European Union
Netflix ยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรป ลดคุณภาพวิดีโอไม่สตรีมแบบ HD ลดภาวะการใช้งานหนาแน่น ล่าสุด YouTube อีกแพลตฟอร์มวิดีโอรายใหญ่ก็ประกาศมาตรการเดียวกัน
โดย Thierry Breton กรรมาธิการยุโรปซึ่งรับผิดชอบด้านอินเทอร์เน็ต ได้พูดคุยกับ Sundar Pichai ซีอีโอ Alphabet และ Susan Wojcicki ซีอีโอ YouTube โดยตรง และตัดสินใจลดคุณภาพวิดีโอลงเหลือเป็นระดับมาตรฐาน แม้จะไม่ได้พบการใช้งานระดับสูงมากขนาดนั้น
จากประเด็น EU ขอ Netflix หยุดสตรีมแบบ HD เพื่อการใช้งานเน็ตลื่นไหลในช่วงวิกฤตโรคระบาดที่ความต้องการใช้เน็ตสูง ล่าสุด Netflix ยอมทำตามข้อเรียกร้อง ลดความละเอียดภาพในยุโรปเป็นเวลา 30 วัน
Netflix ระบุว่า การลดคุณภาพวิดีโอนี้ช่วยลดการใช้งานดาต้า Netflix ได้ 25% โดยที่ยังคงสตรีมภาพชัดอยู่ และ BBC ระบุว่า การใช้งาน Netflix สตรีมแบบธรรมดา 1 ชั่วโมง ใช้ปริมาณเน็ต 1GB ต่อชั่วโมง แต่ถ้าสตรีมแบบ HD สามารถใช้ปริมาณเน็ตถึง 3GB ยังไม่รู้รายละเอียดว่า Netflix จะจัดการกับลูกค้าที่มีสิทธิ์ใช้งานแบบ HD อย่างไร และจะมีมาตรการแบบเดียวกันกับภูมิภาคอื่นหรือไม่
หลายประเทศในยุโรปออกมาตรการ lock down ประชาชนต้องกักตัวอยู่บ้าน บริษัทห้างร้านโรงเรียนปิดหมดเพื่อลดการแพร่ระบาด COVID-19 การใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นปัจจัยสำคัญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการเรียนออนไลน์ work from home และความบันเทิงต่างๆ
ล่าสุด Thierry Breton กรรมาธิการยุโรปซึ่งรับผิดชอบด้านอินเทอร์เน็ตโพสต์ทวิตเตอร์ว่าได้พูดคุยกับ Reed Hastings ซีอีโอ Netflix ถามถึงความเป็นไปได้ว่า จะเป็นไปได้ไหม ถ้า Netflix จะสตรีมเนื้อหาที่คววามละเอียดธรรมดา ไม่ใช่ HD เพื่อให้ไม่กระทบแบนวิดธ์ เขายังติดแฮชแท็ก #SwitchtoStandard ด้วย
เครือข่ายโทรศัพท์มือถือในยุโรปหลายค่ายเสนอมอบข้อมูลภาพรวมการเคลื่อนที่ประชากรให้ภาครัฐเพื่อใช้สำรวจความสำเร็จของนโยบายลดการเดินทางของประชาชนเพื่อต่อสู้กับโรค COVID-19 โดยตอนนี้หน่วยงานสุขภาพในอิตาลี, เยอรมัน, และออสเตรีย เริ่มได้รับข้อมูลแล้ว
เครือข่ายมอบข้อมูลที่ระบุตัวตนไม่ได้ และใช้สำหรับสำรวจจุดที่มีการรวมตัวกันมากๆ หรือมีการเคลื่อนย้ายสูง เพื่อดูผลลัพธ์ของการประกาศนโยบายกักตัวเท่านั้น
แนวทางนี้ต่างจากประเทศในเอเชีย เช่น ไต้หวัน, เกาหลีใต้, หรือจีน ที่ใช้ข้อมูลรายคนเพื่อติดตามเส้นทางการเดินทางของผู้ติดเชื้อทีละคน ไม่ว่าจะใช้สำหรับการหาผู้ร่วมเส้นทางให้เข้ามาตรวจเชื้อ หรือจะเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อขัดคำสั่งกักตัว
ข้อมูลนี้เปิดเผยโดยเว็บข่าว Het Financieele Dagblad ของเนเธอร์แลนด์ ระบุว่าสหภาพยุโรป (EU) กำลังร่างข้อเสนอเพื่อบังคับให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ต้องทำให้อุปกรณ์ของตนสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งคาดว่าร่างข้อเสนอนี้จะเผยแพร่ต่อสาธารณะในเดือนหน้า (มีนาคม)
หลักการและเหตุผลของข้อเสนอนี้เป็นเรื่องของการลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยุคนี้นิยมออกแบบอุปกรณ์แบบปิด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเปิดฝาเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ รวมทั้งเพิ่มเงื่อนไขสิ้นสุดการรับประกันเข้ามา โดยต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่กับศูนย์บริการเท่านั้น EU มองว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการผลักให้ผู้ใช้เลือกซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่มากขึ้น เมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ
Google เริ่มขยับมาตรการอีกระดับพยายามสร้างภาพลักษณ์ลดการผูกขาดบนออนไลน์ เว็บไซต์ Search Engine Land ไปเจอผลการค้นหาบนช่อง Google Search ในบางประเทศของยุโรป พบว่ามีมีการแนะนำช่องทางค้นหาผ่านช่องทางอื่นมาให้ด้วย
รูปตัวอย่างที่เว็บไซต์ต้นทางนำมาให้เห็นคือ เมื่อค้นหาธุรกิจในยุโรป ระบบจะแสดงช่องทางอื่นที่ไม่ใช่ Google เข้ามาให้ด้วย เช่น Yelp โดยผลการแสดงจะอยู่ต้นๆ เลย
ก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรปสั่งปรับ Google 168,000 ล้านบาทจากข้อหาผูกขาดทางการค้าผ่าน Android หลังจากนั้น Google ก็ให้ผู้ใช้แอนดรอยด์ในยุโรปเลือกดาวน์โหลดเบราว์เซอร์และช่อง search จากเจ้าอื่นบน Play Store ได้
ต่อจากข่าว ยุโรปเตรียมเสนอใช้พอร์ต USB-C เป็นสายชาร์จมาตรฐาน
เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา รัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้ลงมติโหวตให้คณะกรรมการยุโรป (European Commission) เดินหน้าผลักดันให้เกิดมาตรฐานสายชาร์จ ด้วยคะแนนเห็นด้วย 582 เสียง, ไม่เห็นด้วย 40 เสียง, งดออกเสียง 37
มติของรัฐสภาระบุให้คณะกรรมการยุโรป ออกคำสั่งบังคับใช้เรื่องนี้ภายในเดือนกรกฎาคม 2020 และนอกจากเรื่องมาตรฐานสายชาร์จ รัฐสภายังเรียกร้องให้คณะกรรมการยุโรปผลักดันเรื่อง
กูเกิลประกาศผลผู้ชนะการประมูล เพื่อให้แสดงผลสำหรับเป็นตัวเลือกเสิร์ชเอนจินค่าเริ่มต้น (default) ใน Android ที่เปิดใช้งานในยุโรป เพื่อแก้ปัญหาหลังถูกตัดสินจากสหภาพยุโรปว่าผูกขาดที่กำหนดกูเกิลเป็นเสิร์ชพื้นฐาน กูเกิลจึงต้องแก้เกมโดยหารายได้ทางนี้เสียเลย
หากยังพอจำกันได้ ในปี 2014 ศาลยุติธรรมยุโรป ได้ตัดสินให้กูเกิลลบผลการค้นหาตามคำร้องขอของคนที่อยากจะถูกลืมบนโลกอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า right to be forgotten
ล่าสุดมีคำตัดสินอย่างเป็นทางการจากศาลยุติธรรมยุโรปอีกครั้งระบุว่า กูเกิล มีสิทธิ์ที่จะจำกัดขอบเขตของสิทธิที่จะถูกลืมได้ นั่นหมายความว่า กูเกิลและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายอื่นสามารถลบข้อมูลของผู้ร้องขอได้ตราบใดที่ยังอยู่ในขอบเขตของสหภาพยุโรปเท่านั้น
