ระหว่างการสัมภาษณ์โดยนิตยสาร Time เรื่องโครงการ Internet.org เมื่อไม่นานมานี้ Mark Zuckerberg นายใหญ่แห่ง Facebook ได้กล่าวถึง Apple ว่าเป็นบริษัทที่ตั้งราคาสินค้าสูงกว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้า
ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ก็คงเป็นเพราะว่า Zuckerberg ไม่พอใจกับความเห็นของ Tim Cook ซีอีโอแห่ง Apple ที่เคยกล่าวพาดพิงบริการฟรีบนอินเทอร์เน็ต โดยเมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์ภาพหลุดเหล่าดาราจาก iCloud ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยในบริการของ Apple จนทำให้ซีอีโออย่าง Cook ต้องออกมาชี้แจงตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยเน้นย้ำว่า Apple เคารพสิทธิ์ส่วนตัวของผู้ใช้และจะไม่เก็บข้อมูลเอาไปหาประโยชน์ต่อ ซึ่งครั้งนั้น Cook ได้กล่าวโน้มน้าวผู้คนให้ตระหนักให้ดีในการตัดสินใจใช้บริการออนไลน์ว่า
เมื่อบริการออนไลน์นั้นมันฟรี, คุณไม่ใช่ลูกค้าของพวกเขาหรอก คุณกลายเป็นสินค้าของเขาต่างหาก
Zuckerberg รู้สึกว่าคำพูดดังกล่าวไม่ได้หมายถึง Google เพียงอย่างเดียว แต่ยังพาดพิงมาถึง Facebook อันเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ฟรีด้วยเช่นกัน เขาคิดว่าแบบจำลองธุรกิจของการสร้างรายได้จากโฆษณานั้นต่างไปจากการทำเงินของหลายบริษัทด้วยวิธีขายสินค้าหรือบริการโดยตรง
หนึ่งในความหวั่นใจของผมคือมีผู้คนมากมายเริ่มที่จะเอาแนวทางการทำธุรกิจโดยหารายได้จากโฆษณา ไปเปรียบเทียบกับบางบริษัทที่อาจมีแนวทางการทำธุรกิจไม่สอดคล้องเหมาะสมกับลูกค้าเสียเลย
Zuckerberg ได้เอ่ยถึง Apple โดยตรงด้วย โดยกล่าวในเชิงว่า Apple มองตลาดและลูกค้าว่าต่ำกว่าระดับของบริษัทตัวเอง โดยดูได้จากวิธีการตั้งราคาสินค้าของ Apple ที่สูงเกินควร
นี่นะ, คุณคิดว่าแค่เพราะคุณจ่ายเงินให้ Apple แล้วคุณจะกลายเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกับบริษัทนี้เหรอ? ถ้าหากว่าคุณคือเป้าหมายแนวทางการทำธุรกิจของพวกเขาจริง, พวกเขาจะทำสินค้าออกมาถูกกว่านี้เยอะ!
