หลาย ๆ คนน่าจะรู้จัก Sony ในฐานะบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าในหมวดภาพและเสียง แต่นอกจากการทำฮาร์ดแวร์ Sony ยังมีซอฟต์แวร์สำหรับงานภาพและเสียง เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลผลเสียงตระกูล Sony Oxford ที่ได้จากการพอร์ตโค้ดของ digital console รุ่น OXF-R3 และซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอและเสียงอย่าง Vegas, Sound Forge และ Acid ที่ซื้อจาก Sonic Foundry ในช่วงปี 2003
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา Sony Creative Software บริษัทลูกที่รับผิดชอบในการพัฒนาและจำหน่ายซอฟต์แวร์ที่ซื้อจาก Sonic Foundry ขายซอฟต์แวร์ในกลุ่มตัดต่อวิดีโอและเสียงทั้งหมดให้กับบริษัท Magix ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ผลิตสื่อจากเยอรมนี ที่มีซอฟต์แวร์ที่ขึ้นชื่ออย่าง Samplitude และ Sequoia
Magix ประกาศว่าจะสนับสนุนลูกค้าซอฟต์แวร์ของ Sony ต่อไป และเตรียมออกซอฟต์แวร์ Vegas Pro และ Movie Studio เวอร์ชั่นใหม่ในเร็ว ๆ นี้
ส่วนซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอตระกูล Catalyst ทาง Sony Creative Software จะยังเป็นผู้จัดจำหน่ายต่อไป แต่จะโอนเรื่องการพัฒนาและการสนับสนุนให้ทาง Magix รับผิดชอบแทน
เรียกได้ว่า Sony ถอดใจจากธุรกิจนี้โดยสมบูรณ์แล้ว หลังจาก Sony Oxford แยกตัวจาก Sony เป็นบริษัทอิสระในปี 2007 ตามด้วยการขายซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอและเสียงในครั้งนี้ครับ
ที่มา - Engadget, RedShark News, Magix
Comments
น้อยใจเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์คือเจอบ่อยมากถึงมากที่สุด Vegas Pro ทั้งที่ใน Steam ขายตัวธรรมดาแบบถูกมากไม่กี่ร้อย
ขอลิ้งค์หน่อยครับ หาเจอแต่ตัว vegas pro edit ราคา 6500
ใช่เหรอครับ ขนาดmovie studioที่ถูกกว่ามากยังขายเป็ยพัน
ตามรูปเลยครับ ผมซื้อแต่คืนไปเพราะงานผมใช้ Photoshop ตัดต่อก็เพียงพอแล้ว
ตัวนี้มันฟังก์ชั่นน้อยมั้งครับ เพื่อนผมต้องใช้งานด่วน ปกติใช้แต่แคร็ก โดนผมไฮป์ให้ใช้ของแท้มันกดโดยไม่ได้ดูฟังก์ชั่นเลย
ปรากฎว่าใช้งานไม่ได้ฟังก์ชั่นน้อยเกินไปมาขอให้ผมหาแคร็กตัวเต็มให้อีก
ฟังก์ชันมันน้อยจริงครับ แต่ถ้าตัดวิดีโอขึ้น Youtube บ้าน ๆ มันก็ใช้ได้นะ (ผมใช้อยู่เหมือนกัน แต่ได้มาฟรีเพราะซื้อแลปท็อป Vaio)
อีกประเด็นนึงคือแข่งขันในตลาด pro user ไม่ได้เเล้วครับ ระดับ production โดน fcpx, avid, pr กินเรียบ
โปรแกรมมันใช้ยากขนาด 555 (คือนึกถึง Logic Pro สมัยก่อนเลยล่ะครับ)
SoundForce > Sound Forge
รักนะคะคนดีของฉัน
อยากรู้ขึ้นมาเลยว่า Sony Pictures ใช้โปรแกรมอะไรตัดต่อหนัง
Vegas ผมชอบนะ แต่อย่างว่า จะไปทางโปรก็ไปไม่สุด จะไปทาง consumer ก็ดูเหมือนจะใช้ยากเกิน