เว็บไซต์ The Verge พูดคุยกับ Yann LeCun หัวหน้าฝ่ายวิจัย AI ของ Facebook มีประสบการณ์ทำงาน AI ใน Facebook มาเป็นสิบปี ผลงานของทีมงาน LeCun มีซอฟต์แวร์แคปชั่นรูปภาพอัตโนมัติสำหรับผู้พิการทางสายตา ระบบแปลภาษาใน Facebook เป็นต้น
แม้ LeCun จะคลุกคลีและพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยความสามารถทาง AI มานาน เขาก็ยังเห็นว่า AI ยังไม่โตเต็มวัยหรือแข็งแรงพอจะจัดการทุกเรื่องได้ และที่สำคัญ LeCun ไม่อยากให้กำหนดขอบเขตใดมาชี้ว่า AI ควรจะเป็นแบบไหนหรือทำอะไรได้
ภาพจาก วิกิพีเดีย
LeCun เล่าย้อนไปยังข่าวครึกโครมที่ว่า AI ของ Facebook กำลังสร้างภาษาของตัวเองจนนักวิจัยต้องลุกมาปิดการทำงานของแชตบ็อต สื่อก็นำไปตีความใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง
ตอนแรกทีมของ LeCun แค่รับรู้ข่าวด้วยอารมณ์ขัน แต่ระยะหลังเริ่มไม่ใช่แล้ว พวกเขาติดต่อนักข่าวเพื่อจะแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ ซึ่งความจริงคือ เป็นรายงานวิจัยการสร้างแชตบอตสำหรับการเจรจาและนักวิจัยไม่ได้ปิดการทำงานเพราะกลัวแต่อย่างใด เหตุการณ์นี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าคนทั่วไปยังเข้าใจ AI ไม่มากพอ
สิ่งที่ LeCun พยายามจะสื่อออกไปคือความสามารถของ AI ทุกวันนี้ยังจำกัดเฉพาะเรื่องมากๆ มันถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติภารกิจใดภารกิจหนึึ่งโดยเฉพาะ เช่น ขับรถแทนคน, เล่นโกะ, ตีความรูปภาพ
บางคนอาจมีความคิดว่า AlphaGo เล่นโกะชนะแชมป์โลกจะสามารถแก้ปัญหาซับซ้อนอื่นๆได้ ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะ AlphaGo ถูกฝึกเพื่อเล่นโกะเท่านั้น AlphaGo และเวอร์ชั่นใหม่คือ AlphaGo Zero ใช้วิธีการเรียนรู้แบบ reinforcement learning ซอฟต์แวร์จะได้รับคำแนะนำการเล่นเกมน้อยมาก ปล่อยให้เล่นเกมเองและพลาดเองไปเรื่อยๆ AlphaGo Zero เล่นเกมนับล้านๆ เกมในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ความสามารถดังกล่าวไม่ส่งผลต่อโลกจริง เพราะมันยังทำได้แค่เล่นเกมเท่านั้น
LeCun ระบุเพิ่มเติมว่ายังอีกไกลกว่าจะถึงยุคที่ AI สามารถเรียนรู้พื้นฐานชีวิตคน รวมถึงเรียนรู้สิ่งที่คนและสัตว์ทำได้
และถ้า AI ยังทำอะไรได้น้อยกว่าสิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าทำได้ คำถามคือ Facebook คาดหวังอะไรจาก AI ในตอนนี้ LeCun ระบุว่า สิ่งที่ AI ณ ตอนนี้จะทำประโยชน์แก่ผู้บริโภคได้แน่ๆ คือ ผู้ช่วยเสมือน หรือ virtual assistant ทุกวันนี้มันสามารถตอบคำถามพื้นฐานได้ เป้าหมายต่อไปของเราคือมันจะตอบสนองลูกค้าได้มากขึ้น เช่นอ่านเนื้อหาขนาดยาว และตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นๆ ได้ ก้าวต่อไปคือ ความสามารถในการตัดสินใจเบื้องต้นหรือ common sense
ที่มา - The Verge
Comments
หนึึ่ง => หนึ่ง
วับซ้อนอื่นๆได้ => ซับซ้อนอื่นๆ ได้
แค่นี้ก็น่ากลัวแล้วครับ เจาะเฉพาะเรื่อง แต่ละเรื่องแย่งงานคนเป็นล้านได้
รถไร้คนขับ ทำ Taxi ตกงานระนาว
อนาคตต้องมาถึง ต้องปรับตัว
อย่างน้อยก็หวังว่า AI จะไม่คำนวณสภาพการจราจรกับเวลาที่ต้องส่งรถเวลามีผู้โดยสารโบกนะครับ.
ทำไมใช้ AI ขับแล้วต้องส่งรถครับก็วิ่ง 24ชม ไปเลย ยิ่งถ้าเป็นรถไฟฟ้าตอนไม่ทำงานก็ใช้พลังงานน้อยมาก จะมีก็วิ่งกลับอู่ไปเติมไฟ
ลองเปลี่ยนทัศนคติที่ว่า "AI แย่งงานคน" เป็น "ทำงานหาเงินให้คน" น่าจะดีกว่านะครับ มนุษย์อยู่สบายๆไป ไม่ต้องทำงาน ปล่อยให้หุ่นยนต์ทำไป
ในอนาคตผมว่าเป็นแบบนั้นแน่ครับ แต่มันต้องเปลื่ยนระบบสังคมต่างๆหมดเลยไม่งั้นถ้าใช้ระบบแบบตอนนี้ก็จะมีแต่ บ.ใหญ่ๆที่ทำได้ คนทั่วไปตกงานไม่มีเงิน
คนที่ปรับตัวได้คือคนที่อยู่รอดครับ จริงๆ มันเป็นแบบนี้ตลอดเวลามีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา ลองคิดดูถึงสมัยก่อนที่ทำงานด้วยมือ ยังไม่ค่อยมีเครื่องจักร หรือสมัย computer แพร่หลายสิครับ ตอนนั้น com หรือเครื่องจักรก็มาแทนงานเดิมๆ ที่ต้องใช้คนมากมาย สุดท้ายคนก็ยังมีงานทำ แต่ต้องปรับไปตามสภาพแวดล้อมใหม่ ยังไงคนก็มีงานครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ถ้าเคยดูหนังก็จะพบว่าความอยากรู้อยากเห็นความลุ่มหลงในงานตัวเองของนักวิทยาศาสตร์ Geek แบบนี้แหละที่มักจะเป็นจุดหักเหสำคัญของเรื่องที่ทำให้ทุกอย่างเข้าสู่หายนะ >_<