ทิ้งท้ายด้วยอีกหนึ่งวาทกรรมของ Zuckerberg ที่พยายามสื่อถึงเจตนารมณ์ของโครงการ Internet.org ว่า
ภารกิจของเราคือการเชื่อมต่อทุกคนบนโลกเข้าไว้ด้วยกัน คุณทำมันไม่ได้หรอกหากมัวคิดแต่เรื่องจะเก็บเงินค่าบริการจากผู้คน
Comments
เหมือนกันเลยครับ การออกแบบเครื่อง ผมชอบ SONY ที่สุด ส่วน OS อยากได้ของ Apple เมื่อก่อนเคยคิดอยากให้ VAIO ใช้ OS X เลย ความฝันสูงสุด ฮ่าๆๆ
คำพูดโดนเอาไปสิบแต้มเลยคุณมาร์ค อิอิ สินค้าแพงเกินความจำเป็นจริงๆ
จริงๆ มันคนละ Business Model เอามาเปรียบเทียบกันไ่ม่ได้หรอก แต่ละฝ่ายจึงมีมุมมองอยู่คนละฟากมันก็เท่านั้น
คนที่อยู่ฝั่งผลิตสินค้า มันมีต้นทุนสารพัด ความเสี่ยงทุกรูปแบบตลอด Supply Chain ตั้งแต่คนผลิดวัตถุดิบ คุณภาพ ยันของค้างสต็อก
คนที่อยู่ฝั่ง Platform (ที่ไม่เคยผลิตสินค้าเอง) ไม่เคยสัมผัสรับรู้อีกฝั่ง จึงมองแตกต่างไป
ตัดคำว่าดีกว่า เก่งกว่า นั่นกว่า นี่กว่า ก่อนนะ
เรื่องการซื้อ iphone นี่นะนานแล้วญาติผมก็ซื้อ แต่ถามว่าใช้ทำอะไร ก็โทรเข้าออกปกติ เข้าเน็ตปกติ ไลน์ปกติ คำถามคือ 3000-4000ทำพวกนี้ได้มั้ย ซึ่งผม"เชื่อว่า" 60-80%คนที่ซื้อ iphone ใช้แค่นั้น แล้วซื้อเพื่อ....
ผมว่า "คล้ายๆ" ซื้อสร้อยทองใว้ห้อยพระนั้นละ ความมีฐานะ มีความหรูหรา
ซึ่งส่วนตัวผมว่า เสื้อArrowไม่เหมาะกับบางงาน เสื้อแขนยาวธรรมดาก็เหมาะกับหลายๆงาน แต่การตลาด กระแสสังคม ใหลแรงจนคนลืมไปว่า "ซื้อโทรศัพท์เพื่อ"
ปล.ผมพูดถึง 60-80%เป็นหลัก
เผลอแปปเดียว comment เยอะมาก ผมนี่ตาลายเลย
การตั้งราคา iPhone สูง เป็นการซื้อใจผู้บริโภคด้วยกิเลส
ความอยากให้ของที่ตัวเองซื้อมีมูลค่าสูงนานๆ ราคาไม่ตก
ไม่ต้องเปลี่ยนรุ่นบ่อย มันเป็นสำนึกพื้นฐานของมนุษย์เลย
(แน่นอนว่า iPhone ทำได้ดีมากในช่วงแรก)
แต่ผูบริโภคก็โดน Apple บังคับทิศทางการใช้เทคโนโลยี
และไม่ทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างบริษัท ถึง iPhone จะทำออกมาดีในตอนแรกๆ แต่ช่วงหลังๆไม่ได้ดีเลิศเหนือกว่าคู่แข่งแบบขาดลอย
Apple ไม่ต้องสนใจบริษัทอื่นๆ แค่คอยฟังเสียงบ่นลูกค้าพอว่าอยากได้อะไร ค่อยทำเพิ่มให้ (จอใหญ่) สังเกตได้จากคนที่ซื้อก็มักจะไม่บ่นอะไร พอใจทุกอย่างที่ iPhone มี และคนเหล่านี้ก็มีทั่วๆไป
คนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ท มานั่งเทียบสเปค อ่านรีวิว แล้วค่อยตัดสินใจ
มีแค่หยิบมือเมื่อเทียบกับคนทั้งโลก
"คนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ท มานั่งเทียบสเปค อ่านรีวิว แล้วค่อยตัดสินใจ
มีแค่หยิบมือเมื่อเทียบกับคนทั้งโลก" <<- น่าสนใจ น่าคิด ยังไม่สรุปครับ
ขึ้นอยู่กับคุณค่าในแต่ละส่วนที่แต่ละคนจะให้น้ำหนักมากน้อยต่างกันครับ ส่วนหนึ่งที่คนยังใช้ไอโฟนเพราะมันมีตัวเลือกเดียวครับถึงแม้บางคนจะเคยอึดอัดกับขนาดของมันอยู่บ้าง แต่ยังไงที่เลือกก็มั่นใจแน่ๆ ว่าแอพอะไรที่ออกมามันจะสามารถใช้ได้บนไอโฟนได้ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะลงอันนั้นอันนี้ได้มั้ยในระยะเวลา 2-3 ปี ถึงแม้จะดูเป็นสภาพบังคับ แต่ผมก็คิดว่าแอปเปิลก็วางกลยุทธ์นี้มาตั้งแต่ต้น ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คนยังรับได้ และยังทำให้สามารถขายมาได้จนถึงทุกวันนี้
ส่วนคนที่สนใจแต่เทียบเสป็คเทียบรีวิวผมมองว่าไปสนใจตัวเลขเกินไปเป็นกลุ่มเฉพาะก็ถูกแล้วที่จะเป็นกลุ่มคนแค่กลุ่มเล็กๆ เมื่อเทียบกับตลาดทั้งหมด การจะเลือกมือถือคนทั่วไปที่ไม่ใช่ไอโฟน ก็จะดูแค่ว่าจอกี่นิ้ว มีปากกามั้ย เครื่องลื่นดีมั้ย แบตเป็นยังไง ลงแอพที่อยากลงได้หรือเปล่า ราคาตรงกับงบที่ตั้งไว้มั้ย ฯลฯ
แค่ที่ยกมาคร่าวๆ แบบเบสิคก็ยังถือว่าดูแล้วน่าปวดหัวกับการจะเลือกมือถือสักเครื่อง คนที่อยากได้เครื่องมาใช้งานจริงๆ บางคนเค้าก็ไม่ได้มีเวลามาศึกษาอะไรพวกนี้ การเลือกมือถือที่คิดว่าน่าจะมีปัญหาจุกจิกกวนใจน้อยสุดโดยไม่ต้องมาหาข้อมูลขนาดนี้แล้วเลือกไอโฟนหรือเรือธงค่ายต่างๆ โดยไม่เกี่ยงราคา ตรงนี้ก็มีเหมือนกัน
ถ้าคนที่นั่งเทียบสเป็ก อ่านรีวิวทางเน็ตมีน้อย แบรนด์ที่มีขายเฉพาะทางเน็ต 99% อย่าง Xiaomi คงไม่แซง Sony, LG, Nokia, Motorola, Lenovo, Oppo, HTC ขึ้นมาเป็นอันดับ 3ของโลกได้หรอกครับ
ต้องอย่าลืมว่า Xiaomi เกิดในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่นะครับ
และอันดับ 3 ของโลก ล่าสุดเป็นของ Lenovo ครับ เนื่องด้วยควบ Motorola ไปแล้ว
มองด้วยตัวเลขอย่างเดียว ระวังพลาดนะครับ
มองบริบทโดยรวมด้วย! ตลาดของ Xiaomi คือที่ไหน จำหน่ายอย่างไร เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มไหน อย่างไรด้วย
+1 ครับ
ชีวิตสัมผัสคนที่ไม่รู้อะไรเท่าไหร่มามาก
คนกลุ่มนี้หลายคนที่ผมรู้จัก มีรายได้สูงครับ ซื้อของที่พอใจ จบ ไม่ถามให้มากความ
พอมีปัญหา รู้ว่าจะเอา iPhone ไปซ่อมที่ไหน
ผมเองใช้มือถือหลายตัวที่ไม่ใช่ iPhone พอเสียนี่ กว่าจะหาศูนย์ซ่อมได้ หงุดหงิดเลย!
นี่เลยครับประเด็นเลย!
ผมเข้าใจว่า Sony ก็ใช้แนวทางนี้ สมัยที่ยังทำ VAIO นะครับ ดังนั้นผมคิดว่ามันก็แล้วแต่ว่าตัวเจ้าของผลิตภัณฑ์จะคิดวางสินค้าแบบไหนมากกว่า
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
โลกเราคงสงบดีตอนที่ apple กับ blackberry ยังเป็นแค่ผลไม้
ฮา... เล่นด้วยครับ
โลกเราไม่สนุกขนาดนี้ ตอนที่ apple กับ blackberry ยังเป็นแค่ผลไม้
บันเทิงเลยล่ะครับตอนนี้ Jelly Bean, Kitkat, Lollipop ก็ transform กันแล้ว
กลยุทธ์ของแต่ละบริษัทก็ไม่เหมือนกันอ่ะนะ ส่วนตัวเลือกความชอบส่วนตัวเป็นหลักเหมือนกัน (ชอบ Google) แต่เรื่องราคาก็จะไม่ซื้ออะไรที่มันแพงเกินรายได้
..: เรื่อยไป
FB ad + Google admob ใช้ฟรี แลกกับเป็นสินค้า
แล้ว iAd ล่ะ
เขาน่าจะหมายถึงข้อมูลลูกค้าคือสินค้ามากกว่าครับ
-Tim
เรื่องความเป็นส่วนตัวก็แล้วแต่คนนะ ผมเองไม่ซีเรียสเพราะไม่ใช่คนดังหรือร่ำรวย บางคนอาจจะซีเรียส
ซึ่งนโยบายเอาใจคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว คนที่ไม่ซีเรียสก็พลอยได้รับความเป็นส่วนตัวด้วย แม้ว่าจะรู้สึกเฉยๆ
มันมีหนังที่ล้อเลียนเรื่องนี้อยู่ ประมาณตัวเอกคุยๆโทรศัพท์อยู่ ป้ายโฆษณาข้างทางก็เปลี่ยนเนื้อหาไปตามคำพูดที่กำลังคุยกันเป๊ะๆ
ปัจจุบันนี้คงยังไม่ถึงขั้นนั้น
" เมื่อบริการออนไลน์นั้นมันฟรี, คุณไม่ใช่ลูกค้าของพวกเขาหรอก คุณกลายเป็นสินค้าของเขาต่างหาก " เผลอพูดออกมาแน่ๆ เลย ทำให้คนทำบริการออนไลน์ฟรี เคืองใจได้ ผมว่า มันคือการแลกเปลี่ยนกัน คนใช้ๆฟรี บริษัทหารายได้จากโฆษณา สมเหตุสมผลดี ธุรกิจต้องลงทุนต้องใช้เงิน ใครคิดว่าไม่เป็นส่วนตัวถูกเอาเปรียบก็เลิกใช้ ถ้าคนส่วนใหญ่คิดแบบ ทิม เฟซบุ้คคงคนเล่นไม่เยอะเหมือนทุกวันนี้
ถ้าว่ากันตรงๆ ผมว่าผู้ใช้เป็นพ่อค้าครับ ขายสินค้าเป็นข้อมูลของตัวพ่อค้าเอง เพียงแต่คนจำนวนมากยอมให้ Facebook ซื้อสินค้าแลกกับบริการและคิดว่าเหมาะสมกันดีแล้ว
ว่ากันจริงๆ ผมว่าผู้ใช้เป็นคนจ่ายค่าบริการ แต่จ่ายผ่านทางค่าโฆษณา
เพราะค่าโฆษณาจะถูกบวกไปกับราคาสินค้าที่ผู้ใช้ซื้ออีกที เป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่เฉลี่ยกันไป
ซึ่งจริงๆก็เป็นกลไกทางการค้าที่ได้ผลของระบบทุนนิยม เพราะยังไงๆสินค้าจะเป็นที่รู้จักของผู้ใช้ก็ต้องมีการโฆษณาอยู่ดี
อยู่ที่ว่าค่าโฆษณานี้จะเทไปที่จุดไหนจึงจะได้ผล เช่น เอาไปสนับสนุนหนังสือพิมพ์ เอาสนับสนุนกีฬา หรือเอาไปสนับสนุบแอพฟรีต่างๆ
แต่ระบบโฆษณาออนไลน์มีเรื่องความเป็นส่วนตัวมาเกี่ยวด้วย เพราะเป็นระบบที่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ด้วย
อาจทำให้ผู้ใช้บางคนกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
คนละ business model คนละ positioning เลย
If You're Not Paying For It, You Become The Product
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมมองว่าพูดถูกทั้งคู่นะ แต่ในคำพูดของมาร์คดูจะมีวิสัยทัศน์ในฐานะนักเทคโนโลยีมากกว่า คือสุดท้ายแล้วยังไงตัว Device มันก็จะไม่ใช่อะไรที่สำคัญว่าจะต้องแรง ต้องแพงอีกต่อไป หันไปเน้นกันทางบริการแทน ขอแค่เชื่อมต่อเข้าไปได้ก็พอแล้ว เพราะงั้นมันควรจะถูก ไม่ใช่ตั้งราคาแพงเวอร์ แต่สุดท้ายก็ใช้แค่เข้าไปเชื่อมต่อบริการเฉยๆอยู่ดี แล้วอีกอย่างที่หลายๆคนมักจะพูดเรื่องสิทธิ์ เรื่องความเป็นส่วนตัว เรื่องข้อมูลที่จะถูกเอาไปขาย คือมันเป็นทุกบริษัทแหละครับ นับตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณกด "I Agree the term of service" คุณก็เสียอะไรบางอย่างไปให้กับทางบริษัทที่คุณยอมรับเงื่อนไขนั้นแหละ และผมมองว่ามันมีสองด้าน คือด้านหนึ่งยังไงคุณต้องเสียตรงนี้ เพื่อให้ทางบริษัทนั้นๆเอาไปพัฒนาการบริการให้ดีขึ้น (และเม็ดเงิน) แลกกับความสะดวกสบายที่เราจะได้รับ ซึ่งนัยหนึ่งมันก็ถือว่า Win-Win นะ ไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ใช่ว่าเสียไปแล้วทางนั้นมันจะไม่ได้ให้อะไรเรากลับมาเลย คือถ้าห่วงเรื่องตรงนี้จริงๆคงต้องเลิกใช้บริการทุกอย่างที่ทำให้เราสะดวกสบายแล้วล่ะครับ จะ Social , E-Mail อะไรเลิกใช้ให้หมด หันไปใช้โทรศัพท์ , โทรเลข , จดหมายกันแทน เพราะเทคโนโลยีกับเรื่องตรงนี้ ดูแล้วยังไงก็ขาดกันไม่ได้ แต่จะใช้มากใช้น้อย ใช้สมเหตุสมผลหรือไม่อันนี้คงต้องแล้วแต่
อยากเห็นมือถือยี่ห้อ Facebook จัง
เอา HTC First มั้ยครับน่าจะใกล้เคียงที่สุดแล้ว
ข้อมูลส่วนตัว ผมว่ามันเป็น hidden costs ที่ประเมิณราคายาก
จริงๆสิ่งที่เราๆจ่ายกันไปเพื่อที่จะได้ใช้บริการอย่าง fb อาจจะมากกว่าที่เราได้กลับมาจาก fb แล้วมันก็จะไปเข้าอีหรอบเดียวกับ Apple ทันที ปัญหาคือเราประเมิณค่าข้อมูลส่วนตัวกันลำบาก แต่ถ้าดูจากผลประกอบการเราๆก็จ่ายกันไปover price อยู่นะ
เห็นด้วยกะนาย mark
if you're pay too much for it then become the product and have been hacked.
แอปเปิ้ลก้อแอบเก็บข้อมูลผู้ใช้ไปใช้งานต่อเหมือนกันนั่นแหละ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องนะ อิอิ
iPhone แพง คิดว่า
- เพราะ Contents ใน iTunes
- เพราะบริการหลังการขายที่ดีกว่าเจ้าอื่น
- อย่าลืมค่า R&D นะ
ส่วนตัวไม่ใช้ iPhone เพราะ
- แพงเกินฐานะ
- เมื่อก่อนจอเล็กกว่าด๋อย เดี๋ยวนี้ใหญ่แล้วแต่ดั๊นนน เหมือน Note2 ยังกะแกะ (ถือโน๊ต 2 ในมือ ไปเล่นที่ช็อปมองแว็บแรกยังงงเลยทำไมโน๊ต 2 บางจัง)
- รู้สึกว่าด๋อยทำอะไรได้เยอะแยะมากมายกว่า และรอมโมของด๋อยทั้งเวอร์ชั่นเดิม ๆ และเวอร์ชั่นใหม่ ๆ ไม่ทำให้เครื่องช้าลงเหมือน iDevices ที่อัพข้ามเวอร์ชั่นไปเรื่อย ๆ (ข้อนี้ Ended Users ไม่ต้องสนใจนะครับ ข้ามไป)
ผิดครับ iPhone แพง เพราะ Business Model ของ Apple เอง ที่เน้นการขาย Hardware กินกำไรส่วนต่าง ไม่เหมือนกับค่ายหุ่นเขียว ที่เน้นการได้เงินจากการดึงคนเข้าบริการตัวเองแล้วหาเงินจากตรงนั้นเอา
อ่านทุกคอมเมนต์ละ มันส์ชริงๆ
ส่วนตัวตอนนี้อยากให้แบต iPhone เยอะกว่านี้ครับ
ส่วนเรื่องหาประโยชน์จากผู้ใช้ผมว่าทั้ง FB ทั้ง Apple ก็เหมือนกันหน่ะแหละ
ธุรกิจ คือ ธุรกิจ
นั่นสิครับ ผมใช้ iPhone iPad MacBook เปิด Google เช็ค Facebook ดู Youtube อยู่ทุกวัน ทั้งโง่ที่เสียเงินให้ Apple ทั้งขาย privacy ให้ Facebook กับ Google แต่ชีวิตผมก็ยังมีความสุขดี กินอิ่ม นอนหลับ ถ่ายสะดวกดีครับ
Apple คงไม่มีเจตนาจะเปิดศึกกับ Facebook หรอก เขาก็พูดไปตามวิสัย แต่มันดันพาดพิงถึง Facebook
Mark เลยต้องตอบกลับ เป็นสิ่งจำเป็นควรทำเมื่อถูกพาดพิง(ในทางไม่ดี) เพื่อเรียกร้องสิทธิ์และความเป็นธรรมและแสดงจุดยืนของบริษัท
แต่ดันใส่ bias ไปหน่อยเลยโดนล่อเป้าซะเลย
ถ้าเป็นธุรกิจที่เก็บข้อมูลของบุคคล ไม่ว่าจะเก็บเงินหรือฟรีมันก็น่าเป็นกังวลได้เหมือนกันรึเปล่า? ส่วนที่ Mark ออกมาตอบโต้เนี่ย ทำไมอ่านละผมรู้สึกว่าเค้าเหน็บแนมและโจมตีผู้บริโภคมากกว่าตัวApple Pricingมันเป็นtacticนึงในการ position brand
ผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าแพงหรือไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นๆในตลาด การที่ผู้บริโภคเลือกซื้อแปลว่าเค้าเห็นvalue ในตัวสินค้า ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกดีที่มีของชิ้นนั้นๆอยู่ รู้สึกว่าตัวเองดูดีเมื่อเวลาคนอื่นมอง รู้สึกว่าสินค้านั้นๆให้ประโยชน์ในแง่การใช้งาน
ผมคิดว่าMarkพูดแบบนี้เป็นการดูถูกผู้บริโภคนะ
Mark ก็พูดเพื่อประโยชน์ของเขาด้วย ถ้าแอปเปิลทำราคาถูกคนก็เข้า fb ได้เยอะขึ้น ง่ายขึ้น ส่วนตัวคิดว่าคนทั่วไปตีราคาข้อมูลส่วนตัวกันไม่ถูกแต่ต้องการใช้เลยยอมรับกันไป ถ้ามีการตั้งราคาแล้วได้เงินกลับมาหลายคนอาจจะเข้าใจมากขึ้น
ถ้า จ๊อบส์ยังอยู่ ผมว่าเค้าคงพูดคำเดียวกับที่ นายเฟอร์รารี่ ตอกกลับนายลัมโบกีนี้ ว่า
"มาร์คก็แค่เป็นผู้ให้กำเนิดโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คยอดนิยม เรื่องทำฮาร์ดแวร์ระดับพรีเมี่ยมจะไปรู้อะไรมากกว่าผม"
เม้นท์ไหลไวมาก ยังกะน้ำท่วม
ก็ apple เป็นบริษัทที่เน้นผลกำไรสูงสุดนี่ครับ ขายของราคาต้องสูง ต้นทุนต้องต่ำ เป็นเรื่องปกติสำหรับวิสัยทัศน์แบบนี้อยู่แล้ว การจะไปเปลี่ยนนโยบายใหม่ ทำให้กำไรลดลง แน่นอนว่าผู้ถือหุ้นย่อมไม่พอใจ
อ่านคอมเม้นท์ไปเรื่อยๆ จนงงต้องกลับไปดูหัวข้อข่าวอีกรอบว่ามันข่าวอะไรแน่
ส่วนผมก็ยังใช้ iphone เล่น facebook นั่นแหละ
คุณ MK คงเหนื่อยหน่อยนะครับต้องมา ไล่ Ban กับไล่อ่าน Commentนิ แต่ละอันแรงๆๆทั้งนั้น 5555555
ข่าวนี้เป็นข่าวที่มีการ Comment มากที่สุดประจำปี 2014 รึเปล่าครับเนี่ย. ยาวมาก มันส์มาก
ไม่ได้เห็น comments เด้งมาหน้า 2 นานมากเลยครับ
ประเด็น samsung กับ apple ยังไม่เยอะเท่านี้เลยมั้ง =w="
Tim Cook ไม่ได้พูดอะไรผิดเลย โลกนี้มันไม่มีอะไรที่ฟรีจริงๆ หรอก ส่วน Mark ก็แค่เหวี่ยงเท่านั้นแหละ
ที่ไม่ชอบเลยคือ comment ที่พยายามยัดเยียดคนอื่นด้วยบรรทัดฐานของตัวเอง แล้วพูดจาด้วยถ้อยคำดูถูกประหนึ่งว่าข้านี่แหละแน่ที่สุดแล้วในโลกา ผมต่อต้านเรื่องนี้มาตลอดจนเอือมแบบไม่รู้จะเอือมยังไงแล้วกับคนประเภทนี้ คิดแทนคนอื่น อ่านใจได้ ตลกแท้
ที่แย่กว่านั้นคือพอเถียงด้วยข้อมูลความจริงตามหลักการวิทยาศาสตร์ พอดูถูกเขาแล้วเจอเขายันกลับมาก็หนีหาย ทำเนียน แล้วก็ไปป่วนข่าวใหม่ด้วยพฤติกรรมเดิมๆ
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่มีคนประมูลทะเบียนรถยนต์เลขสวยไปประมาณ 20 ล้าน (จำไม่ได้เป๊ะๆ) แล้วเอาไปติดกับรถ Nissan รุ่นไม่แพง ก็มีคนไปดูถูกเขามากมาย หาว่าเขารวยแต่โง่บ้างอะไรบ้าง สุดท้ายเขาสามารถขายต่อป้ายทะเบียนอันนั้นไปได้กำไรมากกว่าเดิมประมาณ 10 ล้านภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน ในขณะพวกที่ด่าๆ กันตาม internet ยังรอรับเงินเดือนตอนสิ้นเดือนหลักหมื่นหลักแสนอยู่เลย
เอาเถอะ
That is the way things are.
comment ยาวจนขึ้น Hall of Fame แล้วครับ
ของฟรีไม่มีในโลกจริงๆ
และไม่มีของชิ้นไหนที่ทำออกมาตามราคาและมันคุ้มที่จะซื้อจริงๆ ถ้าไม่ได้เก่าสุดๆ
เห้อ............
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
Pages