Tags:
Node Thumbnail

ปัญหา open access เป็นประเด็นขัดแย้งในแวดวงวิชาการมานาน เหตุเพราะวารสารวิชาการที่ตีพิมพ์งานวิจัย มักมีโมเดลธุรกิจคือการคิดเงินค่าอ่าน (ไม่ว่าจะเป็นจ่ายค่าสมาชิกรายปี หรือจ่ายรายชิ้น) ในขณะที่มุมมองอีกด้านคือความรู้ควรเป็นของสาธารณะเพื่อการวิจัยต่อยอด ทำให้นักวิจัยหลายคนใช้วิธีเผยแพร่เปเปอร์วิชาการ (ที่อาจไม่เหมือนกับเวอร์ชันตีพิมพ์ทั้งหมด) ผ่านช่องทางของตัวเองหรือหน่วยงาน หรือวารสารวิชาการบางฉบับก็เปลี่ยนโมเดลมาเป็นคิดเงินกับผู้ตีพิมพ์แทนผู้อ่าน

ปัญหานี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นหากเป็นงานวิจัยที่ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ แต่กลับต้องจ่ายเงินค่าอ่าน ทำให้หน่วยงานให้ทุนวิจัยในหลายประเทศเริ่มบังคับว่างานวิจัยจะต้องเผยแพร่แบบ open access เช่น UKRI หน่วยงานด้านการให้ทุนวิจัยของสหราชอาณาจักร ที่ออกประกาศในปี 2021 และมีผลบังคับใช้ปี 2022

No Description

ล่าสุดฝั่งสหรัฐอเมริกามีความเคลื่อนไหวแบบเดียวกัน โดย White House Office of Science and Technology Policy (OSTP) หน่วยงานนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของทำเนียบขาว ออกคำสั่งให้หน่วยงานวิจัยของรัฐทั้งหมดต้องเผยแพร่ผลงานวิจัย (ทั้งที่ทำเองและให้ทุนสนับสนุนภายนอก) แบบ open access ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เนื่องจากเป็นเงินจากภาษีประชาชน มีผลตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป

คำสั่งของ OSTP จะมีผลกระทบอย่างมาก เพราะรัฐบาลสหรัฐถือเป็นผู้ให้ทุนวิจัยหลายใหญ่ของโลก (ตัวอย่างคือ US National Institutes of Health ของรัฐบาลให้ทุนวิจัยเยอะกว่าภาคเอกชน 20 รายแรกรวมกัน) และจะมีผลให้งานวิจัยจำนวนมหาศาลเข้าถึงได้จากสาธารณะ

ขั้นถัดไปคือ หน่วยงานวิจัยต่างๆ จะต้องปรับแผนการให้ทุนใหม่ กำหนดเงื่อนไข open access ตามแนวทางของ OSTP และส่งกลับมาที่ OSTP ภายในสิ้นปี 2023 (หน่วยงานบางแห่งอาจมีนโยบายนี้อยู่แล้ว แต่คำสั่งของ OSTP คือมีผลกับหน่วยงานของรัฐทั้งหมด)

ที่มา - ทำเนียบขาว, Ars Technica

Get latest news from Blognone

Comments

By: zda98
Windows Phone
on 29 August 2022 - 16:50 #1259718

เยียมมากครับ เงินภาษีประชาชน

By: specimen
Windows PhoneAndroid
on 29 August 2022 - 18:29 #1259725
specimen's picture

สาธุ
ตอนนี้ อ่านได้แค่ Abstract สำหรับ paper ส่วนใหญ่

By: -Rookies-
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 29 August 2022 - 21:10 #1259745

มันก็จะมีมุมที่บางคนบอกว่าภาษีที่ว่ามันของประชาชนชาวสหรัฐเท่านั้นนะ แต่ทั่วโลกเข้าถึงได้เฉย ดังนั้นจริง ๆ ทุกประเทศในโลกครวดำเนินการแบบเดียวกัน ความรู้จะได้ต่อยอดขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว


เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!