ถ้าพูดถึงเกม RPG ยอดนิยมจากค่าย Square Enix ก็คงหนีไม่พ้น Final Fantasy และ Dragon Quest แต่ขณะที่ทั้งสองเกมได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่น ในโลกตะวันตกกลับมีแค่ Final Fantasy เท่านั้นที่ได้รับความนิยม ส่วน Dragon Quest จะไม่ค่อยมีใครรู้จักกันเท่าไรนัก
ภายในนิตยสาร EDGE ฉบับล่าสุด พูดคุยประเด็นดังกล่าวกับ ยู มิยาเกะ Executive Producer ของเกม Dragon Quest ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่
มิยาเกะอธิบายว่าทาง Square Enix (SE) เองก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้มาก และพยายามแก้ไขปัญหานี้เสมอมา ข้อสรุปที่ SE ได้จากปัญหานี้คือ “ความรู้สึกโหยหาของผู้เล่นที่แตกต่างกัน” ในยุคสมัยที่ Famicom เป็นที่นิยม แทบทุกเครื่องต้องมีเกม Dragon Quest อยู่ด้วย ส่วนในยุคของ PlayStation กลับเป็น Final Fantasy VII ดังนั้นเกมยอดนิยมภายในญี่ปุ่นจึงเป็น Dragon Quest ส่วนโซนตะวันตกจึงเป็น Final Fantasy
SE มองว่าถ้าย้อนไปในช่วงที่เครื่อง Famicom บูม บริษัทให้ความสนใจโปรโมทเกม Dragon Quest มากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องลำบากกับปัญหาดังกล่าวในปัจจุบัน แม้ในยุคต่อมา SE จะทุ่มทุนและลงแรงไปมากกับภาค Dragon Quest VIII แต่ยอดขายที่ได้ก็เทียบไม่ได้กับ Final Fantasy อยู่ดี
อีกหนึ่งสาเหตุที่ค้นพบคือ อาร์ตเวิร์กภายในเกมที่วาดโดย อะกิระ โทะริยามะ (ผู้วาด Dragon Ball) ออกแนวการ์ตูน ดูแล้วเหมาะสำหรับเด็กมากกว่า ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เนื้อหาภายในเกม Dragon Quest ก็เหมาะสำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับชาวญี่ปุ่นแม้แต่น้อย เพราะผู้เล่น Dragon Quest ในญี่ปุ่นมีตั้งแต่เด็กประถมไปจนถึงผู้ใหญ่วัย 50 ปีด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน อายุของผู้เล่นชาวตะวันตกก็ทยอย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีจำนวนผู้สนใจมากขึ้นด้วย ตอนนี้ SE จึงลงทุนลงแรงและพยายามโปรโมทเกม Dragon Quest Builders และ Dragon Quest Heroes ให้เป็นที่รู้จักในโลกตะวันตก เพื่อปูพื้นให้กับภาค Dragon Quest XI ด้วยเช่นกัน
ประเด็นถัดมาที่พูดคุยกันคือเรื่องดีไซน์ของเกม Final Fantasy ที่เปลี่ยนแปลงบ่อยและต้องรับความเสี่ยงที่แฟน ๆ เกมจะหดหายไป แต่ Dragon Quest จะพยายามรักษาความดั้งเดิมเอาไว้ โดยพยายามไม่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเบื่อหน่ายกับเกม
มิยาเกะตอบว่า แทนที่จะเปลี่ยนเกมไปเลยทั้งหมด ทาง SE ให้ความสนใจเฉพาะกับวิธีการเล่นเกมที่เปลี่ยนไปมากกว่า อย่างภาค Dragon Quest IX ทำลงเครื่องเกมพกพา เพราะในขณะนั้นเครื่องเกมพกพาเป็นที่นิยมมาก หรือ ภาค Dragon Quest X เอง ก็ทำเป็นเกมออนไลน์แทน นี่คือสิ่งที่ SE ได้ลองทำ เพื่อให้ซีรีส์นี้ยังมีความสดใหม่อยู่
มิยาเกะบอกว่าตอนที่เปลี่ยนจากภาพจากพิกเซลเป็น 3D ก็มีความเสี่ยงที่ผู้เล่นจะหดหายเช่นกัน หรือ ตอนทำเป็นเกมออนไลน์ภาค X ก็มีแฟน ๆ ต่อว่าเป็นจำนวนมากว่า Dragon Quest ไม่ควรจะเป็นเกมออนไลน์ แต่ท้ายที่สุดแล้วในทุกเคส เมื่อทุกคนได้ลองเล่นก็จะพบว่าโดยแก่นแล้ว มันก็ยังคือ Dragon Quest อยู่ดี
ที่มา – nintendoeverything
