรวจจับการชนจากเซ็นเซอร์วัดระยะทางและ/หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ส่วนการแจ้งเตือนผู้ใช้ให้เลี่ยงการชนนั้นอาจรวมถึงการ de-emphasize วัตถุเสมือนที่แสดงผลบน HMD อย่างน้อยหนึ่งวัตถุให้ดูไม่เป็นระเบียบ (ต้นฉบับเรียก cluttered view) และเน้นแสดงผลวัตถุเสมือนนั้นในลักษณะแบบโปร่งใส่และ/หรือเป็นวัตถุใหม่

หวังว่าท้ายที่สุดกูเกิลจะปรับใช้สิทธิบัตรลักษณะนี้กับ Google Glass รุ่นต่อๆ ไปนะ

Apple ได้สิทธิบัตรเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ใหม่อีก 1 รายการ นั่นคืออุปกรณ์แสดงผลแบบสวมใส่ศีรษะ โดยสิทธิบัตรฉบับนี้เพิ่งได้รับการอนุมัติหลังจากที่ Apple ได้ยื่นจดเอาไว้ตั้งแต่ปี 2008

สิ่งประดิษฐ์ตามที่ระบุในสิทธิบัตรนั้นมีลักษณะคล้ายกล้องมอง 2 ตา ที่มาพร้อมสายรัดศีรษะ ภายในมีการแสดงผลผ่านหน้าจอ 2 ชุดที่แยกออกจากกันเพื่อสร้างภาพแยกเฉพาะสำหรับดวงตาข้างซ้ายและขวา และแน่นอนว่ามันสามารถสร้างมุมมอง 3 มิติให้แก่ผู้ใช้ได้ไม่ว่าจะใช้มันเล่นเกมหรือดูวิดีโอ

Apple เพิ่งได้รับอนุมัติสิทธิบัตรฉบับใหม่ว่าด้วยเรื่องการผลิตหน้าจอสัมผัสแบบผิวโค้ง สอดรับกับข่าวลือที่ว่ากำลังทำนาฬิกาอัจฉริยะที่มีหน้าจอโค้งมน

ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกามีมติรับคดีที่อาจส่งผลถึงการจดสิ่งที่เป็นนามธรรมของซอฟต์แวร์ทั้งมวลในอนาคต โดยรับพิจารณาคดีระหว่าง CLS Bank International กับ Alice Corporation Pty Ltd ซึ่งมีรายละเอียดของคดีโดยคร่าวคือ Alice Corp. พัฒนาซอฟต์แวร์เครื่องมือทางการเงินขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มให้บุคคลที่สามเข้ามาดูแลพันธกรณีทางการค้าระหว่างสองฝ่ายให้เป็นไปตามข้อผูกพันนั้นๆ โดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะบิดพลิ้วไม่ได้ ซึ่ง Alice Corp ได้อ้างว่า CLS Bank ได้ลอกไอเดียดังกล่าวไปสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองขึ้นมา

ไมโครซอฟท์ยื่นจดสิทธิบัตร Grip-Based Device Adaptations ซึ่งกล่าวถึงพื้นผิวที่รับรู้การสัมผัส (touch-aware skin) ซึ่งจะถูกติดตั้งบนอุปกรณ์เพื่อให้อุปกรณ์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้

สิทธิบัตรนี้อธิบายว่า พื้นผิวนั้นอาจประกอบด้วยเซ็นเซอร์หลายตัวที่ถูกติดตั้งบนอุปกรณ์ (อาทิ บนขอบหน้าจอแท็บเล็ต ดังภาพที่ 1) ที่รับข้อมูลและแปลความลักษณะการจับถืออุปกรณ์ (grip characteristic) จากนั้นการตั้งค่าและตำแหน่งของคีย์บอร์ดเสมือนบนหน้าจอและหน่วยรับข้อมูลรูปแบบอื่นอาจปรับเปลี่ยนไปตามการจับถือของผู้ใช้ (ภาพที่ 2)

ผมว่าไมโครซอฟท์สามารถประยุกต์ใช้สิทธิบัตรนี้ได้อีกเยอะ ถ้าประยุกต์ใช้จริงและเปิดให้นักพัฒนาภายนอกใช้ได้จะดีมาก

