อีกหนึ่งปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดียแห่งปี 2017 คือ การคุกคามทางเพศจนเป็นที่มาของแฮชแท็ก #MeToo ที่เริ่มต้นจากมีการเปิดโปงพฤติกรรมของโปรดิวเซอร์ใหญ่ในวงการฮอลลีวูด Harvey Weinstein ว่ามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศดาราหญิงและลูกจ้างหลายราย คนแรกที่เริ่มเปิดโปงพฤติกรรมของ Weinstein คือ Ashley Judd นักแสดงสาว เธอบอกว่า Weinstein เชิญเธอไปที่โรงแรม Peninsula Beverly Hills เพื่อนัดทานอาหารเช้า แต่กลายเป็นว่าเขาเชิญเธอไปบนห้อง และปรากฏตัวด้วยชุดคลุมอาบน้ำแทน และยังถามเธออีกว่าเธอสามารถมองดูเขาอาบน้ำได้ไหม หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคนออกมาเปิดโปงด้วย บางคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Weinstein effect
ขณะนี้กระแสไวรัลอันตราย Tide pod challenge เป็นคลิปที่วัยรุ่นโพสต์คลิปตนกำลังกินน้ำยาซักผ้า ที่มีสีสันสวยงามเหมือนลูกกวาดและเยลลี่ จากนั้นก็ค่อยอาเจียนออกมาเป็นฟอง
Tide pod คือผลิตภัณฑ์ซักผ้า ที่บรรจุมาในถุงเล็กๆ สีสันสวยงามเหมือนลูกกวาดจริงๆ ซึ่งกระแสไวรัลอันตรายนี้ไม่ได้เพิ่งมาเกิด แต่มีมาระยะหนึ่งแล้ว แม้เด็กๆ จะทำทีว่ากิน แต่ก็ไม่ได้กินเข้าไปจริงๆ เป็นการเล่นกันสนุกๆ เท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีมีมที่เป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ต ตัดต่อภาพ Tide pod เข้ากับอาหารอื่นๆ
จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายฝ่ายทั้งแพทย์ ผู้ปกครอง และแม้แต่ตัวบริษัทที่ผลิตก็ออกมาแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับกระแสไวรัลในขณะนี้ เพราะมันอาจส่งผลถึงแก่ชีวิต ถ้ามีใครเข้าใจผิดและกิน Tide pod เข้าไปจริงๆ แม้ตัวผลิตภัณฑ์จะระบุชัดเจนว่ามันคือน้ำยาซักผ้าและต้องเก็บไว้ให้พ้นมือเด็ก
เยอรมนีผ่านกฎหมาย Network Enforcement Act ไปเมื่อกลางปี 2017 หากโซเชียลมีเดียไม่ยอมลบข้อความ Hate Speech ภายใน 24 ชั่วโมงจะต้องถูกปรับสูงสุด 60 ล้านดอลลาร์ ล่าสุดกฎหมายดังกล่าวมีผลแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2018
กฎหมายระบุว่าโซเชียลมีเดียซึ่งมีผู้ใช่งานเกิน 2 ล้านคน เมื่อมีเนื้อหาที่ถูกรายงานว่าเป็น Hate Speech แล้วไม่ลบออกภายใน 24 ชั่วโมง จะต้องถูกปรับถึง 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่เพียงมีผลต่อ Facebook, Twitter, Google แต่รายเล็กอย่าง Reddit, Tumblr, Vimeo, Flickr ก็ได้รับผลกระทบด้วย
Farhad Manjoo คอลัมนิสต์ด้านเทคโนโลยี และผู้เขียนหนังสือ "True Enough: Learning to Live in a Post-Fact Society" ว่าด้วยความพยายามครอบโลกธุรกิจของ Apple, Amazon, Facebook และ Google โดย Farhad Manjoo เขียนบทความว่าปี 2017 เป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนของบริษัทเทคโนโลยี โดยปี 2017 มีหลายเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีต้องมีส่วนรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกออฟไลน์ ไม่ว่าบริษัทจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
Facebook ออกแถลงการณ์ตอบโต้คำกล่าวของ Chamath Palihapitiya อดีตผู้บริหารฝ่ายดูแลการเติบโต ที่บอกว่าโซเชียลมีเดียเป็นอันตรายต่อสังคมโลก โดยมีรายละเอียดดังนี้
Chamath Palihapitiya อดีตผู้บริหารใน Facebook บอกว่าโซเชียลมีเดียเป็นอันตรายต่อสังคมโลก แบ่งแยกสังคมออกจากกัน เขายังบอกอีกว่าเขารู้สึกผิดอย่างร้ายแรงที่เป็นส่วนหนึ่งของการก่อตั้งโซเชียลมีเดียด้วย
Chamath Palihapitiya เข้ามาทำงานใน Facebook ตั้งแต่ปี 2007 ในหน้าที่ดูแลการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งาน
เขาไปพูดบรรยายที่ Stanford Graduate School of Business ในหัวข้อการเงิน ในตอนหนึ่งเขาบอกว่าเขารู้สึกผิดอย่างร้ายแรง ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโซเชียลมีเดียเป็นอันตรายต่อสังคม ไม่เพียง Facebook แต่รวมถึงโซเชียลมีเดียทุกราย และไม่ใช่แค่เรื่องของข่าวปลอมในสังคมอเมริกัน แต่รวมถึงสังคมทั่วโลก
เขายกตัวอย่างข้อมูลผิดๆ ที่แชร์กันในอินเดียจนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายคนในชีวิตจริง และวิกฤตชาวโรฮิงญาในพม่าที่ข้อมูลปลอมใน Facebook มีส่วนช่วยกระตุ้นให้วิกฤตรุนแรงขึ้น
เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเฟซบุ๊กทดสอบการแยกโพสจากสื่อต่างๆ ออกจากโพสของเพื่อนทำให้สื่อที่มีช่องทางเข้าถึงผู้อ่านได้รับผลกระทบอย่างหนัก ข่าวร้ายสำหรับสื่อที่ใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์คือ Snapchat ก็ดำเนินการตามแนวทางนี้ และประกาศแยกโพสสองประเภทออกจากกันให้ชัดเจนขึ้น
ใน Snapchat เวอร์ชั่นใหม่ เมื่อเปิดแอปขึ้นมาจะมีกล้องเป็นหน้าจอแรก และแยกเมื่อปัดซ้ายจะเป็นหน้าจอเพื่อนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแชตหรือ story ส่วนหน้าจอทางขวาจะเป็นเรื่องราวจากแบรนด์, สื่อ, หรือผู้สร้างสรรค์อื่นๆ
Facebook ได้ส่งอีเมลแจ้งยังผู้ลงโฆษณาหลายราย ระบุว่าต่อจากนี้ Facebook จะเพิ่มความเข้มงวดสำหรับโฆษณาที่ระบุกลุ่มเป้าหมายอิงตาม การเมือง, ศาสนา, เชื้อชาติ และหัวข้อทางสังคม โดยใช้คนตรวจเนื้อหาโฆษณาก่อนทุกครั้ง (human review) ซึ่งจะส่งผลให้การอนุมัติโฆษณาประเภทนี้ช้าลงด้วย
ปัจจุบันโฆษณาของ Facebook ใชระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบ แต่จากปัญหาโฆษณาจากบัญชีปลอม ทำให้ Facebook เตรียมจ้างคนเพิ่มราว 1 พันคน เพื่อดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม Facebook บอกว่าแม้จะเปลี่ยนมาใช้คนตรวจสอบ แต่ก็จะพยายามปรับปรุงขั้นตอนให้เร็วขึ้นต่อไป
หลังเฟซบุ๊กประสบปัญหาใหญ่จากโฆษณาจากบัญชีปลอมที่อาจส่งผลต่อการเมืองสหรัฐ ตอนนี้เฟซบุ๊กเพิ่มมาตรการใหม่ด้วยการจ้างคนเพิ่มราว 1,000 คน เพื่อตรวจสอบและลบโฆษณาโดยเฉพาะ
โฆษกเฟซบุ๊กชี้แจงด้วยว่าจะลงทุนด้าน Machine Learning สำหรับการตรวจสอบและลบโฆษณามากขึ้นด้วย รวมถึงขยายกรอบของนโยบายโฆษณาให้ครอบคลุมโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงผ่านสื่อสารและแสดงออกอย่างเป็นนัย (subtle) และหากเป็นโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ผู้โฆษณาก็จะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย
เฟซบุ๊กกำลังทดสอบวิธีการยืนยันตนด้วยการสแกนใบหน้าจากกล้อง โดยข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยออกมาจากทวิตเตอร์ของ Matt Navarra หนึ่งในบรรณาธิการของเว็บ The Next Web ก่อนที่เว็บไซต์ TechCrunch จะได้รับคำยืนยันจากเฟซบุ๊ก
เฟซบุ๊กระบุว่าการสแกนใบหน้าจากกล้องจะถูกนำมาใช้งานในกระบวนการกู้แอคเคาท์ และฟีเจอร์นี้จะทำงานเฉพาะบนเครื่องหรืออุปกรณ์ที่เคยใช้ล็อกอินเข้าเฟซบุ๊กมาก่อนแล้ว ซึ่งรวดเร็วและง่ายกว่าการยืนยัน 2 ขั้นตอนผ่าน SMS และหากฟีเจอร์นี้เกิดประโยชน์ มีความแม่นยำและปลอดภัยมากพอก็จะปล่อยให้ใช้งานจริง
ที่มา - TechCrunch
TechCrunch รายงานว่าเฟซบุ๊กได้เพิ่มปุ่ม Snooze อย่างเงียบๆ ซึ่งเป็นปุ่มสำหรับการอันฟอลโลว์แบบชั่วคราว ซึ่งตัวเลือกก็มี 24 ชั่วโมง, 7 วันและ 30 วัน เผื่อสำหรับกรณีที่อยากจะอันฟอลโลว์ชั่วคราวแล้วลืมปรับกลับ
ตัวเลือก Snooze จะอยู่บริเวณขวาบนของโพสต์นั้นๆ และจะอยู่แถบเดียวกับอันฟอลโลว์ เพียงแต่หลังกดเข้าไปแล้วจะมีตัวเลือกขึ้นมาว่าจะอันฟอลโลว์หรือแค่ Snooze ขณะที่ฟีเจอร์นี้ TechCrunch ระบุตอนนี้ว่าพบเฉพาะบนเดสก์ท็อปเท่านั้น
เว็บไซต์ BuzzFeed วิเคราะห์อนาคตกลุ่มไอทีระดับโลกเช่น Facebook Apple Google Amazon Uber ว่าสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองในสหรัฐฯอย่างคาดไม่ถึง และหลีกเลี่ยงการต่อต้านการผูกขาดได้ยาก
หลังฟีเจอร์เล่นวิดีโอขนาดเล็กทับซ้อนบนหน้าต่าง อื่นถูกนำมาใช้งานบนหลากหลายแพลตฟอร์มตั้งแต่ iOS/macOS, เฟซบุ๊กและล่าสุดคือแอนดรอยด์ LINE เลยประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ในลักษณะเดียวกันในชื่อ Compact Video Mode
เมื่อ LINE มีการแสดงผลวิดีโอจาก YouTube ในห้องแชทอยู่แล้ว ฟีเจอร์ใหม่นี้จะเพิ่มตัวเลือกบริเวณขวาบนของวิดีโอสำหรับย่อวิดีโอให้อยู่ในหน้าต่างขนาดเล็ก และสามารถปรับขนาดหรือเลื่อนให้อยู่ตำแหน่งไหนของแชทก็ได้ ทำให้สามารถใช้งาน LINE และดูวิดีโอไปได้พร้อมๆ กัน (ไม่ได้จำกัดเฉพาะห้องแชท) ซึ่งฟีเจอร์นี้รองรับกับวิดีโอคอลด้วยเช่นเดียวกัน
ที่มา - LINE
CNN คาดปริมาณบัญชีผู้ใช้ปลอมใน Facebook มี 83 ล้านบัญชี ส่วน Twitter มี 20 ล้านบัญชี เว็บไซต์ Business Insider ระบุว่า 8% ของบัญชีผู้ใช้อินสตาแกรมเป็นบัญชีปลอม สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่า บรรดายอด follwer ของเซเลบและ influencer ที่ระยะหลังมากำลังเป็นวิธีการตลาดที่นิยมใช้กันนั้นเป็นบัญชีจริงเท่าไร และปลอมเท่าไร เพราะอย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ ในอินสตาแกรมและทวิตเตอร์จะมีบัญชีซื้อขายยอด follower อยู่เสมอ และที่สำคัญ ผิดจรรยาบรรณการตลาดหรือไม่
มีบทวิเคราะห์น่าสนใจจาก The Next Web บอกว่า ยอด follower จากบัญชีปลอมไม่เป็นผลดีในทางการตลาด แม้การซื้อยอด follower จะยังไม่ผิดกฎหมายก็ตาม แต่เหตุผลที่ไม่ควรใช้วิธีนี้ คือ
มีผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้โซเชียลมีเดีย อายุระหว่าง 11-21 ปี สำรวจเฉพาะผู้หญิง 1,000 คน พบว่า 35% เผยความกังวลสูงสุดของพวกเธอคือ ความรู้สึกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นบนโลกโซเชียล พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ โดยมีเพียง 12% เท่านั้นที่พ่อแม่ให้ความสนใจ