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Google ประกาศว่าจะให้ผู้ใช้งานแอนดรอยด์ในยุโรปเลือกเบราว์เซอร์และเสิร์ชเอนจิน เพื่อแก้ปัญหาการถูกตัดสินว่าผูกขาด
ล่าสุด Google อัพเดตรายละเอียดเพิ่มเติมว่าจะให้ผู้ใช้เลือกผู้ให้บริการเสิร์ชเอนจินตั้งแต่ในขั้นตอนการตั้งค่าหลังเปิดเครื่องครั้งแรกหรือรีเซ็ตเครื่องใหม่ ซึ่งจะมีผลเป็นเสิร์ชเอนจินตัวตั้งต้น ทั้งจากการเสิร์ชในหน้าโฮมและใน Chrome (ถ้าติดตั้ง)
ศาลยุติธรรมยุโรปหรือ The Court of Justice of the European Union (CJEU) ชี้ เว็บไซต์ที่ฝังปุ่มโชว์จำนวนไลค์จากโซเชียลมีเดียไว้ ต้องขอความยินยอมจากผู้ใช้งานก่อน เพราะถือว่าเป็นการถ่ายข้อมูลไลค์จากที่หนึ่งไปยังหน่วยงานภายนอก
CJEU ทำหน้าที่ตีความกฎหมายและทำให้แน่ใจว่า กฎหมายมีการนำไปใช้ในทางเดียวกันทุกประเทศในสหภาพยุโรป
ปลั๊กอินยอดไลค์ในเว็บไซต์ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการโปรโมทเว็บไซต์ หรือสินค้าขอตัวเองว่าได้รับความนิยมขนาดไหนในโซเชียลมีเดีย แต่เรื่องมันเกิดขึ้นจากการที่ผู้บริโภคชาวเยอรมันฟ้องร้องเว็บไซต์ Fashion ID ผู้ค้าปลีกแฟชั่นออนไลน์ฐานการละเมิดกฎการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลผ่านการใช้ปุ่มปลั๊กอินยอดไลค์บนเว็บไซต์ โดยศาลชี้ว่ากรณีนี้ เป็นการรับผิดชอบร่วมกันระหว่างโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์นั้นๆ
องค์การระบบดาวเทียมนำทางยุโรป (European GNSS Agency - GSA) ประกาศว่าระบบดาวเทียมนำทาง Galileo กลับมาใช้งานได้แล้ว หลังจากระบบล่มไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ดี ทาง GSA เตือนว่าผู้ใช้อาจจะพบเหตุการณ์ระบบผิดปกติบ้าง
แถลงล่าสุดทาง GSA ระบุว่าสาเหตุเกิดจากอุปกรณ์ในสถานีภาคพื้นดินขัดข้อง ทำให้ไม่สามารถคำนวณเวลาและทำนายวงโคจรของดาวเทียมในระบบได้แม่นยำ โดยหลังจากนี้จะตั้งกรรมการอิสระเข้ามาสอบสวนสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
ระบบดาวเทียม Galileo เริ่มมีปัญหาตั้งแต่วันที่ 11 ที่ผ่านมา จนกระทั่งหยุดทำงานไปทั้งระบบในวันที่ 13 หากนับรวมตั้งแต่ระบบไม่เสถียรก็จะรวมเป็นหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ
ระบบดาวเทียมนำทาง Galileo ของสหภาพยุโรปล่มทั้งระบบตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมาหลังจากมีปัญหากับ "โครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน"
แหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตน ระบุกับ BBC ว่าโครงสร้างที่เป็นต้นเหตุคือ ฐานปรับเวลาความแม่นยำสูงในอิตาลี