แนวโน้มของสมาร์ทโฟนในทุกวันนี้ต่างก็มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันมีข้อดีและข้อเสียในตัว ซึ่งผู้ใช้บางรายมองว่าหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้การใช้งานด้วยมือข้างเดียวนั้นไม่ใคร่จะสะดวกนัก ด้วยเหตุนี้ Samsung จึงปิ๊งไอเดียและยื่นจดสิทธิบัตรฉบับใหม่เป็นเทคนิคการจัดวางส่วนติดต่อผู้ใช้งานบนหน้าจอสมาร์ทโฟนให้สะดวกต่อการใช้งานมือเดียว โดยอาศัยการตั้งค่าโดยตรงด้วยตัวผู้ใช้เอง

ซัมซุงได้จดสิทธิบัตร Method of operating functions of a portable terminal having a bended display ซึ่งอธิบายถึงฟังก์ชันบนอุปกรณ์แบบพกพาที่มีหน้าจอบิดงอลงไปด้านข้างของตัวเครื่อง ภาพของอุปกรณ์ที่ปรากฏในสิทธิบัตรนั้นคล้ายกับที่บริษัทเคยโชว์สมาร์ทโฟนต้นแบบใช้จอ OLED บิดงอลงไปที่ขอบด้านขวาของเครื่องเมื่องาน CES ต้นปีนี้

ฟังก์ชันที่พูดถึงในสิทธิบัตรมี อาทิ การปลดล็อกเครื่อง การเก็บคอนเทนต์ลงคลิปบอร์ด และการเข้าถึงภาพในคลังภาพ (ดูภาพได้ที่ท้ายข่าว) สำหรับฟังก์ชันทั้งหมดนั้นดูได้จากเว็บไซต์ The Verge ครับ

แอปเปิลยื่นจดสิทธิบัตร Digital camera including refocusable imaging mode adaptor เมื่อสองปีที่แล้ว และเพิ่งได้รับการอนุมัติเมื่อไม่กี่วันก่อน

สิทธิบัตรนี้กล่าวถึงกล้องที่สามารถสลับโหมดระหว่างการถ่ายภาพที่ความละเอียดต่ำที่สามารถนำมาปรับโฟกัสทีหลังได้ และภาพที่ความละเอียดสูงที่ไม่สามารถนำมาปรับโฟกัสทีหลังได้

เพื่อให้กล้องสามารถถ่ายภาพได้ทั้งสองโหมด ตัวกล้องจะมีอแด็ปเตอร์ซึ่งมีแผงเลนส์ขนาดจิ๋ว (microlens array) ที่สามารถสไลด์เข้าระหว่างเลนส์และเซ็นเซอร์ของกล้องเพื่อถ่ายภาพก่อนโฟกัสทีหลัง (ภาพที่ 1) และสไลด์ออกเพื่อถ่ายภาพปกติ (ภาพที่ 2)

โนเกียได้จดสิทธิบัตร Responding to changes in emotional condition of a user ซึ่งกล่าวถึงความสามารถที่อุปกรณ์พกพาจะตรวจจับอารมณ์ของผู้ใช้และตอบสนองโดยแสดงผลภาพของผู้ใช้ ณ ขณะนั้นบนคอนเทนต์แทนที่จะเป็นอิโมติคอนปกติได้

สิทธิบัตรอธิบายว่า ระบบจะตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ผ่านอัตราเร็วการพิมพ์ข้อความ, ระดับแรงกดแป้นคีย์บอร์ดระหว่างพิมพ์, จำนวนครั้งของการใช้ฟังก์ชัน backspace หรือ delete, อักขระที่ถูกพิมพ์หลายตัวติดกันเพื่อเป็นอิโมติคอน หรือการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของผู้ใช้ และหากพบความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ อุปกรณ์พกพาจะถ่ายภาพผู้ใช้และวางบนคอนเทนต์แทนที่จะเป็นอิโมติคอนปกติได้

