Tags:
Node Thumbnail

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบารัค โอบามาลงนามบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบสิทธิบัตร (Patent Reform Act) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การปฏิรูปนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กฎหมายสิทธิบัตรเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อปี 1952 ซึ่งก็มีการยื่นให้พิจารณาอยู่หลายครั้งกว่าจะมาถึงวันนี้ (ตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2009 - ข่าวเก่า)

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการปฏิรูประบบสิทธิบัตรนี้ คือการเปลี่ยนระบบการขอจดสิทธิบัตรจาก first-to-invent หรือการให้สิทธิบัตรบนพื้นฐานของแนวคิดของนวัตกรรม (conception of invention) โดยไม่สนใจว่าจะจดสิทธิบัตรเมื่อใด เป็น first-to-file หรือการให้สิทธิบัตรบนพื้นฐานที่ว่าใครมาจดก่อนก็ได้ก่อน นอกจากนั้นยังให้สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐ (USPTO) สามารถหารายได้ด้วยตัวเอง โดยกฎหมายได้ให้อำนาจที่จะกำหนดและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมขอจดสิทธิบัตรใหม่ได้

นับถึงทุกวันนี้ยังมีการยื่นขอจดสิทธิบัตรที่ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบมากถึง 1.2 ล้านรายการ โดยมีถึง 7 แสนกว่ารายการที่ยังไม่ได้รับการรีวิวเลยด้วยซ้ำ และแต่ละฉบับกว่าจะได้รับการรับรองอาจต้องใช้เวลาเฉลี่ยอย่างน้อย 3 ปี ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกระบวนการขอจดสิทธิบัตรนี้จึงน่าจะช่วยลดเวลาลงได้ แต่การปฏิรูปนี้ก็ไม่รู้ว่าจะส่งผลถึงการต่อสู้ระหว่างบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ต่างๆ ที่พยายามยื่นขอจดสิทธิบัตรเองหรือกระทั่งกว้านซื้อสิทธิบัตรของคนอื่นมาอยู่ในมือให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ฟ้องร้องและต่อรองกับคู่แข่งหรือไม่ ก็คงต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา: AP (Yahoo! News), CNET

Get latest news from Blognone

Comments

By: lew
FounderJusci's WriterMEconomicsAndroid
on 17 September 2011 - 22:10 #334394
lew's picture

สาระสำคัญที่ถูกเรียกร้องกันมาตลอดยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าใหร่ เช่นสิทธิบัตรในแต่ละกลุ่มควรมีอายุต่างๆ กัน ไอทีควรสั้น, ยาและการแพทย์อาจจะยาวขึ้นมาหน่อย ฯลฯ

สิทธิบัตรควรถูกรีวิวอย่างเป็นระบบมากกว่าเดิม เมื่อเกิดคำถามว่านวัตกรรมอาจจะซ้ำซ้อนกับ prior arts สิทธิบัตรควรตกไปทันทีแล้วให้ submit เข้าไปใหม่โดย claim ลดลง

เรื่องพวกนี้ไม่มีใครกล้าแตะ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเปลี่ยนไปได้ยังไงกัน


lewcpe.com, @wasonliw

By: ipanda
iPhoneWindows PhoneAndroid
on 17 September 2011 - 23:38 #334406 Reply to:334394

ทำไมยาถึงควรยาวขึ้นอ่ะครับ

ผมว่ายาน่าจะสั้นลงนะ ^^" เพราะมันเป็นสิ่งที่จำเป็นกับมนุษย์
ยิ่งยาว บริษัทยายิ่งรวยเอาๆ แต่คนจนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้ยาดีๆ

วันนี้พายายไปตรวจกระดูกตามหมอนัดมา ค่ายา 9 พัน ...
ต้องไปเรื่อยๆทุก 3-4 เดือน.. ดีที่แม่เป็นข้าราชการ เลยเบิกได้

By: maytee
iPhone
on 17 September 2011 - 23:52 #334409 Reply to:334406

สั้นมากไปก็ไม่มีใครอยากลงทุน ยารักษาชีวิตคุณภาพดีก็จะลดน้อยลง ถ้าใครเบิกไม่ได้ หรือใช้ประกันสังคม ค่ายาจะถูกลงครับ เพราะยาหลายๆ ตัวมียาเลียนแบบราคาถูกแล้ว

By: lew
FounderJusci's WriterMEconomicsAndroid
on 18 September 2011 - 02:41 #334435 Reply to:334406
lew's picture

หมายถึงยาวกว่า IT ครับ


lewcpe.com, @wasonliw

By: tk719
iPhoneBlackberrySymbianIn Love
on 18 September 2011 - 03:02 #334439 Reply to:334406

ยาตัวหนึ่งๆใช้เวลานับ 10 ปีนะครับ ถ้าระยะ Patent สั้นกว่านี้ ไม่มีใครกล้าลงทุน นอกจากภาครัฐแล้วล่ะครับ

By: คุณเพนกวิ้น
iPhone
on 18 September 2011 - 08:22 #334449 Reply to:334406

อันนี้แล้วแต่คนเชื่อนะ ถ้าไปถามหมอ เภสัช หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง
ยังไงเค้าก็เลือกยา original อยู่ เพราะเค้าลงทุนมาเยอะ ยังไงเค้าก็ research มาเยอะกว่าพวกที่ OC แล้วเอาแค่สูตรยามาลอก

ในไทยนั้น ถามหน่อยใครกล้าทำวิจัยเรื่องยาแท้กับยาก๊อปมั่ง ถ้าทำจริงแบ่งออกเป็น 2 กรณี
1 ถ้ายา original ดีกว่า พวกยาก๊อปนี่ล่มแน่นอน ต้องจ่ายกันแพงขึ้น
2 ถ้า OC ดีกว่า บริษัท original ฟ้องกันล้มอีกเหมือนกันว่าทำให้เสื่อมเสีย

ถ้าคิดว่าอะไรดีๆ แล้วอยากให้คนใช้ละก็ต้องทำเองครับ ไม่งั้นเค้าไม่จดทะเบียนหาตังหรอก
ถามหน่อย ถ้าคิดยารักษาเอดส์ได้ จะจดทะเบียนหาเงินไม๊ ถ้าไม่คุณก็พ่อพระแหละ กินแกลบโดยที่ สธ ทั่วโลกเอาหน้าบอกรักษาเอดส์ได้ ถ้าเอา คุณก็เป็นแบบตัวคุณในตอนนี้ ต้องหาเงินมาจ่ายค่าลิขสิทธิ์

By: agent5 on 18 September 2011 - 12:31 #334464 Reply to:334449

ยาก็อปทุกตัว ต้องทำวิจัยเทียบกับยาต้นตำรับก่อนขึ้นทะเบียนกับ อย. ได้ครับ
กฎหมายบังคับมาจะสิบปีแล้ว เมื่อก่อนบังคับวิจัยแค่ทางเทคนิคของยาอย่างเดียว
ช่วงหลังบังคับให้เทียบประสิทธิภาพในการใช้กับคนไข้ด้วย

By: เดวิลแมน on 19 September 2011 - 09:34 #334578 Reply to:334394

เป็นการกีดกันการเข้าถึงยา ยาบางชนิดตั้งกำแพงราคาไว้สูงมาก คนยากคนจนตายหมดครับ เราจะยอมทนดูคนชาติเดียวกันตายต่อหน้าได้หรือครับ บางประเทศต้องหาทางออกด้วยการใช้ CL เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศถึงแม้ว่ามันจะละเมิดสิทธิบัตรในมุมมองของผู้ค้ิดค้นยาก็ตาม ยูเนสโกเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยในกรณีนี้

ไม่มีปัญหากับสิทธิบัตรยาว่าจะสั้นหรือยาว แต่บริษัทเจ้าของยาเองก็ควรจะพิจารณาตัวเองด้วยว่าตั้งราคาสูงเพื่อเอากำไรมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ป่วยจนต้องใช้ยานั้นจะไม่รู้หรอกครับ ทรัพย์สมบัติแทบจะไม่เหลือเลยจริงๆ

By: lew
FounderJusci's WriterMEconomicsAndroid
on 19 September 2011 - 14:17 #334642 Reply to:334578
lew's picture

การทำ CL เป็นอีกประเด็นเลยครับ

ผมพูดถึงการคุ้มครองตามกฏหมาย ส่วนว่ากฏหมายนั้นเปิดช่องให้ทำ CL ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ ในแง่หนึ่งแล้วการที่เราประกาศ CL ก็เป็นการยอมรับว่าสิทธิบัตรนั้นมีผลจริงและได้รับความคุ้มครองตามกฏหมายสิทธิบัตร

ผมบอกให้คุ้มครองนาน ไม่ได้บอกให้ยกเลิกกฏหมาย CL นี่ครับ ตัวสนธิสัญญา Berne Convention ก็ระบุถึงส่วนนี้เอาไว้ เราจะเริ่มใช้เมื่อใหร่ก็ต้องว่ากันไป


lewcpe.com, @wasonliw

By: jirayu
ContributorWindows PhoneBlackberrySymbian
on 17 September 2011 - 22:18 #334395

รู้สึกจะไม่ช่วยแก้เรื่องเกรียนสิทธิบัตรแฮะ

ถ้านับกันที่จดก่อนได้ก่อน อาจจะเจอเกรียนสิทธิบัตรมากกว่าเดิมก็ได้มั๊ง


By: korrawit
ContributorAndroid
on 17 September 2011 - 22:47 #334400

ปฏิรูป (ฏ ปฏัก) ครับผม

By: nuntawat
WriterAndroidWindowsIn Love
on 18 September 2011 - 06:00 #334446 Reply to:334400
nuntawat's picture

แก้แล้วครับ :)

By: PikaboyZ
Android
on 17 September 2011 - 23:25 #334404

เหมือนไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไรเลย

By: ch.krich
iPhoneWindows PhoneAndroidBlackberry
on 18 September 2011 - 00:25 #334416
ch.krich's picture

นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังเหมือนซ้ำเติมมากกว่า ประมาณว่าใครคิดได้ก่อนไม่สำคัญแล้ว สำคัญที่ใครจดก่อน ดังนั้นต่อไปถ้าหากประเทศไหนคิดอะไรได้ ใครทำอะไรใหม่ๆ แต่มันถูกคนอเมริกานำไปจดก่อน ก็ถือว่าเป็นของคนอเมริกา

หรือผมเข้าใจอะไรผิดไปรึป่าวเนี่ย -_-"

By: BLiNDiNG
AndroidUbuntuWindowsIn Love
on 18 September 2011 - 02:39 #334434 Reply to:334416
BLiNDiNG's picture

เอ......ตอนแรกที่อ่าน ผมคิดยังงั้นเหมือนกัน
แต่คิดว่าคงเข้าใจผิดเลยลองไล่อ่านคอมเมนต์ดู
ก็มาเจอคนที่มองเหมือนผมเลย
ถ้าเป็นงั้น ตอนนี้ใครก็ไปจดเรื่อง ยารักษาเอดส์ไว้เลยก็ได้อ่ะดิ

By: toandthen
WriterMEconomics
on 18 September 2011 - 12:11 #334462 Reply to:334434
toandthen's picture

แบบนี้ผมมีสิทธิได้จดท่ายืนฉี่แบบสเปเชี่ยลแล้วสิครับ :D


@TonsTweetings

By: TiOnline
Android
on 18 September 2011 - 00:44 #334419
TiOnline's picture

ผมว่าสิทธิบัตรบางตัวมันดูแล้วไม่น่าจะเอามาจดเลย เพราะมันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ใครๆก็จะต้องทำ เหมือนจดดักไว้รอกินหัวคิว

By: sakoolar
iPhoneAndroidWindowsIn Love
on 18 September 2011 - 01:15 #334427 Reply to:334419

+1 แถมแบบนี้มีเยอะด้วยครับ จดแล้วก็รอกินเปล่า

By: ninja741 on 18 September 2011 - 02:54 #334438 Reply to:334419

คำถามคือ ถ้าเป็นเรื่องพื้นฐาน ใครๆก็คิดได้ แล้วทำไมตัวเองไม่ไปจดไว้เองละ?

ปัญหาฟ้องร้องส่วนมากเกิดกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น บริษัทพวกนี้จะจ่ายค่าจดสิทธิบัตรวันละร้อยอันก็ไม่สะเทือนเงินในกระเป๋า

By: ch.krich
iPhoneWindows PhoneAndroidBlackberry
on 18 September 2011 - 09:01 #334450 Reply to:334438
ch.krich's picture

เพราะการจดสิทธิบัตรมันไม่ง่ายขนาดเปิดหน้าเว็บแล้วกรอกข้อมูลครับ มันต้องมีการยื่นเอกสารไปแต่ละประเทศที่เปิดให้จด (ต้องไปยื่นทุกประเทศ ตามแต่ที่อยากจะให้สิทธิบัตรคุ้มครอง)

และหลายอย่างที่คนคิดได้ สำหรับประเทศที่ยังไม่เกิดสงครามสิทธิบัตร เค้าก็ไม่คิดว่าจะจดได้ครับ หรือไม่คิดว่าจดแล้วจะได้ประโยชน์อะไร

By: btxxxx
AndroidWindows
on 18 September 2011 - 10:08 #334454 Reply to:334438

ที่บอกว่า "ทำไมตัวเองไม่ไปจดไว้เองล่ะ?" อันนี้ไม่ได้เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาเรื่องที่จด "เรื่องพื้นฐาน" ได้ไงครับ เพราะคนที่จดได้ ก็จะมีแค่คนแรกคนเดียวอยู่ดี ในเมื่อคนใดคนหนึ่งจดได้ ผลกระทบก็เกิดกับคนที่เหลือ (จำนวนมาก) อยู่ดี ผมไม่โดนฟ้อง ผมก็ฟ้องคุณ (หรือคนอื่น) แทน

ส่วนแนวคิดอันล่างดูจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวมากกว่า

By: ch.krich
iPhoneWindows PhoneAndroidBlackberry
on 18 September 2011 - 10:37 #334456 Reply to:334454
ch.krich's picture

แล้วถ้าคุณคิดอะไรได้สักอย่าง คุณจะเดินทางไปจดที่ต่างประเทศหรือครับ? คุณมั่นใจได้ยังไงว่าค่าเดินทางหลักหมื่นหลักแสน ไปถึงที่แล้วจะไม่มีใครจดไว้ก่อน

สิ่งที่ผมบอกไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัวครับ มันเป็นเรื่องที่คนคิดกันจริงๆ คุณไม่รู้หรอกว่าสิทธิบัตรอันไหนจะบูม จะได้ประโยชน์ แต่คุณต้องเดินทางไปจดทุกๆ อย่าง ถ้าไม่ใหญ่จริง ไม่มีใครเค้าทำกันครับ

By: Not Available a...
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 18 September 2011 - 10:38 #334457 Reply to:334454
Not Available at this Moment's picture

ผมว่าเค้าไม่ได้จะสื่ออย่างนั้นครับ แต่เค้าประชดคุณว่าถ้ามันพื้นฐานจริงๆดังที่คุณว่าทำไมคุณถึงคิดเองไม่ได้ล่ะประมาณนั้น เรื่องที่มันเป็นพื้นฐานจริงๆก็ห้ามจดไว้อยู่แล้ว แต่บางเรื่องมันเพิ่งจะมาเป็นเรื่องธรรมดาได้ไม่นาน ถ้าลองมองย้อนไปตอนจดฯดูสิทธิบัตรบางอันที่ใช้ฟ้องกันตอนนี้ยังเป็นแค่จินตนาการซะด้วยซ้ำไป