Comments
ผมคนนึ่งละที่ชอบ DQ แต่ หน้าเบื่อตรงที่กว่าจะออกภาษาอังกฤษ ปาไป 6เดือน - 1ปี มันนานไปอะ ออกมันพร้อมกันกันหลายๆภาษาไปเลย
จริง เกมญี่ปุ่นหลายเกมก็เป็นแบบนี้ กว่าจะออกเวอร์ชันภาษาอังกฤษก็ปาไปเกือบปี
จุดที่ผมชอบจักรวาล DQ คือชื่อเวทมนตร์นี่แหละครับ เสียดายที่พอแปลเป็นอังกฤษชื่อเวทก็เปลี่ยนไปด้วย เสียความขลังไปเยอะเลย
555 เหมือนผมเลย เล่น DQ Localize พอเจอชื่อเวทย์นี่ถึงกับหมดอารมณ์
ในเครื่อง Famicom interface ของ dragon quest เข้าใจยากกว่ามากครับตอนผมเล่นนี้จะใช้เวทยังไงนี่นั้งงมอยู่ตั้งนาน และระดับชั้นของเมนูมันลึกไป 5 - 6 ชั้นก็ยังมี
+1 ผมก็เจอเหตุการณ์นี้เลย ทำให้ฝังใจมาจนปัจจุบัน เลยยังไม่ยอมเปิดใจเล่น DQ จริง ๆ จัง ๆ ซักภาคนึง
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมงง ตรงนี้ครับ
"ข้อสรุปที่ SE ได้จากปัญหานี้คือ “ความรู้สึกโหยหาของผู้เล่นที่แตกต่างกัน” ในยุคสมัยที่ Famicom เป็นที่นิยม แทบทุกเครื่องต้องมีเกม Dragon Quest อยู่ด้วย"
และก็
"SE มองว่าถ้าย้อนไปในช่วงที่เครื่อง Famicom บูม บริษัทให้ความสนใจโปรโมทเกม Dragon Quest มากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องลำบากกับปัญหาดังกล่าวในปัจจุบัน"
มันดูขัดกันยังไงไม่รู้ครับ
มันบูมจริง แต่ถ้าโปรโมทมากกว่านี้ มันก็อาจจะบูมถึงตอนนี้ก็ได้ แต่อย่าลืมว่าก่อนควบรวมบริษัท ตอนนั้นยังเป็นคู่แข่งกันอยู่
เข้าใจว่าเขาหมายถึง โปรโมทในตลาดนอกญี่ปุ่นน่ะครับ
ชอบสไลม์ (มีกลิ่นอายสไลม์ในโพลิ่งของ RO ด้วยนี่เนอะ) แต่ก็เล่นแค่สมัยแฟมิคอม ภาค 1-2 เอง งมกะภาษาญี่ปุ่นแบบเด็กๆ งงๆ มึนๆ 55
my blog
ที่มันขายไม่ออกเพราะแปลชื่อเฉพาะในเกมออกมาเห่ย ไม่ใช่เพราะชอบ FF มากกว่า -*-
แค่ระบบชื่อเวทมนตร์ก็ดูยุ่งยากแล้ว ต่างจากสาย FF(fire ra raga tornado earthquake flare protect shell reflect) ที่จำง่ายเข้าใจง่าย
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ถ้าแปลเป็นไทยก็ ไฟ ไฟกว่า ไฟกว่าๆ ไฟกว่าๆๆ
FF กับ DQ เป็นประเด็นทีคุยกับเพื่อนตลอด...ว่าอะไรสนุกกว่า
ส่วนตัวเป็นสาย DQ มาแต่เด็กเพราะเล่นเคลียร์ไล่มาตั้งแต่ 1 2 3 4 ของภาค famicom
ส่วนภาค 5 6 8 นี่มาเล่นย้อนหลังตอนทำงานแล้ว
อารมณ์จด save ภาษาญี่ปุ่นผิด 1 ตัวแล้วหายนะ...เป็นสิ่งทีจำไม่ลืมใน DQ1
อยากบอกว่าลายมือภาษาญี่ปุ่นสวยกว่าคัดไทย
เริ่มปันใจให้ FF ก็ตอนที่ได้สัมผัส FF7 แล้วก็ไปไล่ย้อนเล่น 3 4 5 6 8 10 12 tactics
จำได้ว่าช่วงถอย PS2 มาเล่น FF10 แล้วชอบมาก
พอเคลียร์เสร็จก็จะต่อด้วย FF12 ผลปรากฏว่าเล่นไม่ได้
เบื่ออย่างแรง ความเครียดสะสม
ต้องคั่นด้วย DQ8 เพราะตลก ดนตรีเบา ๆ เนื้อเรื่องมีมุขตบตลอด
แล้วพอเล่นจบ มาตามด้้วย FF12 ก็สนุกมาก
ถ้าถามตอนนี้ ชอบทั้งสองเกม แต่ต้องเล่นสลับกัน
FF ขึงขังจริงจัง ดรามาจัดหนัก
DQ ดนตรีสบาย ๆ มุขตลกเยอะแยะ monster คิกขุ
ก็ไม่ยอมแปลเร็วๆ แถมเอาลงเครื่องไม่ครบ เปลี่ยนชื่อเวท แค่นี้คนก็พลอยไม่อยากเล่นแล้ว
เราเกลียด DQ เพราะฉากต่อสู้เป็นมุมมองบุคคลที่ 1 ภาคหลังๆโอเคขึ้นเริ่มทำเป็นมุมมองบุคคลที่ 3
ขอภาค XI มีภาษาอังกฤษ ออกมาพร้อมเลยนะ
ยอมรับว่าไม่ได้ชอบ ดราก้อนเควส แต่ว่าภาค 9 คือที่สุดของที่สุดจริง ๆ ทำลง Smartphone เถอะขอร้อง!!!