คดีสิทธิบัตรการเข้ารหัส RC4 และการแลกกุญแจสาธารณะที่บริษัท TQP ฟ้อง Newegg คณะลูกขุนในศาลชั้นต้นตัดสินแล้วว่าให้ Newegg จ่ายค่าเสียหาย 2.3 ล้านดอลลาร์ จากที่ TQP เรียกร้อง 5.1 ล้านดอลลาร์ โดยยืนยันว่ามีการละเมิดสิทธิบัตรทั้งสี่ฉบับจริง

TQP ยังมีคดีรอขึ้นศาลอีกนับสิบคดี โดยมีคู่กรณีเช่น กูเกิล, LinkedIn, หรือโซนี่ จนถึงตอนนี้ TQP ได้รับค่าเสียหายไปแล้วกว่า 45 ล้านดอลลาร์

บริษัทขนาดใหญ่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนกระบวนการเข้ารหัสจาก RC4 เป็นกระบวนการอื่นที่แน่นหนากว่า แต่ยังไม่มีบริษัทใดออกมายอมรับว่าเป็นเพราะถูกเรียกค่าเสียหายเช่นนี้

กระบวนการเข้ารหัสแบบสตรีมอย่าง RC4 ที่รับรู้กันว่าถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดย Ron Rivest หรือตัว R ใน RSA ตั้งแต่ปี 1987 ถูกอ้างว่ามีสิทธิบัตรที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ในสิทธิบัตรหมายเลข US 5412730 A สิทธิบัตรนี้ถือครองโดยบริษัท TQP Development โดยตอนนี้มีบริษัทถูก TQP ยื่นฟ้องแล้ว 140 บริษัท แต่ Newegg ผู้ค้าปลีกไอทีรายใหญ่ไม่ยอมจ่ายค่าสิทธิบัตร และนำคดีนี้ขึ้นศาล

RC4 เป็นกระบวนการเข้ารหัสพื้นฐานที่ได้รับความนิยมสูง เพราะมีประสิทธิภาพที่ดี เว็บจำนวนมากใช้ RC4 เป็นกระบวนการเข้ารหัสลำดับแรกเพราะต้องการประหยัดทรัพยากร

Sony อาจกำลังจะฉีกแนวทำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ได้ ดังจะเห็นได้จากการยื่นจดสิทธิบัตรวิกผมอัจฉริยะที่ใช้ชื่อเรียกตรงไปตรงมาว่า SmartWig

ตามคำบรรยายในคำขอจดสิทธิบัตรของ Sony นั้น ภายนอกของ SmartWig ก็ทำจากวัสดุที่อาจจะเป็นขนสัตว์, เส้นผมมนุษย์ หรือวัสดุสังเคราะห์อื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เฉกเช่นเดียวกับวิกผมทั่วไป หากแต่ภายในมีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นได้แบบไร้สาย ซึ่งอาจจะเป็นสมาร์ทโฟน, นาฬิกา smart watch หรือแว่นตา smart glasses

อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ภายใน SmarWig คืออุปกรณ์สร้างการสั่นซึ่งจะตอบสนองเมื่อมีการแจ้งเตือนเข้ามาที่สมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาอื่นที่เชื่อมต่อแบบไร้สายอยู่กับ SmartWig นั่นเอง

Google ได้สิทธิบัตรฉบับใหม่ ว่าด้วยเรื่องระบบที่จะช่วยเสนอข้อความสำหรับโพสต์แสดงความเห็นบนเครือข่ายสังคมออนไลน์แก่ผู้ใช้ได้อย่างอัตโนมัติ

ระบบที่ว่านี้จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้และผู้ที่ติดต่อด้วย จากการโพสต์ความเห็นต่างๆ ที่ระบบได้รับอนุญาตให้เข้าถึงได้ เพื่อวิเคราะห์ทำความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ว่าควรตอบสนองอย่างไร ตัวอย่างเช่น หากระบบรู้ว่า เพื่อนผู้ติดต่อของผู้ใช้ได้งานใหม่ ก็จะเข้าใจได้ว่าผู้ใช้ควรแสดงความยินดีด้วย หรือเมื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักของเพื่อนผู้ตืดต่อตายไป ระบบก็จะเข้าใจได้ว่าผู้ใช้ควรแสดงข้อความในเชิงเห็นอกเห็นใจ เป็นต้น