Galileo เพิ่งยิงครบเครือข่ายเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังเปิดใช้งานไม่ครบ โดยตอนนี้มีดาวเทียมทำงานอยู่ 22 ดวง และทั้งโครงการยังอยู่ในช่วง "ทดสอบการทำงาน" ทำให้ยังไม่มีระบบใดพึ่งพา Galileo เต็มตัว และอุปกรณ์ส่วนมากที่รองรับก็มักรองรับระบบดาวเทียมนำทางอื่นๆ เช่น GPS หรือ Glonass ไปพร้อมกัน
เมื่อเดือนมีนาคม คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) เสนอกฎหมายที่ว่าด้วยโปรโตคอลที่รถยนต์จะใช้สื่อสารระหว่างกัน และสื่อสารกับโครงสร้างสาธารณะต่างๆ ก่อนที่จะถูกบริษัทอย่าง Qualcomm, BMW และ Deutsche Telekom ร่วมกันยื่นเรื่องคัดค้าน
เหตุผลของทั้ง 3 บริษัทคือ Wi-Fi ประสิทธิภาพด้อยกว่า รวมถึงว่าไม่ต้องการจะลงทุนในเทคโนโลยีที่รู้ว่าไปไม่รอดแน่ๆ ในระยะยาว เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่กำลังจะมาและประสิทธิภาพดีกว่าอย่าง 5G ซึ่งล่าสุดคณะสมาชิกสภายุโรปยอมวีโต้ข้อเสนอนี้แล้ว และทำให้คณะกรรมาธิการยุโรปต้องกลับไปพิจารณาข้อเสนอใหม่ โดยจะต้องรอการรับรองโหวตจากสมาชิกอย่างเป็นทางการอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
สัปดาห์ที่แล้วเราเพิ่งลงข่าว Hans Zimmer กำลังออกแบบเสียงรถยนต์ไฟฟ้าให้ BMW ล่าสุดมีข่าวแนวเดียวกันออกมาเกี่ยวกับเสียงของรถยนต์ไฟฟ้า
สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎหมายใหม่ว่ารถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ ต้องปล่อยเสียงปลอมๆ ออกมาเพื่อให้คนเดินถนนหรือคนปั่นจักรยานได้ยินและทันระวังตัว โดยต้องปล่อยเสียงทั้งตอนเดินหน้าและถอยหลัง
ยุโรปมีกฎหมาย Net Neutrality เพื่อควบคุมความเป็นกลางทางอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ปี 2016 และล่าสุดมีกลุ่มของ 45 องค์กร, บริษัท และบุคคลธรรมดา (ซึ่งมี EFF รวมอยู่ด้วย) ได้ยื่นจดหมายถึงเจ้าหน้าที่ EU เพื่อกล่าวโทษผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามกฎหมายนี้
ทางกลุ่มระบุว่า ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต 186 รายที่ทางกลุ่มได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการยุโรป ได้ปฏิบัติอย่างเป็นภัยต่อกฎหมายความเป็นกลางทางอินเทอร์เน็ตโดยใช้การตรวจสอบแพ็คเก็ตในระดับคอนเทนต์ของทราฟฟิกที่มากกว่าค่าที่จำเป็น ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ผู้ให้บริการสามารถปรับทราฟฟิกให้ใช้งานทรัพยากรเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แต่มีผู้ให้บริการบางรายใช้ระบบนี้เพื่อแยกคิดราคาและใช้เพื่อจัดลำดับความสำคัญของทราฟฟิก
กูเกิลประกาศเปิดศูนย์วิศวกรรมด้านความปลอดภัย-ความเป็นส่วนตัว Google Safety Engineering Center (GSEC) ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยจะมีวิศวกรมากกว่า 200 คนมาทำงานเพื่อโฟกัสด้านความเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะ
กูเกิลบอกว่าเลือกมาตั้งศูนย์วิจัยด้านความปลอดภัยที่เยอรมนี ใจกลางของยุโรป ซึ่งใส่ใจด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวมากเป็นพิเศษ และที่ผ่านมา ทีมงานที่มิวนิกก็มีผลงานพัฒนา Google Account ให้ใช้ง่ายขึ้น ผู้ใช้สามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้อย่างละเอียดขึ้นด้วย
Google ปฏิบัติตามกฎหมายต้านการผูกขาดของ EU โดยเสนอทางเลือกให้ผู้ใช้แอนดรอยด์ในยุโรปสามารถเลือกเบราว์เซอร์อื่นได้นอกเหนือจาก Chrome และเลือกช่องทางค้นหาอื่นได้นอกจาก Google
เมื่อผู้ใช้เข้าไปใน Play Store จะเห็นหน้าจอขึ้นมาสองหน้าจอคือ หน้าจอแรกเสนอทางเลือกของช่องทางค้นหาที่ไม่ได้มีแค่ Google อย่างเดียว เช่น DuckDuck Go, Qwant เป็นต้น ส่วนอีกหน้าจอคือ เสนอทางเลือกเบราว์เซอร์อื่นมาให้นอกเหนือจาก Chrome คือ Firefox, Microsoft Edge เป็นต้น
เมื่อผู้ใช้เข้าเว็บ Google ในมือถือ ระบบจะแสดงช่องทางให้ตั้งค่าช่องค้นหาอื่นเป็นค่าดีฟอลต์เวลาจะค้นหาอะไรในอินเทอร์เน็ตได้ด้วย
Facebook ออกมาตรการเรื่องโฆษณาการเมืองในยุโรปก่อนจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในอีก 2 เดือน โดยผู้ลงโฆษณาการเมืองต้องยืนยันตัวตนกับ Facebook อย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากต่างประเทศอย่างที่เคยเกิดขึ้นในเลือกตั้งสหรัฐฯปี 2016
ผู้ลงโฆษณาต้องแสดงหลักฐานองค์กร ตัวตน พิกัดที่อยู่ และต้องเป็นองค์กรหรือบุคคลที่ได้รับอนุญาตในยุโรปให้ลงโฆษณาการเมืองได้ และ Facebook ระบุด้วยว่าจะตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงโฆษณาการเมืองจากขั้นตอนอัตโนมัติและการรายงานจากผู้ใช้ และระบบโฆษณาจะครอบคลุมประเด็นร้อนแรงในยุโรปอย่างผู้อพยพด้วย กล่าวคือไม่ใช่เป็นประเด็นแค่การเลือกคั้ง ผู้สมัคร และพรรคการเมืองเท่านั้น และโฆษณาการเมืองจากคนหรือองค์กรที่ไม่ได้ลงทะเบียนเข้าใช้งานการลงโฆษณาใน Facebook จะถูกบล็อก
เว็บไซต์รับข้อร้องเรียนของอังกฤษประสบปัญหาล่ม ไม่สามารถใช้บริการได้ชั่วคราว หลังจากที่มีผู้เสนอให้มีญัตติที่ขอให้รัฐสภาและรัฐบาล ยกเลิกกระบวนการ Brexit หรือการถอนตัวของประเทศอังกฤษ (สหราชอาณาจักร) ออกจากสหภาพยุโรป ด้วยการยกเลิกการใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาสหภาพยุโรป และมีผู้ลงชื่อทะลุเกิน 1 ล้านคนแล้ว
คณะกรรมาธิการพิจารณาข้อร้องเรียน (Petitions Commitee) ของรัฐสภาและรัฐบาลอังกฤษ ระบุในทวิตว่า เว็บไซต์ประสบปัญหาการให้บริการ เนื่องจากมีการเข้าชมข้อร้องเรียนในประเด็นนี้เป็นจำนวนมาก ประมาณ 8 หมื่น - 1 แสนคน และมีผู้ลงชื่อกว่านาทีละเกือบ 2,000 ราย ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้คณะกรรมาธิการ จำเป็นต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ชั่วคราว เพื่อให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงนี้
