จากกรณี มร. Tor Odland ผู้ประสานงานสื่อมวลชนของ เทเลเนอร์ กรุ๊ป บริษัทแม่ของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ให้สัมภาษณ์กับสื่อหนังสือพิมพ์ Aftenposten ของนอร์เวย์พาดพิงว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เป็นผู้สั่งให้ดีแทคระงับการใช้งานเฟซบุ๊ก กรณีปัญหาเฟซบุ๊กล่มในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น

ทางเทเลนอร์ กรุ๊ป ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษ ซึ่งเนื้อหาของแถลงการณ์นั้น เป็นการขอโทษถึงกรณีที่ทาง เทเลนอร์ กรุ๊ป ได้เผยแพร่ต่อสื่อทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับเหตุการณ์กรณีเฟซบุ๊กล่มในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 พ.ค. เท่านั้น และในแถลงการณ์ของทางเทเลนอร์ กรุ๊ป ก็มิได้ชี้แจงเรื่องการให้ข่าวของตนว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เป็นผู้สั่งให้ดีแทคระงับการใช้งานเฟซบุ๊ก นั้นว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จครับ ส่วนแถลงการณ์เต็มอยู่ท้ายเบรคครับ

ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เทเลนอร์ กรุ๊ป ได้เผยแพร่ข้อมูลต่อสื่อทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับเหตุการณ์กรณีเฟซบุ๊กล่มในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ซึ่งการกระทำนี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกสทช. และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผู้ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และการรักษาความมั่นคงของชาติ ผู้บริหารเทเลนอร์ กรุ๊ป และ ดีแทค รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ผู้บริหารของทั้งเทเลนอร์ กรุ๊ป และดีแทค ตระหนักว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารราชการโดย คสช. โดยที่ความสามัคคีระหว่างประชาชนคนไทย และเพื่อนต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจรรโลงบรรยากาศในประเทศร่วมกัน รวมทั้งตระหนักดีถึงความสำคัญของความสามัคคีนี้และความละเอียดอ่อนของเหตุการณ์ในช่วงนี้ เราจึงเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับผลกระทบที่ได้เกิดขึ้น

ผู้บริหาร เทเลนอร์ กรุ๊ป และดีแทค ใคร่ขอใช้โอกาสนี้ขออภัยต่อ กสทช. และ คสช. และช่วยกันสร้างบรรยากาศแห่งความเข้าใจที่ดี และร่วมมือร่วมใจสร้างความสำเร็จแก่ประเทศไทยต่อไป

ทั้งนี้ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 และมีความมุ่งมั่นที่จะดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยาวนานต่อประเทศไทยและกับประชาชนไทย

ณ ตอนนี้ ทางเทเลนอร์ กรุ๊ป และ ดีแทค เอง ก็ยังมิได้ลงประกาศแถลงการณ์ขอโทษบนหน้าเว็บ หรือส่วนประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด มีเพียงเว็บไซต์ข่าว 3 สำนักหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวอยู่นะครับ

ที่มา: Post Today, เดลินิวส์ และ The Nation