มีคนไปพบว่าโมโตโรล่าได้จดสิทธิบัตร ไมโครโฟนพร้อมตัวส่งสัญญาณและแหล่งพลังงานแปะที่ลำคอของผู้ใช้ในลักษณะสติ๊กเกอร์รอยสัก (ดูภาพท้ายข่าว) แนวคิดคืออุปกรณ์นี้จะจับการสั่นที่กล่องเสียงโดยตรง เพื่อตัดเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมภายนอกออกไป

สิทธิบัตรระบุไว้ว่า อุปกรณ์นี้อาจสื่อสารไร้สายกับอุปกรณ์พกพาอย่างมือถือผ่าน Bluetooth, NFC หรือโปรโตคอลอื่น และมากับแบตเตอรี่ที่อาจชาร์จไฟซ้ำหรือไม่สามารถชาร์จซ้ำได้

สิทธิบัตรยังระบุว่าเทคโนโลยีนี้อาจใช้กับสัตว์อื่นนอกเหนือจากมนุษย์ได้ด้วย

ในระหว่างการพิจารณาคดีระหว่างแอปเปิลกับซัมซุง แอปเปิลจะต้องให้ข้อมูลลับที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงแบ่งปันสิทธิบัตรระหว่างแอปเปิลกับโนเกีย, Ericsson, Sharp และ Philips เพื่อช่วยในการพิจารณาคดีของศาล แต่ซัมซุงกลับนำข้อมูลลับนี้ไปเผยแพร่ต่อ เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทตัวเอง โดยในตอนนี้พนักงานซัมซุงกว่า 90 คน และนักกฎหมายที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เห็นข้อมูลนี้กว่า 130 คน ทราบข้อมูลลับนี้เรียบร้อยแล้ว

ซัมซุงได้ออกมายอมรับกับศาลว่า สิ่งที่ทำไปนี้ผิด และซัมซุงไม่ได้ตั้งใจจะเผยข้อมูลลับเหล่านี้ และบริษัทขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เราทราบกันดีว่าไมโครซอฟท์มีรายได้จากการเซ็นสัญญาสิทธิบัตรกับเหล่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์แอนดรอยด์อยู่มากพอสมควร เพียงแต่บริษัทก็ไม่เคยเปิดเผยตัวเลขว่าเท่าไรกันแน่

ล่าสุดนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ Nomura ออกมาประเมินตัวเลขรายได้จากสิทธิบัตรว่าอยู่ที่ 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี อัตรากำไรประมาณ 95% (แทบไม่มีต้นทุนเลย)

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ไมโครซอฟท์จัดกลุ่มรายได้จากสิทธิบัตรอยู่ในฝ่าย Entertainment and Devices ซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับ Windows Phone และ Xbox ซึ่งทำให้ตัวเลขผลประกอบการของฝ่ายนี้ดูเยอะกว่าที่ควรจะเป็น และถ้าหักตัวเลขรายได้จากแอนดรอยด์ออกไปแล้ว Xbox อาจขาดทุนมากถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

ย้ำอีกรอบว่านี่เป็นตัวเลขประเมินจากนักวิเคราะห์นอกบริษัทครับ

IBM ส่งจดหมายถึง Twitter เสนอการเจรจาเรื่องค่าใช้งานสิทธิบัตรเพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องให้เป็นคดีความ

Twitter ได้รับจดหมายจาก IBM ซึ่งระบุว่าในขณะนี้ Twitter ได้ละเมิดสิทธิบัตรของ IBM จำนวน 3 รายการ ซึ่งได้แก่ "การดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่กระจายตัวสม่ำเสมออย่างมีประสิทธิภาพ", "การนำเสนอโฆษณาในบริการแบบตอบโต้กับผู้ใช้" และ "การค้นพบบัญชีรายชื่อทั่วไปโดยใช้โปรแกรม" ซึ่งทั้งหมดนี้เกี่ยวพันกับฟีเจอร์การค้นหาเรื่องน่าสนใจที่ Twitter ให้บริการอยู่