ส่วนตัวผมมองว่าคนที่ไปจดสิทธิบัตรปกติมักจะมีความมุ่งหมายให้มีคนใช้สิทธิบัตรของเค้าเยอะๆ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องปกติพื้นฐานได้ยิ่งดีเพราะเค้าจะหากำไรจากความคิดของเค้าได้ ดังนั้นคำว่าเรื่องพื้นฐานจึงควรมีความหมายว่า "เรื่องที่ถ้าไม่มีแล้วจะทำ/สร้างไม่ได้เลย" ไม่ใช่หมายความว่า "ถ้าไม่มีแล้วจะแข่งขันไม่ได้" ซึ่งแบบหลังแน่นอนว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภค แต่ถ้ามองในภาพรวมแล้วมันส่งผลร้ายต่อคนคิดเป็นอย่างมากละเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว

ผมว่าควรจะแยกให้ออกว่ามันเป็นเรื่องพื้นฐานตอนนี้ กับเรื่องพื้นฐาน ณ ตอนที่จดฯ

ผมมองว่าถ้าคุณมีแนวคิดที่ดี ใหม่ ยังไม่มีใครจด คุณก็ต้องมีสิทธิจดครับ ใครคิดได้ทีหลังถ้าแนวคิดคล้ายๆแต่วิธีการต่างอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ลอกมาเค้าก็จดฯเองได้อยู่แล้วหรือถ้าแนวคิดและวิธีปฏิบัติมันเหมือนกันหมดแต่คุณคิดได้ทีหลังนั่นก็ผิดที่ตัวคุณเองที่คิดช้ากว่าเค้า เพราะโดยทั่วไปถ้าแนวคิดคุณไปซ้ำกับที่มีมีคนจดฯไว้อยู่แล้วมันมีความเป็นไปได้มากกว่าที่คุณจะได้รับแรงบัลดาลใจมาจากคนที่จดฯไว้มากกว่าที่คุณคิดเองแล้วมันบังเอิญเหมือน


ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)

By: Not Available a...
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 18 September 2011 - 02:20 #334433
Not Available at this Moment's picture

คดีละเมิดสิทธิบัตรจะลดลงอย่างแน่นอน...เพราะไอ้ที่มันเคยละเมิดเมื่อก่อนนั้น ตอนนี้มันทำได้แล้ว

แล้วมันจะดีมั้ยล่ะเนี่ย -_-"


ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)

By: Meow-Meow
ContributoriPhoneWindows PhoneAndroid
on 19 September 2011 - 12:41 #334629
Meow-Meow's picture

ส่วนตัวแล้วเหนด้วยกับคุณจิวนะครับ ว่าควรแยกประเภทของสิทธิบัตรว่าให้แต่ละประเภทมีอายุการถือครองแตกต่างกันไป ยิ่งเกี่ยวกับด้าน IT นี่มีเรื่องใหม่ๆเกิดแทบจะทุกวัน เพราะฉะนั้นควรมีอายุการถือครองสั้นที่สุดแต่ต้องเปนธรรมกับผู้ที่คิดค้นมันมา

อย่างเรื่องการ Tab หน่าจอสัมผัส การทำ Pitch to Zoom นี่ เมื่อก่อนนี่ถือว่าเปนเรื่องที่ไม่ธรรมดาครับ เพราะเมื่อก่อนไม่มีการใช้งานแบบ multi-touch แบบทุกวันนี้ ส่วนมากเปนระบบ Stylus กันทั้งนั้น ในเมื่อ Apple คิดมันขึ้นมาก้อต้องให้ความเปนธรรมกับ Apple เขาครับ แต่การถือครองควรจะสั้นกว่าที่เปนอยู่ไม่งั้นเทคโนโลยี ไม่เดินหน้าครับ

แต่สงคราม Patent ที่เปนอยู่ทุกวันนี้มันไม่ได้ฟ้องกันเพราะเรื่องคิดค้นนวัตรกรรม มาชนกัน หรือลอกกัน แต่ฟ้องกันเพื่อเตะขัดขาไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้เกิดซะมากกว่าครับ


Destination host unreachable!!!