ความกังวลบนโลกออนไลน์อันดับต้นๆ คือ กังวลเรื่องถูกคุกคามจากคนแปลกหน้าบนโซเชียล (ถือเป็นเรื่องดีที่มีการระวังตัว) ที่น่าสนใจคือ พวกเธอกังวลว่าคนอื่นๆจะมองพวกเธออย่างไรผ่านการโพสต์โซเชียล
LINE เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Square เป็นห้องแชทที่ผู้ใช้สามารถพูดคุยได้แบบนิรนาม (anonymous) สามารถจุคนได้มากสุดที่ 5 พันคน และสามารถชวนเพื่อนเข้าร่วมห้องได้ผ่านทางลิงก์หรือ QR Code โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือ LINE ID แต่อย่างใด
Square ยังมีระบบตรวจจับและกรองข้อมูลหรือคำที่ไม่เหมาะสม รวมถึงมีระบบที่ให้ผู้ใช้คนอื่นรีพอร์ทหรือแจ้งเตือนผู้ใช้ที่อัพโหลดคอนเทนท์ที่ไม่เหมาะสมด้วย โดยฟีเจอร์ Square เริ่มเปิดใช้งานในเกาหลีใต้และอินโดนีเซียก่อน
ที่มา - Tech in Asia
สำนักวิจัยสื่อ Pew Research Center เผยรานงานการคุกคามทางออนไลน์ สำรวจประสบการณ์ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 4,248 คนในสหรัฐฯ ระบุว่า 41% ของผู้ให้การสำรวจ มีประสบการณ์ถูกคุกคามออนไลน์ รูปแบบที่โดนมากที่สุดคือการถูกเรียกชื่อด้วยถ้อยคำเสียหายหยาบคาย และ 66% เคยเห็นผู้อื่นได้รับประสบการณ์นี้
ในขณะที่บ้านเรากำลังพยายามควบคุมสื่อภายใต้ OTT สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐสภาเยอรมนีเพิ่งผ่านกฎหมายฉบับใหม่ที่ชื่อว่า Netzwerkdurchsetzungsgesetz หรือ Network Enforcement Act ซึ่งมีลักษณะในการจัดการกับสื่อโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ยอมลบข้อความ Hate Speech หรืออะไรก็ตามที่ผิดกฎหมายเยอรมนี หลังได้รับแจ้งภายใน 24 ชม.
โทษปรับของสื่อไม่ว่าจะเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์หรือ YouTube ที่ไม่ยอมลบข้อความ Hate Speech ภายในระยะเวลาดังกล่าว มีโทษปรับขั้นต่ำ 5 ล้านยูโร (ราว 190 ล้านบาท) และสูงสุดถึง 50 ล้านยูโร (ราว 1,900 ล้านบาท) ส่วนข้อความหรือเนื้อหาไหนที่เข้าข่ายรุนแรงแต่ไม่ชัวร์ว่าผิดกฎหมายหรือไม่ จะมีกระบวนตรวจสอบภายใน 7 วัน (ต้นทางไม่ได้ระบุว่าใครตรวจสอบ)
Facebook, YouTube, Twitter และ Microsoft ร่วมเป็นพันธมิตรทำงานวิจัยเพื่อสร้างโซลูชั่นแก้ปัญหาเนื้อหาสุดโต่งและสนับสนุนการก่อการร้ายบนแพลตฟอร์ม หลังจากโดนกดดันจากภาครัฐในประเทศต่างๆ
การร่วมมือครั้งนี้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Global Internet Forum to Counter Terrorism เน้นสร้างเครื่องมือคัดกรองเนื้อหาสนับสนุนการก่อการร้ายโดยใช้ Machine Learning และจะร่วมกันกำหนดขอบเขตและวิธีการนำเนื้อหาออก รวมทั้งวิธีการรายงานเนื้อหาสุดโต่งให้ชัดเจน ทั้งสี่บริษัทระบุว่าจะจัดการเนื้อหาโดยไม่กระทบเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย
Instagram ประกาศเพิ่มตัวเลือก Paid Partnership with ซึ่งจะแสดงอยู่ใต้ชื่อเจ้าของแอคเคาท์ตำแหน่ง Geo-Tagging เพื่อแสดงว่าโพสต์หรือสตอรี่นั้นๆ ได้รับเงินสนับสนุนหรือสปอนเซอร์ เพื่อความโปร่งใสกับผู้ติดตาม
ในตัวเลือก Paid Partnership with นี้เจ้าของแอคเคาท์จะต้องแท็กบริษัทห้างร้านที่จ่ายเงินด้วย ซึ่งจะทำให้บริษัทที่ถูกแท็กสามารถเห็นข้อมูล Insight ของโพสต์ได้เหมือนเจ้าของแอคเคาท์
ที่มา - Instagram
Facebook, Twitter และ Google กำลังถูกกดดันเรื่องเนื้อหาที่มีความรุนแรงบนแพลตฟอร์มขึ้นอีกขั้น หลังรัฐบาลฝรั่งเศสและอังกฤษ ร่วมมือออกแคมเปญป้องกันการเผยแพร่เนื้อหาที่มีความรุนแรงและสนับสนุนการก่อการร้ายบนแพลตฟอร์มของโซเชียลมีเดีย ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยหรือ safe space บนโลกออนไลน์ มีความเป็นไปได้ว่าจะใช้บทลงโทษและค่าปรับที่รุนแรงขึ้นหากบริษัทที่ให้บริการบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่รีบนำเนื้อหาผิดกฎหมายออก
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช. ที่ได้เข้าร่วมหารือและลงนามความร่วมมือกับนายนิโคลัย นิกิโฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงโทรคมนาคมและการสื่อสารมวลชล สหพันธรัฐรัสเซีย ว่ามีการพูดคุยหารือและเสนอแนวทางความร่วมมือระหว่างสองรัฐบาล ในการพัฒนาโซเชียลมีเดียของไทยร่วมกัน
แนวคิดนี้คือการจัดตั้งโฮลดิ้งคอมพานีร่วมกันระหว่างไทย ที่ถือหุ้น 51% และรัสเซีย 49% ในการพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย, เสิร์ชเอ็นจินและแอปแชทของไทยเอง โดยรัฐบาลรัสเซียมองว่าโซเชียลมีเดียและเสิร์ชเอ็นจินที่เปิดให้บริการในปัจจุบัน ไม่ได้จ่ายภาษีให้รัฐบาลไทย ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ โดยรัสเซียเองก็มี Yandex เป็นเสิร์ชเอ็นจินของตัวเอง
เป็นที่ทราบกันว่าประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอย่างโดนัล ทรัมป์ ไม่ค่อยเสพสื่อหรือเล่นโซเชียลมีเดียนอกจากทวิตเตอร์เพียงอย่างเดียว ซึ่งเจ้าตัวยืนยันจะใช้แอคเคาท์เดิมของตัวเองต่อไปแทนที่จะเป็น @POTUSด้วย และนั่นอาจเป็นสาเหตุให้ทวิตเตอร์เป็นเพียงแอพเดียวที่อยู่บน iPhone ของประธานาธิบดี
ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยอย่างไม่เป็นทางการโดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระดับสูง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็กังวลว่าประธานาธิบดีจะเอาแต่นั่งเล่นทวิตเตอร์ จึงป้องกันด้วยการยัดงานให้ประธานาธิบดีอย่างต่อเนื่อง
หน่วยงานตำรวจของยุโรป หรือ Europol เผยว่ากลุ่ม ISIS กำลังสร้างโซเชียลมีเดียของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการปราบปราม เป็นการสร้างขึ้นระหว่างกำหนดเวลา 48 ชั่วโมงที่ Europol กำหนดมาตรการเข้มข้นช่วงสัปดาห์ที่แล้ว
จากสถิติที่ผ่านมา Europol ได้ปิดบัญชีโซเชียลมีเดียของกลุ่ม ISIS ไปแล้วกว่า 2,000 ราย (ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย) และแอพพลิเคชั่นที่กลุ่ม ISIS นิยมใช้ยังคงเป็น Telegram
Europol ไม่ได้ระบุข้อมูลโซเชียลมีเดียที่กลุ่ม ISIS กำลังพัฒนาขึ้นมาว่าเป็นรูปแบบใด และยากต่อการเข้าแทรกแซง ปิดระบบหรือไม่
งาน F8 2017 เฟซบุ๊กประกาศอัพเดตแพลตฟอร์ม Messenger เพิ่มและปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับแชทบ็อทดังนี้