พร้อมกันนี้ IBM ได้เสนอให้ Twitter เข้าร่วมเจรจาเพื่อหาข้อสรุปเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้งานสิทธิบัตรดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องฐานความผิดละเมิดสิทธิบัตร

Google และคู่ธุรกิจผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Android หลายราย ต่างโดนฟ้องด้วยเรื่องสิทธิบัตรโดยกลุ่ม Rockstar ผู้ถือครองสิทธิบัตรเดิมของ Nortel หลายรายการ

ก่อนหน้านี้กลุ่ม Rockstar ซึ่งประกอบไปด้วย Apple, Microsoft, Ericsson และ Sony ได้ร่วมกันลงขันเป็นเงินราว 4.5 พันล้านดอลลาร์ แย่งซื้อสิทธิบัตรของ Nortel หลายพันรายการ และประสบความสำเร็จโดยสามารถเอาชนะข้อเสนอมูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์ของ Google ไปได้ (ทำให้ Google ผู้อกหักหันไปซื้อกิจการ Motorola แทน) และตอนนี้กลุ่ม Rockstar ก็ใช้สิทธิบัตรดังกล่าวฟ้องร้อง Google, Samsung, HTC, Huawei และบริษัทอื่นอีก 4 แห่ง ในฐานความผิดละเมิดการใช้งานสิทธิบัตรเหล่านั้น

หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในตลาดอุปกรณ์พกพาอย่างแรง ล่าสุดมีข่าวว่า HP เตรียมขายสิทธิบัตรด้านอุปกรณ์พกพาที่ตกทอดมาจาก Palm ให้กับบริษัทอื่นๆ แล้ว

สำนักข่าว Bloomberg อ้างแหล่งข่าววงในว่า HP เริ่มเดินสายเสนอขายสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์พกพาแก่บริษัทบางแห่งแล้ว โดยช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา HP ยังปรับปรุงเงื่อนไขทางกฎหมายให้สิทธิบัตรเหล่านี้น่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย

ปัจจุบัน HP ยังพัฒนาระบบปฏิบัติการ webOS อยู่ภายใต้บริษัทลูกชื่อ Gram ที่บริหารงานเป็นอิสระจากบริษัทแม่ ส่วนยุทธศาสตร์หลักของ HP ตอนนี้คงชัดเจนแล้วว่าเน้นไปที่ Windows/Android นั่นเองครับ

Samsung ยื่นจดสิทธิบัตรงานออกแบบแว่นตาแบบใหม่ โดยยื่นจดในประเทศเกาหลีใต้

Samsung ระบุว่าสิ่งที่ถูกจดสิทธิบัตรคืองานออกแบบแว่นตาสำหรับสวมใส่เล่นกีฬา บริเวณขาแว่นมีหูฟังในตัว สามารถใช้งานเพื่อการโทรศัพท์และแสดงการแจ้งเตือนได้เมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วยสาย microUSB โดยในส่วนของเลนส์ใกล้ดวงตามีจอแสดงภาพที่สามารถปรับให้แสดงภาพได้ทั้งแบบทึบแสงและโปร่งแสง

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการจดสิทธิบัตรด้านการออกแบบเท่านั้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าหากมีการนำไปผลิตเป็นสินค้าวางขายจริง อาจมีความสามารถอื่นที่ถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลังอีกก็เป็นได้

เมื่อปลายปีที่แล้ว สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐ หรือ USPTO ได้ออกมาตัดสินขั้นแรกว่าสิทธิบัตรมัลติทัช (หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า “สิทธิบัตรสตีฟ จ็อบส์”) ของแอปเปิล ไม่สามารถทำมาใช้ได้จริง แต่ล่าสุดมีทางสำนักงานฯ​ ได้ออกใบประกาศสิทธิให้แก่แอปเปิลอีกครั้ง หลังจากการตรวจสอบความถูกต้องและข้อเท็จจริงอีกครั้งตามคำเรียกร้องของซัมซุงและกูเกิล เพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้งว่าแอปเปิลเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้จริง