ในยุคที่อีคอมเมิร์ซเฟื่องฟูสุดๆ เรากดซื้อของออนไลน์ได้ภายใน 5 นาที แถม Amazon ก็มีบริการ Prime ที่ส่งด่วนภายใน 2 วัน และล่าสุดก็เริ่มปรับมาเป็นภายในวันเดียวกันหรือภายในไม่กี่ชั่วโมง สิ่งที่ตามมาคือบริการส่งของอย่าง FedEx, UPS และอื่นๆ ก็ต้องทำงานกันหนักขึ้น รวมทั้งจำนวนรถส่งของก็เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมืองนิวยอร์กมีพัสดุถูกจัดส่งมากกว่า 1.5 ล้านชิ้นต่อวัน (มีประชากรราว 20 ล้านคน) ก่อให้เกิดปัญหาการจราจรอย่างหนัก ลามไปถึงเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนและมลพิษ
ตามรายงานระบุว่ารถส่งของเฉพาะ FedEx และ UPS ต้องจอดซ้อนคันเป็นประจำ ทำให้ขวางเลนรถเมล์และเลนจักรยาน ซึ่งในปี 2018 ได้จอดรถผิดกฎจราจรไปมากกว่า 471,000 ครั้ง สูงขึ้นถึง 34% จากสถิติในปี 2013
ภาพพนักงาน FedEx กำลังคัดแยกพัสดุในย่าน SoHo เมืองนิวยอร์ก ช่วงก่อนคริสต์มาส | จาก Shutterstock
บริเวณสะพาน George Washington ที่ข้ามแม่น้ำ Hudson จากฝั่ง New Jersey เข้า NYC กลายเป็นทางต่างระดับที่รถติดที่สุดในประเทศ รถบรรทุกแล่นข้ามสะพานได้ที่ความเร็ว 37 กม./ชม. จากที่เคยแล่นได้ 48 กม./ชม. เมื่อปี 2014 นอกจากนี้รถยังแล่นได้เพียง 11 กม./ชม. ในบริเวณที่จอแจที่สุดของเกาะ Manhattan ช้าลง 23% จากช่วงปี 2010
ที่ดินจำนวนมากรอบๆ อย่าง Brooklyn, Red Hook ก็ถูกสร้างโกดังเก็บสินค้า รวมแล้วราว 1.8 แสนตารางเมตร เฉพาะโกดังของ Amazon เจ้าเดียวก็มีถึงสองแห่ง
ภาพท้องถนนที่จอแจของ Manhattan โดย SteenJepsen
ด้านเจ้าหน้าที่ของเมืองนิวยอร์กก็ออกมาบอกว่าขณะนี้กำลังเข้ามาจัดการการจราจรของรถบรรทุกในเมืองโดยเฉพาะ ในขณะที่ Amazon ก็เตรียมลงทุนเพิ่ม 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจัดส่งภายในวันเดียว
จากบทความต้นทางยังกล่าวถึงปัญหาที่ตามมาของการส่งสินค้าอีกมาก เช่นจำนวนรถบรรทุก, มลพิษ รวมถึงพื้นที่ที่ใช้ก่อสร้างโกดังสินค้า ในข่าวนี้จะกล่าวถึงเพียงเท่านี้ ใครสนใจอ่านรายละเอียดเต็มๆ ลองกดอ่านกันได้
ที่มา - The New York Times
Comments
มันฟูทั้งโลกรึนี่ คิดว่าเมกาฟูมานานแล้ว
มันมาหนักข้อเอาตอน Amazon Prime แบบส่งในสองวัน หรือล่าสุดจะปรับเป็นวันเดียว
สระเอตรงแสนเกินมา 1 ตัว
ก็ยังดีกว่าแท็กซี่ขับรถเปล่าวนหาคนเยอะ อันนี้ยังมีของต้องส่ง
ขับวนเพื่อรอส่งแก๊สกับส่งรถครับ
ที่อเมริกา ก็ UBER กับ Lyft ทำให้รถติดยิ่งกว่าเดิม เพราะวิ่งรถเปล่ารอผู้โดยสารเรียกใช้บริการด้วยครับ
แสดงว่าหลายๆ คนของไทยฉลาดกว่านิดนึง ถ้าไม่ได้ลูกค้าก็จะกินกับนอนในรถตรงแถวๆ นั้นเลย
ซึ่งก็ทำให้รถติดเหมือนกันครับ (นี่พูดรวมแทกซี่ด้วย) เพราะวิ่งๆมาต้องออกขวาเปลี่ยนเลน แถมยังเสี่ยงอุบัติเหตุอีกเพราะถ้าขับมาไม่ระวัง ชนตูดเอาง่ายๆ
การวิ่งไปเรื่อยๆยังทำให้มีอุบัติเหตุน้อยกว่า
เดี๋ยวครับ พวกอูเบอร์ในไทยไม่ได้นอนเหมือนแท็กซี่นะครับ นอนไม่ได้เลย โดนแท็กซี่สอยแน่
แล้วพวกที่ผมพูดถึงคือจับทางไกลครับ จากกทม.ไปภูเก็ตไรงี้ แล้วก็จอดนอนภูเก็ตเลย ตีรถเปล่ากลับไม่คุ้ม
ข้อมูลน่าสนใจ
ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 เอง
บางสาขาติดถนน ก็เจอรถส่งของ ขวางทางอยู่ แม้จะเลียงๆมากลางคืนก็เถอะ
มันต้องขึ้นเรือเหาะบินไปกลางเมืองแล้วใช้โดรนจัดการบินลงมาส่งแล้วละ อย่างกับในหนัง
เท่ห์ดีครับ แต่บนฟ้าคงวุ่นวายน่าดู ไหนจะของเจ้าอื่นที่ก็ออกมาส่งเหมือนกัน ไหนจะของส่วนตัวละแวกนั้น
ตอนไม่ลืมว่าถ้าส่งทางอากาศจะเป็นแบบ 3 มิตินะครับ คือ ใช้เพดานบินคนละระดับก็ไม่ชนกันแล้ว(เหมือนมีทางด่วนยกระดับซ้อนกันหลายชั้น ถึงมีหลายเจ้าก็ดีกว่าวิ่งบนถนนแบบ 2 มิติแบบทุกวันนี้) แล้วพวกเครื่องจักรมองพื้นที่การเคลื่อนไหวเป็นตารางด้วย จะมีเบี้ยวก็โดนลมพัดนั่นหล่ะ
อีกวิธีแก้ก็ใช้ระบบรถไฟใต้ดินไง เอาสายที่คนใช้น้อย ใส้ขบวนขนสินค้าเข้าไป ก็ช่วยได้เยอะนะ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
อันนี้เข้าท่า ยิ่งนิวยอร์กรถไฟใต้ดินวิ่งทั่วทั้งเมืองแถมเปิด 24 ชม.อยู่แล้วด้วย
Hyperloop เพื่อสิ่งนี้
สร้างท่อส่งไปตามบ้านหรือไงครับ วานขอความกระจ่าง
ส่งไปที่ Hub ก็พอนี่ครับ
ส่วนใครจะย่อย Hub ได้ไว ออกแบบ Hub แบบไหนก็ว่ากันไป
หรือคุณรวยจะทำส่งไปทุกบ้านก็ได้นะ
เพียงแต่ผมมองว่า มันเป็นตัวช่วยให้ลดพื้นที่บนท้องถนนได้ไม่มากก็น้อย
มันก็ไม่ต่างอะไรจากตอนนี้นะครับ
รู้ว่านิวยอร์กรถติดนะ แต่ไม่คิดว่าจะมีการจอดรถผิดกฏจราจรสูงขนาดนี้
ผมว่าต่อไปในเขตเมืองแบบนี้ อาจจะต้องทำแผนที่หรือว่าเส้นทางให้โดรนส่งของแล้วล่ะ จัดระเบียบการบิน แล้วให้รับหน้าที่ส่งของชิ้นเล็กๆ
..: เรื่อยไป
อ่านจบ ภาพ Taxi รถเมล์ กทม
รถส่งของเซเว่นลอยมาเลย
อนาคตอาจจะเห็นโดรนบินกันว่อนก็ได้
ของชิ้นเล็กๆฝาก Uber ได้แล้วมั๊ง ไม่ก็หาจยย.มาส่งก็ยังดี