Activision Blizzard เพิ่งจ่ายเงินโบนัสให้ซีอีโอ Robert A. Kotick เป็นมูลค่าเกือบ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังทำผลงานราคาหุ้นได้ทะลุเป้าหมายในสัญญา
Kotick นั่งเป็นซีอีโอของ Activision มานาน 25 ปีแล้ว แต่สัญญาฉบับล่าสุดของ Kotick ในปี 2016 ระบุเอาไว้ว่าหากราคาหุ้นของบริษัทสูงกว่าเป้าหมาย เขาจะได้โบนัสคิดเป็นเปอร์เซนต์ของรายได้ต่อปี (สูงสุดที่ 400% ของเงินเดือนทั้งปี)
หลังจากที่ปี 2020 หุ้นบริษัทไอทีและบริษัทเกมเติบโตกันถ้วนหน้า ทำให้อัตราการเติบโตของหุ้น Activision Blizzard (นับรวม 4 ปีจากเริ่มต้นสัญญา) ทะลุเป้า ทำให้ Kotick ได้โบนัสเป็นหุ้นของบริษัทแบบเต็มๆ คิดเป็นมูลค่าหุ้นคือเกือบ 200 ล้านดอลลาร์
ผลงานของ Kotick คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะสัญญาระบุไว้ชัดเจน (และเป็นสัญญาตั้งแต่ปี 2016) แต่การที่เขาได้เงินจำนวนมหาศาล ก็ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มไม่พอใจ เพราะมองว่าราคาหุ้นไม่ได้สะท้อนผลงานของ Kotick ทั้งหมด
ประเด็นเรื่องโบนัสของ Kotick ยังบังเอิญมาเจอกับข่าว Activision Blizzard ปลดพนักงานออก 190 คน หรือประมาณ 2% ของพนักงานทั้งหมด ด้วย ถึงแม้พนักงานได้รับเงินชดเชยตามกฏมาย แต่การที่ซีอีโอได้โบนัสจำนวนมหาศาลในช่วงเดียวกัน ก็ทำให้ Activision Blizzard ถูกวิจารณ์ไม่น้อยเช่นกัน
Comments
ก็ปกติที่เขาจะรักษาประโยชน์ส่วนตนไว้ก่อน เขามีอิสระภาพที่จะทำให้ได้ผลประโยชน์ตามความสามารถและอำนาจในมือ
จะขัดหลักมนุษยธรรมมั้ย ... เคยเจอคนบอกว่ามนุษยธรรมไม่มีจริง จริยธรรม ไม่มีจริง ...
เอ...คุ้นๆนะคร้บ เหมือนเคยเจอที่ไหนน้านึกไม่ออก
The Last Wizard Of Century.
ก็ต้องทำตามสัญญาที่ตกลงกันนะ การให้เงินเดือน CEO กับการปลดพนักกงานก็น่าจะคนละเหตุผลกันด้วย แน่นอนว่าคงไม่ถูกใจกันเท่าไรแต่ผมว่าก็ไม่น่าผิด
That is the way things are.
ได้เป็นหุ้น ไม่ใช่เงินสด$200 ล้านซะหน่อย
หลังทำผลงานทำราคาหุ้นได้ทะลุเป้าหมายในสัญญา ?
การปลดคนออก ทำให้ผลกำไรระยะสั้นเพิ่มขึ้นได้ แต่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันระยะยาวไหม เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
ปลดออกนี่ระยะสั้นขาดทุนนะครับ เพราะต้องจ่ายชดเชย แต่ระยะยาวค่าใช้จ่ายน้อยลงถ้าสามารถจัดการให้ยังสามารถทำงานในระดับที่เหมาะสมได้อยู่
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
เดี๋ยวมีโปรเจคใหม่ก็จ้างกลับมาครับ เป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้แล
ต้องดูที่สัญญาที่เซ็นกัน ก่อนรับงาน
ปลดคนออกก็ถือเป็นผลงานด้วยซ้ำ
โลกนี้มันไม่ได้สวยหรู มันโหดร้ายแบบนี้แหละ
หน้าที่ของทุกคนคือรับใช้บริษัท ทำให้บริษัทได้ประโยชน์สูงสุด
ถ้าการปลดคนออก ปรับลดขนาดกิจการ แล้วบริษัทจะดีขึ้นก็ต้องทำ
และหน้าที่ปลดคนออก ก็ถือเป็นหน้าที่หนึ่งที่ผู้บริหารต้องทำ
อย่าว่าแต่ปลดพนักงานออก ถ้าต้องปลดตัวเองออก ก็ต้องทำ
และก็ต้องดูเป้าหมาย ถ้าปลดคนออกไปแล้วเกิดประโยชน์ตามเป้าหมายที่ตั้ง ก็ถือเป็นผลงาน
แต่ถ้าไม่ได้ตามเป้าหมายหรือกลายเป็นเสียประโยชน์ บริษัทก็คงทำโทษหรือเอาเค้าออกไปแล้ว
รีดให้บริษัทเจ๊ง liquidate หมดก็เป็นผลงานครับ เพราะนักลงทุนได้ตัง แล้วก็ไปหาเหยื่อบริษัทอื่นต่อ ถาม Carl Icahn ได้
ก๊ากกกก เบื่อพวกที่ชอบเอาความจริงมาพูดกันหนุกหนาน ฮ่าๆๆๆ
Toys R’ Us เป็นตัวอย่าง ที่เจอ Capital สามรายรวมกันซื้อจนบริษัทดั้งเดิมพัง แม้จะกลับมาทำใหม่หลังล้มละลายก็มาได้ก็ไปไม่รอด มีเปิดใหม่ 2 สาขาไม่กี่ปีก่อนก็ต้องปิดเพราะ Covid
Sears และ Kmart ก็น่าจะเป็นอีกกรณีที่เห็นได้ชัด ที่ CEO หาเงินจากบริษัทที่กำลังจะตายเข้ากระเป๋าตัวเอง
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว