สัญญาณจากค่ายคู่แข่งเริ่มชัดเจน ทางฝั่ง Amazon ก็มีความเคลื่อนไหวด้วยเหมือนกัน
Amazon.co.uk ระบุว่ายอดขายหนังสือในอังกฤษครึ่งปีแรก จำนวนอีบุ๊กแซงหน้าจำนวนหนังสือธรรมดาไปแล้ว 14% (หนังสือ 100 เล่มต่ออีบุ๊ก 114 เล่ม) โดยนับเฉพาะหนังสือที่เสียเงินซื้อเท่านั้น ไม่นับหนังสือฟรีใน Kindle
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงวันหยุดยาว เช่น คริสต์มาส ผู้ซื้อจะมีแนวโน้มซื้อหนังสือธรรมดากันมากขึ้น ทำให้ปีนี้สัดส่วนรวมอาจจะไม่ต่างกันมาก หรือหนังสือธรรมดาอาจจะกลับมาแซงอีกครั้งในช่วงปลายปีก็เป็นไปได้ แต่แนวโน้มที่อีบุ๊กจะเข้ามาแทนที่หนังสือก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก
ที่มา - The Register
การเปิดตัว Kindle 3G รุ่นแรกๆ มีฟีเจอร์สำคัญคือบริการ 3G ผ่าน Whispernet ที่ให้บริการได้ทั่วโลก ปรากฎว่าบริการนี้เริ่มหายไปใน Kindle รุ่นใหม่ๆ และตอนนี้ Kindle รุ่นเก่าก็ได้รับผลกระทบแล้วเมื่ออเมซอนจำกัดบริการ 3G ฟรีเหลือ 50 เมกกะไบต์ต่อเดือน
ตอนนี้การจำกัดบริการ 3G ยังพบแค่บางประเทศนอกสหรัฐฯ เท่านั้น โดยเอกสารของอเมซอนระบุว่าอเมซอน "อาจจะ" จำกัดการใช้เว็บผ่าน 3G ไว้ที่ 50MB หากใช้ครบแล้วจะเข้าได้เฉพาะ Wikipedia และ Kindle Store เท่านั้น
เหตุผลที่จะซื้อ Kindle รุ่นเก่าๆ ของหลายคนลดไปแล้วหนึ่งข้อ ผมลองเล่นรุ่น Touch แล้วก็พบว่าใช้สะดวกกว่ามาก ถ้าจะซื้อตอนนี้น่าจะคุ้มกว่า
ข่าวนี้จะว่าเป็นข่าวลือก็ไม่เชิงครับ เพราะแหล่งข่าวคือ Demos Parneros ประธานของบริษัท Staple เครือร้านค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ทำให้มีน้ำหนักมากสมควร (แต่ก็ยังไม่มีคำยืนยันใดๆ จากทาง Amazon)
Demos Parneros ให้สัมภาษณ์กับ Reuters ว่า Amazon จะเปิดตัวแท็บเล็ตใหม่จำนวน 5-6 รุ่นย่อย (ต้นฉบับใช้คำว่า SKU หมายถึงหนึ่งรุ่นย่อย เช่น รุ่นเดียวกันแต่ความจุสองแบบนับเป็นสอง SKU) โดยในจำนวนนี้มีแท็บเล็ต Kindle Fire หน้าจอ 10" ที่ลือกันมาแล้วหลายรอบด้วย
ตอนนี้ยังไม่มีข่าวออกมาว่าเปิดตัวเมื่อไร แต่ Reuters ก็อ้างคำพูดของ Robert Brunner ดีไซเนอร์เจ้าของบริษัท Ammunition ที่เคยร่วมพัฒนา Kindle ตัวแรกสุดว่ามีโอกาสสูงมากที่เราจะได้เห็นสมาร์ทโฟนครับ
ถ้าพูดถึงเครื่องอ่านอีบุ๊กในยุคนี้ คงเลี่ยงการพูดถึงเครื่องอ่านตระกูล Kindle ของ Amazon ที่เป็นผู้บุกเบิกการใช้จอภาพ E Ink ในวงกว้างได้ยาก
ข่าวขำๆ ของวงการอีบุ๊กครับ เรื่องมีอยู่ว่าเจ้าของเครื่องอ่าน Nook คนหนึ่งชื่อ Philip Howard ซื้อนิยายคลาสสิคชื่อดัง War and Peace เวอร์ชันที่ขายบน Nook มาอ่าน และเขาก็พบความผิดปกติในนิยายเวอร์ชันนี้คือมีคำว่า 'Nookd' อยู่หลายครั้งซึ่งทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยนไป
เขาเลยเทียบกับนิยายฉบับกระดาษและพบว่าตรงตำแหน่งที่เป็นคำว่า 'Nookd' คือคำว่า 'kindled' (ที่แปลว่า "จุดไฟ" หรือ "เร้าอารมณ์") ต่างหาก
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานข่าววงในว่า Amazon เตรียมเปิดตัวเครื่องอ่านอีบุ๊ก Kindle และแท็บเล็ต Kindle Fire รุ่นใหม่ในเดือนกรกฎาคมนี้
สำหรับ Kindle ที่ใช้หน้าจอ E Ink จะเพิ่มไฟช่วยส่องสว่างด้านหน้า (front light) ซึ่งคู่แข่งอย่าง Barnes & Noble ชิงตัดหน้าเปิดตัว Nook Simple Touch with GlowLight ไปตั้งแต่เดือนเมษายนแล้ว
นักวิเคราะห์ประเมินว่า Kindle รุ่นมีไฟส่องไม่ได้ทำยากอะไรนัก และมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อเครื่อง โดย Amazon น่าจะคงราคาให้เท่ากับ Kindle รุ่นก่อนๆ หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
ส่วนแท็บเล็ต Kindle Fire รุ่นใหม่มีข่าวลือว่ามันจะใช้หน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 8.9" ครับ
หนังสือนิยายชุด Harry Potter เปิดขายเวอร์ชันอีบุ๊กผ่านแพลตฟอร์ม Pottermore ของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งใครที่ไหน แต่นั่นก็ทำให้แพลตฟอร์มเครื่องอ่านอีบุ๊กอย่าง Kindle หรือ Nook ไม่สามารถซื้อหนังสือเหล่านี้ได้โดยตรงไปด้วย (ต้องซื้อจาก Pottermore แล้วไปโหลดใส่กันเอง)
องค์กรไม่แสวงกำไร Worldreader ที่มีเป้าหมายให้ทุกคนในโลกสามารถเข้าถึงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้ และมีโครงการนำร่องอย่าง iREAD (ย่อมาจาก Imapact on Readind of E-Reader And Digital content) ที่ลองให้เครื่องคินเดิลให้กับนักเรียนหลายโรงเรียน จากเก้าเมืองในประเทศกานา จนถึงตอนนี้โครงการดำเนินมาครบหนึ่งปีแล้ว ทาง Worldreader จึงรายงานข้อมูลของโครงการออกมา สรุปได้ดังนี้
เด็กๆ เรียนรู้การใช้เครื่องอ่านอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีเด็กในโครงการกว่า 43% ที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์มาก่อน แต่เด็กส่วนมากสามารถเข้าถึงการเล่นเพลงในคินเดิล หรือเข้าอินเทอร์เน็ตผ่านเบราว์เซอร์ของคินเดิลได้
เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DoJ) ได้ยื่นฟ้อง Apple และสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ทั้ง 7 ราย อันได้แก่ Hachette, HarperCollins, Macmillan, Penguin, Simon & Schuster และ Georg von Holtzbrinck Publishing Group
เท่าที่อ่านในคำฟ้องมีประเด็นสำคัญๆ ที่สรุปได้มีดังนี้
หลังจากปล่อยให้แอปเปิลรุกตลาดหนังสือเรียน เปิดตัว iBooks 2 ที่เน้นสื่อการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่เต็มรูปแบบ มาวันนี้อเมซอนเริ่มไล่ตามในตลาดหนังสือเรียนบ้าง
หลังจากที่ประกาศตัวเว็บไซต์ Pottermore ว่าจะเปิดตัวในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา หลังจากเลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนในที่สุด Pottermore ก็เปิดตัวให้ใช้ซื้อหนังสือ Harry Potter ได้แล้วเมื่อวานนี้ ซึ่งมีทั้งฉบับอีบุ๊คและฉบับหนังสือเสียงวางจำหน่าย
สำหรับอีบุ๊ครองรับการใช้งานบนหลายแพลตฟอร์มเรียกว่าครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ ทั้ง Sony Reader Online, Kindle, Nook, iBook และ Google Play Book รวมถึงมีให้เลือกซื้อทั้งปกเวอร์ชั่นอังกฤษและอเมริกา โดยที่ฉบับอเมริกาจะถูกกว่าเล็กน้อย แต่ก็ตกเล่มละ 8 ถึง 11 เหรียญสหรัฐต่อเล่ม ซึ่งก็พอๆกับราคาขายปลีกฉบับปกอ่อน แต่ที่พิเศษหน่อยคือแบบยกทั้งชุดยังลดได้อีก 10 เปอร์เซนต์
iPad รุ่นใหม่ใกล้วางขายแล้ว (วันนี้วันแรก) บรรดาแอพทั้งหลายก็เตรียมอัพเดตให้รองรับขนาดหน้าจอใหม่ของ iPad กันถ้วนหน้า เริ่มต้นที่ Amazon เพิ่งปล่อยอัพเดตแอพ Kindle บน iOS รุ่นใหม่ที่รองรับ Retina Display ออกมาแล้ว
นอกจากทำให้ตัวแอพรองรับ Retina Display บน iPad ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง "cloud view" ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเห็นหนังสือที่เคยซื้อไว้ และยังไม่ได้ดาวน์โหลดมา ส่วนที่ดาวน์โหลดไว้ในเครื่องแล้วจะอยู่ในแถบ Device ที่อยู่ข้างกัน และมีการปรับอินเทอร์เฟซในหน้า library สำหรับผู้ใช้ iPhone ด้วย
ขนาดแอพเวอร์ชันล่าสุดอยู่ที่ 18.3MB ใครที่มียังรุ่นเก่าอยู่ ช่วยบอกทีว่าเพิ่มขึ้นมาเยอะรึเปล่าครับ :P
เรียกว่าความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรกกันเลยทีเดียวสำหรับอเมซอนในช่วงนี้ หลังจากส่งท้ายปลายปีไปด้วย Kindle Fire โดน Acacia Research Corporation ฟ้องละเมิดสิทธิบัตร มาต้นปีนี้บริษัท Network Presentations Solutions ซึ่งเป็นบริษัทหน้าฉากของบริษัท Acacia เจ้าเก่าก็ยื่นฟ้องอเมซอน ในข้อหาที่ว่าฟีเจอร์ Special Offers and Sponsored Screensavers ละเมิดสิทธิบัตรเลขที่ 5,748,190 ซึ่งว่าด้วยระบบบริหารจัดการสกรีนเซฟเวอร์ที่บริหารจากส่วนกลาง
หลายคงคงรอเครื่องอ่านอีบุ๊กจอสีแบบ E Ink กันมานาน เพราะที่ผ่านมานั้นจอ E Ink แบบสียังทำได้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ และหน้าจอแบบอื่นก็ให้อารมณ์การอ่านได้ไม่สบายตาเหมือนกับจอแบบ E Ink
ตอนนี้สิงห์นักอ่านอีบุ๊กอาจมีเฮ เมื่อเว็บ DigiTimes ได้รายงานข่าวว่าทางผู้ผลิตหน้าจอ E Ink ได้เตรียมการจัดส่งชิ้นส่วนของหน้าจอของเครื่องอ่านอีบุ๊กจอสีแบบสัมผัสขนาด 6 นิ้ว ให้กับทาง Amazon ในเดือนมีนาคมนี้ถึงสามล้านหน่วยเลยทีเดียว
นอกจากนี้แล้ว ยังมีข่าวอีกว่า Foxconn Electronics นั้นได้รับคำสั่งผลิต Kindle Fire ขนาดหน้าจอ 10 นิ้วจาก Amazon และจะเริ่มจัดส่งสินค้าให้ในไตรมาสสองของปีนี้อีกด้วย
Nikkei หนังสือพิมพ์ใหญ่แดนปลาดิบ รายงานว่า อเมซอนพร้อมนำเครื่อง Kindle Touch มาขายในประเทศญี่ปุ่นในเดือนเมษายนนี้ เชื่อกันว่าราคาจะต่ำกว่า 20,000 เยน (ประมาณ 7,490 บาท)
ส่วนเรื่องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทางอเมซอนจะจับมือกับ NTT DoCoMo ผู้ให้บริการมือถืออันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ให้บริการ 3G กับเครื่องอ่านอีบุ๊กตระกูล Kindle ในรุ่นที่สามารถเชื่อมต่อ 3G ได้
ที่มา: The Verge
จากที่เขียนไว้เป็นเกร็ดเรื่องสำนักพิมพ์เพนกวินบุ๊คส์ในข่าวอเมซอนเปิดศึกดึงตัวนักเขียนขายอีบุ๊คกับอเมซอนเท่านั้นไว้เมื่อสองเดือนก่อน วันนี้มีความคืบหน้าแล้วครับว่า สำนักพิมพ์ชื่อดังอย่างเพนกวินบุ๊คส์ประกาศเพิ่มข้อจำกัดการให้บริการ OverDrive ว่าตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.นี้เป็นต้นไป สำนักพิมพ์จะไม่ขายสิทธิ์หนังสือและหนังสือเสียงของสำนักเพนกวินบุ๊คส์ให้กับบริการ OverDrive เพิ่มเติม และยังเพิ่มข้อจำกัดว่าหนังสือในเครือสำนักพิมพ์เพนกวินบุ๊คส์ที่ยังให้บริการอยู่สำหรับคินเดิลจะต้องดาวน์โหลดผ่านสาย USB เท่านั้น ซึ่งนั้นหมายความว่าในที่สุดจะไม่มีหนังสือและหนังสือเสียงของเพนกวินบุ๊คส์ให้บริการผ่านบริการ OverDrive ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งใ
Amazon ปล่อยโฆษณาตัวล่าสุดของ Kindle มาล้อเลียน iPad อีกครั้ง
ในโฆษณาแสดงให้เห็นถึง Kindle รุ่นล่าสุด โดยยังคงเน้นที่จุดเด่นในการอ่านกลางแจ้งเช่นเคย พร้อมกับแท็บเล็ต Kindle Fire สำหรับใช้งานด้านบันเทิง ทิ้งท้ายด้วยประโยคที่บอกว่า "ราคารวมของ Kindle จำนวน 3 เครื่อง ก็ยังถูกกว่า iPad เครื่องเดียวซะอีก"
ที่มา The Next Web
Kindle รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวปีที่แล้ว มีข้อจำกัดตรงที่เกือบทุกตัวยังขายในสหรัฐเท่านั้น แต่ล่าสุด Amazon เปลี่ยนนโยบาย หันมาขาย Kindle Touch (เฉพาะรุ่น Wi-Fi) นอกสหรัฐแล้ว
บริษัทไอทีต่างๆ ออกมาเผยความสำเร็จของยอดขายในช่วงคริสต์มาสกันยกใหญ่ คราวนี้เป็นคิวของ Amazon เจ้าพ่อแห่งร้านค้าปลีก ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง Kindle ด้วย
Amazon ประกาศอันดับหนังสือขายดี (นับทั้งฉบับกระดาษและอีบุ๊กรวมกัน) ประจำปี 2011 แชมป์เดาไม่ยาก เป็นของ Steve Jobs โดย Walter Isaacson ตามความคาดหมาย
อันดับสองเป็นของหนังสือ Bossypants โดย Tina Fey พิธีกรรายการทีวีชื่อดัง และอันดับสามเป็นชีวประวัติเช่นกันคือ A Stolen Life โดย Jaycee Dugard
ที่น่าสนใจที่สุดคืออันดับสี่เป็นหนังสือที่ขายแบบอีบุ๊กบนแพลตฟอร์ม Kindle เท่านั้น เป็นนิยายชื่อ Mill River Recluse โดย Darcie Chan
อันดับที่เหลือดูได้จาก Amazon: The Best-Selling Books of 2011
จากข่าวลือเรื่องที่ว่าอเมซอนกำลังวางแผนซื้อตัวนักเขียนเมื่อสามเดือนก่อน มาบัดนี้ข่าวเป็นจริงแล้วครับ
อเมซอนเปิดตัวแคมเปญที่ชื่อว่า "KDP Select" โดยที่ผู้เขียนที่ร่วมโครงการนี้ต้องขายอีบุ๊คเล่มนั้นกับอเมซอนเท่านั้น สิ่งที่นักเขียนจะได้รับพิเศษนอกเหนือจากส่วนแบ่งรายได้ซึ่งสูงสุดถึง 70% (นับว่าสูงสุดในบรรดาสำนักพิมพ์ทั้งหลาย) นั้นก็คือส่วนแบ่งในเงินกองกลาง 500,000 เหรียญต่อเดือนทุกๆเดือนนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีนี้ไปถึงสิ้นปีหน้า ถ้าอีบุ๊คของนักเขียนถูกยืมมากครั้งก็จะได้ส่วนแบ่งจากเงินก้อนนี้มากขึ้นโดยตามสัดส่วนไป ส่วนสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเล่มนั้นตัวนักเขียนจะเลือกพิมพ์กับสำนักพิมพ์ไหนก็ได้
สำหรับลูกค้าอเมริกา สามารถเลือกสั่งซื้อเครื่องคินเดิลแต่ละโมเดลมีสองแบบ แบบรุ่นธรรมดาและรุ่นคินเดิลรุ่นพิเศษ (with Special Offers) ซึ่งอย่างหลังจะมีราคาถูกลงไปยี่สิบถึงยี่สิบห้าเปอร์เซนต์แล้วแต่โมเดล ซึ่งสิ่งที่จะติดมาคือมันจะมาพร้อมกับโฆษณาหรือโปรโมชันกับสินค้าที่ร่วมรายการ เช่น โอเลย์, วีซ่า, อเมริกันเอ็กเพรส ฯลฯ หรือโฆษณาแจ้งส่วนลดบริการต่างๆของอเมซอนเอง เช่น ซื้อหนังสือคินเดิลได้ในราคาเล่มละเหรียญ, ซื้อกิฟท์การ์ดในราคาลดครึ่งหนึ่ง เป็นต้น
Amazon ออกมาประกาศความสำเร็จของ Kindle ทุกรุ่นในเทศกาลจับจ่าย Black Friday ของสหรัฐ โดยยอดขายของ Kindle ทุกรุ่น (รวม Kindle Fire) ของช่วง Black Friday ในปีนี้ เยอะกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 4 เท่าตัว
Dave Limp รองประธานฝ่าย Kindle ยังระบุว่าลูกค้าจำนวนมากสั่งซื้อ Kindle มากกว่าหนึ่งเครื่อง โดยเครื่องหนึ่งให้ตัวเอง และเครื่องที่เหลือให้เป็นของขวัญแด่คนรอบข้าง ส่วนร้านขายปลีก Target ระบุว่า Kindle Fire เป็นแท็บเล็ตที่ขายดีที่สุดของร้านในช่วงนี้
Amazon เพิ่งเปิดตัว Kindle ใหม่พร้อมกันถึง 3 รุ่นในปีนี้ แถมลดราคารุ่นเก่า และเมื่อรวมกับกระแสอีบุ๊กและแท็บเล็ตที่โตอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ Kindle ขายดีตามที่เป็นข่าว
นักวิเคราะห์จาก Citigroup ประเมินข้อมูลจากบริษัทผลิตชิ้นส่วนในเอเชีย แล้วฟันธงว่า Amazon เตรียมวางขายสมาร์ทโฟนของตัวเองช่วงปลายปีหน้า 2012
Citigroup คาดว่า Foxconn (Foxconn Interantional Holdings - FIH) กำลังซุ่มพัฒนาสมาร์ทโฟนร่วมกับ Amazon อยู่ในตอนนี้ แต่การผลิตจริงอาจใช้โรงงานของ Hon Hai แทน
สเปกของฮาร์ดแวร์ที่คาดเดาคือ TI OMAP4 และหน่วยประมวลผลสัญญาณของ Qualcomm ส่วนต้นทุนของฮาร์ดแวร์จะอยู่ที่ราว 150-170 ดอลลาร์ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าระบบปฏิบัติการเป็น Android หรือไม่
ที่มา - AllThingsD