ตอนนี้เว็บไซต์หลายแห่งทั่วยุโรป ได้แก่ Wikipedia, Twitch, PornHub, Reddit ได้ประท้วงกฎหมายด้านลิขสิทธิ์ใหม่ของสหภาพยุโรปซึ่งมีกำหนดการโหวตครั้งสุดท้ายในวันที่ 26 มีนาคมนี้
กฎหมายที่กำลังอยู่ในความสนใจนี้คือ EU Copyright Directive ซึ่งเป็นการอัพเดตกฎหมายด้านลิขสิทธิ์ให้เหมาะสมยุคอินเทอร์เน็ต แต่มีอยู่สองข้อที่ถูกมองว่าเป็นอันตราย ได้แก่
Safe-Kid One สมาร์ทวอทช์สำหรับเด็กจากแบรนด์สัญชาติเยอรมนี ENOX เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ถูก European Commission ออกคำเตือนเร่งด่วน (RAPEX - Rapid Alert System for Non-Food Product) พร้อมสั่งเก็บออกจากชั้นวางขายในท้องตลาดทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่าไม่ปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน
สิทธิที่จะถูกลืม คือสิทธิที่เราจะขอให้ Google และบริการเสิร์ชอื่นลบผลการค้นหาที่ทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง เช่น เคยมีคดีแพ่งแต่ชดใช้หมดแล้ว ก็ขอให้ Google ลบชื่อเราออกได้ โดยสิทธิดังกล่าวศาลยุติธรรมยุโรปให้การรับรองตั้งแต่ปี 2014 ว่าคนเรามีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะถูกลืมจากโลกอินเทอร์เน็ต
Maciej Szpunar ที่ปรึกษาผู้พิพากษาศาลสูงของยุโรปออกความเห็นว่า สิทธิที่จะถูกลืมควรใช้ในยุโรปก่อน เพราะถ้าใช้นอกยุโรปหรือในประเทศอื่น กลัวกระทบเสรีภาพด้านอื่น และยังบอกด้วยว่าสิทธิที่จะถูกลืมต้องสมดุลกันกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเสรีภาพการเข้าถึงข้อมูล
ช่วงหลังเราเห็นโครงการ Bug Bounty แจกเงินรางวัลให้ผู้ค้นพบช่องโหว่หรือบั๊กของซอฟต์แวร์ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นซอฟต์แวร์ของบริษัทใหญ่ๆ ที่มีเงินเหลือเฟือ
ล่าสุด สหภาพยุโรป (EU) ประกาศโครงการ Bug Bounty ให้กับซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส 14 ตัวที่ EU ใช้งาน เช่น Filezilla, Apache Kafka, Apache Tomcat, Notepad++, VLC, PuTTY, 7-Zip, Drupal, glibc, PHP Symfony เป็นต้น
ปัญหาความปลอดภัยรอบล่าสุดของ Facebook ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้อย่างน้อย 50 ล้านคน อาจเป็นเหตุให้ Facebook โดนปรับเป็นเงินถึง 1.63 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.1 หมื่นล้านบาท)
ประเด็นที่เป็นปัญหาคือข้อมูลของผู้ใช้รั่วไหลไปด้วย ซึ่งมีความผิดตามกฎ GDPR ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดเพดานค่าปรับไว้ที่ 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้ทั่วโลกของบริษัทนั้น ขึ้นกับตัวเลขไหนสูงกว่า ซึ่งกรณีของ Facebook คืออย่างหลัง และสามารถคำนวณออกมาได้ที่ 1.63 พันล้านดอลลาร์
ที่ผ่านมา EU ยังไม่เคยใช้ GDPR เป็นเครื่องมือลงโทษเรื่องค่าปรับมากนัก กรณีนี้จึงเป็นที่น่าจับตาว่า EU จะลงโทษ Facebook หรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน