Twitter ยังเดินหน้าปลดพนักงานสายวิศวกรรมอีกราว 50 คน โดยพนักงานบางคนได้รับแจ้งสาเหตุว่าเป็นเพราะ "คุณภาพของโค้ดไม่ดีพอ" (code is not satisfactory) และพนักงานอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่โดนปลด ก็ได้รับคำเตือนเรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน (performance warning)
ตามข่าวบอกว่า Twitter กำหนดให้พนักงานสายวิศวกรรมต้องส่งตัวอย่างโค้ดให้ผู้บริหารรีวิวทุกสัปดาห์ ส่วนพนักงานที่ถูกปลดออกจะได้ค่าชดเชยเป็นค่าตอบแทน 4 สัปดาห์
On Tuesday, Twitter’s remaining engineers were told they had to send “code samples” via email every week. Engineers who were fired via email this evening are being offered 4 weeks of pay in exchange for signing a separation agreement and release of claims.
— Alex Heath (@alexeheath) November 24, 2022
Just in: the night before Thanksgiving, Twitter fired more software engineers effective immediately because their "code is not satisfactory" following the recent code review.Dozens of other devs got performance warnings in their inboxes.How much do Twitter devs have to take?
— Gergely Orosz (@GergelyOrosz) November 24, 2022
Like the other recent emails, this one was unsigned. It says simply: “as a result of the recent code review exercise, it has been determined that your code is not satisfactory, and we regret to inform you that your employment with Twitter is terminated effective immediately.”
— Zoë Schiffer (@ZoeSchiffer) November 24, 2022
Comments
4สัปดาห์เองเหรอ พวกนี้คงบ่นรู้งี้เลือก3เดือนดีกว่า แต่ก็ชัดแล้วว่าค่าชดเชยกรณีโดนปลดนี่น้อยกว่าเชิญออกเยอะเลย
จริง คือตลกมาก ไปเช็คเอาจาก git เอาก็ได้แล้วนิใคร commit อะไรมา
ระบบก็มีอยู่แล้ว จะให้เสียเวลามานั่งเลือกโค้ดใส่พานถวายให้เพื่อต่อชีวิตตัวเองรายสัปดาห์ทำไม
ให้มันแฟร์ๆ พี่ก็ไล่ออกให้หมด (จ่ายค่าชดเชยเค้าด้วย) แล้วก็จ้างกลับมาใหม่ไม่ดีกว่ารึ อันนี้มันเหี้ยมโหดมาก
คนที่จะเหลือ กลายเป็นว่าคนที่ไม่มีที่ไปเท่านั้น
พนักงานทั่วไปใครอยากจะนั่งทำงานในสภาวะจะถูกให้ออกเมื่อไรก็ได้ทำไม
คำว่าส่ง ก็อาจจะหมายถึง commit & push ก็ได้นะครับ
ผมว่าคิดมากไป
ผมเดาว่า กรณีนี้มันเข้าข่ายไม่มีความสามารถในการทำงาน อันนี้ได้ชดเชยน้อยไม่น่าแปลกใจครับ
แต่ว่า น่าจะมีการฟ้องกลับกันยาวแน่นอน โดยเฉพาะถ้าคนทำงานมานานแล้วอยู่ดี ๆ โดนปลดด้วยเหตุผลนี้เนี่ย
ฟังจากเว็บ ตปท. มีข่าวลือว่าตอนนี้เหลือคนทำงานอยู่แค่ประมาณสามร้อยกว่าคนทั้งบริษัท!
ตอนนี้มีอยู่ 2,500 คน
น่าจะตัวเลขทั่วโลกครับ รวมฝ่ายโฆษณาด้วย ไม่รู้ฝั่งเทคนิคที่ SF เหลือเท่ากันไหร่
น่าจะตัวเลขทั่วโลกครับ รวมฝ่ายโฆษณาด้วย ไม่รู้ฝั่งเทคนิคที่ SF เหลือเท่ากันไหร่
ถ้าเป็นไปตามกฏ ก็เป็นสิทธิ์ของอีลอนแกล่ะ คนที่จะทำงานกับนกฟ้าหลังจากนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องชอบทำงานในลักษณะที่เจ้าของต้องการ คือบ้างานสุดๆ
แต่มองอีกมุมนึง ผมว่าธุระกิจของทวิตเตอร์เอง คงไม่โตไปกว่านี้ เว้นแต่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ผมเดาว่าอีลอนคงพยายามลดคนให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อลดค่าใช้จ่าย เอาไว้แต่พวกเก่งๆ อึดๆ เพียงแต่ด้วยวิธีการของแก แน่นอนว่าต้องเสียคนเก่งบางส่วนไปด้วย
..: เรื่อยไป
ดูหาเรื่องลดคนเรื่อยๆ กลัวจะไม่มีกำไร
จริงๆ วงการนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะ แค่มีคนเก่งแค่ไม่มีคน ก็ทำงานได้เท่ากับพันคน
ขนาดนั้นเลย...
ต่อให้คนเก่งมากๆ ทำได้ขนาดนั้นจริง
คนเก่งที่ว่า เค้าก็เลือกนายจ้างนะ...
คนพวกนี้เค้าไม่สนพวก CEO มาจากสาย MBA หรอก ที่สนแต่ตัวเลขทางการเงิน
เค้าต้องการคนเด็ดขาด อุดมการณ์มากกว่าตัวเลขทางบัญชี
ผู้บริหารสายธุรกิจเขาก็มีความเด็ดขาดและอุดมการณ์ในแบบของเขาเองนะครับ
เพราะงั้นประเด็นมันไม่ใช่เรื่องความไม่เด็ดขาดหรือไม่มีอุดมการณ์ แต่มันเป็นเรื่องของความเข้ากันได้ของอุดมการณ์ครับ คนเก่งที่เข้ากันได้กับผู้บริหารสายธุรกิจและคนเก่งที่เข้ากันไม่ได้กับผู้บริหารแบบมัสก์ก็มีมากมาย
ไม่อยากให้ดูถูกว่าผู้บริหารสายธุรกิจไม่เด็ดขาด/ไม่มีอุดมการณ์หรือตีกรอบว่าคนเก่งคือคนที่เข้ากันได้กับอุดมการณ์แบบมัสก์เท่านั้นครับ
ปล. เอาจริงๆ ผมมองว่าพวกสายตัวเลขจ๋าๆนี่เขาเด็ดขาดมากเลยนะ เพราะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมแทบไม่มีช่องว่างให้ความรู้สึกเลย ในขณะที่เคสการใช้ความรู้สึกตัดสินอย่างการให้คนรีวิวคุณภาพโค้ด มันอาจจะยังหลงเหลือไบแอสอยู่ก็เป็นได้
ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า CEO คนก่อนหน้านี้ของ Twitter คืออดีต CTO ครับ สายเทคนิคโดยตรง
เท่าที่ผมเคยเจอ CEO สาย MBA, Finance โหดกว่าสายเทคนิคเยอะนะครับ ตัดเป็นตัด ขายเป็นขาย เห็นท่าไม่ไหว พวกหาคนมาซื้อให้เสร็จ
ส่วนตัวถ้าเป็นผมชอบ CEO สายบันเทิงจาก Marketing มากกว่า แล้วตั้ง CFO จากสายการเงินมาคานอำนาจ แล้วก็มี CTO มาเป็นปากเป็นเสียงให้ฝั่งเทคนิค เพราะยังไงบริษัทก็ต้องอยู่ได้ด้วยรายได้ แล้วสายที่เก่งหาเงินสุดก็คงไม่พ้นสายการตลาดนี่แหล่ะ แต่สายนี้ก็มีข้อควรระวังเยอะ โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงิน แล้วก็ไม่ค่อยเห็นหัวสายเทคนิค ก็ต้องหาคนมา balance อำนาจอีกที
ยกเว้นเจอเทพจุติมาเกิดแบบ CEO Intel หรือ Microsoft ที่เป็นสายเทคนิคแต่มี sense ทางการตลาดติดมาด้วยอันนี้ตั้งตำแหน่งเดียวพอเลย ที่เหลือหาคนสนิทไปคุมฝ่ายบัญชีเขาจะได้ไม่อึดอัดเวลาทำงาน
ผมว่าที่เค้าเด็ดขาดแบบนี้ น่าจะเกิดจากเค้าเป็น Asperger's Syndrome ด้วยครับ
+1 ครับ
มีคนไม่เก่งในทีม ลำบากต้องมาเสียเวลาแก้อีก
ทำงานช้า แถมเขียน code มั่วซั่วไปหมด จะไล่ช่วยแก้ก็นานกว่าทำใหม่
ปวดหัว
เคยทำงานในบ.เทคมั้ยครับ? อย่าลืมว่าเว็บบล็อกนันรวมสมาชิกที่ทำงานในบ.เทคทั้งนั้นนะครับ บางคนระดับ CTO บางคนเจ้าของบริษัท บางคนเป็นอาจารย์ บางคนเป็นหัวหน้าคุมคนหลายสิบคน
ก็เอาตัวเองเป็นมาตรฐานอะ scope งาน 50 คน ผมทำคนเดียวอยู่ในปัจจุบัน
ในสายงาน dev, engineer
แล้วก็มองว่าตัวเองเป็นคนเก่งด้วยสินะครับ?
กลับกันไม่ได้มองตัวเองว่าเก่งเลย
กลับมองว่าคนรอบข้างไม่ค่อยมีความสามารถมากกว่า อยากเปลี่ยนสังคม แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ทำให้ยังพร้อมออกจากที่อยู่ในปัจจุบัน
นึกภาพไม่ออกเลยครับว่าคนเดียวทำใน scope งาน 50 คนยังไง ถ้าทำใน scope ของ 4 - 8 คนนี่ยังพอคิดออกครับ
10X developer มีอยู่จริงครับ ไม่ใช่ตำนาน ผมสามารถ rotate งานไปได้ทุกสาย และสามารถทำได้ดีทุกอย่าง ไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ และสามารถรับผิดชอบได้คนเดียวไม่จำเป็นต้องมี PM, PO, SA, QA บลาๆ
ซึ่งใน scope งานที่ทำมาทั้งหมดเทียบกับบริษัทอื่น ก็ราวๆ 50 คนจริงๆ
เห็นภาพเลย ประสบการณ์จริงมันไม่เหมือนกับจินตนาการที่คนนอกคอยบอกเราว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ในความเป็นจริงทำอยู่คนเดียว
จริงๆแล้วมันดูเกินจริง ไปนิด
คนเก่งน่ะต้องมีครับ แต่ก็ต้องมีคนทำงานด้วยครับ
ถ้าเขาจะปลด ยังไงเขาก็ปลด 🎵
ชดเชย 4สัปดาห์ คือ เดือนเดียวเองนะ
กลายเป็นดิ้นรนทำตาม Elon สั่ง ชีวิตยิ่งแย่
คนที่เหลือคงเริ่มต้องคิดละ ว่าจะบ้าจี้ตาม Elon สั่งต่อมั๊ย
เกมส์ยังไม่จบหรอก ใครเหลือรอดผมว่าเขาน่าจะอัด budget เพิ่มให้นั่นแหล่ะ
เก่งจริงจะอยู่ให้เขากดขี่ทำไม หรือให้เขาออกกฏที่ไม่เป็นธรรม ทำไม ลาออกโลด
คนเก่งอาจไม่รู้ตัวว่าเก่งก็ได้นะครับ โดยเฉพาะคนที่อยู่ท้องช้างของกราฟ Dunning-Kruger น่าจะกลัวออกแล้วหางานใหม่ไม่ได้อยู่ หรืออาจมีปัจจัยอื่นให้ไม่กล้าลาออกอย่างเป็นแรงงานข้ามชาติซึ่งถ้าไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่งในเวลาที่กำหนดก็จะต้องออกจากประเทศ
ส่วนอีลอน เผลอๆ จะอยู่ช่วงต้นกราฟ
เดี๋ยวนะ แกน confidence ของกราฟ Dunning-Kruger น่าจะไม่ได้เกี่ยวกับการขาดความเชื่อมั่นตนเองนะครับ
กราฟนี้มันเกี่ยวกับความเชื่อมั่นที่ทำให้เป็นให้เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้
ตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้สูงๆ เขาจะไม่เชื่อสิ่งที่ตนรู้ว่ามันถูก 100%
เวลาเขาเจอข้อโต้แย้ง เขาจะหาทางพิสูจน์ ความรู้ที่เขามีอยู่ใหม่ โดยใช้ข้อโต้แย้งที่รับมาครับ
ส่วนพวกรู้นิดหน่อยจะจะชอบเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดถูกต้องกว่าที่เขารู้อีก โดยปัดตกข้อโต้แย้งโดยไม่พิสูจน์
ซึ่งผมคิดว่า Musk น่าจะรู้เรื่องบริหารองค์กรดีกว่า เราๆ ด้วยซ้ำ
อาจจะเป็นมนุษย์ ctrl+c ctrl+v ก็ได้ มีทุกที่แหละ
ระยะยาวอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ เหมือนในหนังสือ No Rules Rules ของ Netflix ที่เล่าว่าพอเลย์ออฟพนักงานที่มีความสามารถต่ำกว่าค่าเฉลี่ยออก ผลปรากฎว่างานออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเหลือแต่คนเก่ง ไม่มีตัวถ่วงอีกต่อไป
elon ไม่ใช่ตาสีตาสานะ วิธีแบบนี้ run บริษัทอย่าง spacex กับ tesla มาแล้ว
ดูจากบริทบข้างเคียง บริษัทเทคใช้เงินมันมือเติบมานาน (growth บริษัทสูง cash เข้ามาลงทุนจนบริษัทไม่ต้องใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพก็ได้)
อันนี้คนเก่งออกเหลือแต่คนไม่มีที่ไปน่ะสิ
งานหนัก กับคนที่อยุ่ และคนที่จะเข้าใหม่แล้วละ
แปลว่า ทวีตเตอร์ก่อนอีลอน มันต้องมีองค์คุณภาพแบบไหนกัน ทั้งๆ ที่ตัวโปรดักต์ ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายอะไร มีคนเยอะๆ ไว้ทำไม ใครจะมองว่าอีลอนเข้ามาพังทวีตเตอร์ ผมกลับมองว่าเขามาสังคายนาบ.แย่ๆ บ.นึงมากกว่า ตอนก่อนเข้ามาอีลอนคงไม่คิดว่าข้างในจะเละเทะเกินเยียวยาละมั้ง
The Dream hacker..
+1
อารมณ์เหมือนพวก เช้าชามเย็นชาม อะไรแบบนี้รึเปล่า
ออกมาทำอาชีพอื่นเถอะ ชาวโปรแกรมเมอร์ เป็นนายตัวเองก็ยังดี สุดท้ายจุดหมายของชีวิตก็คือความตาย หรือ หาไอเดีย fun เงินจาก โปรเจคของตัวเอง โปรแกรมเมอร์เก่งหรือไม่เก่ง ก็อีกเรื่องถ้าไปเป็นลูกน้องคนอื่น เก่งให้ตาย เป็นลูกน้องคนอื่นก็โดนด่าโดนกดไว้อยู่ใต้ สิ่งต่างๆ นาๆ อยู่ดี สู้ออกมาแล้ว ตั้งตัว เป็นนายตัวเอง กัดฟันสร้างสิ่งที่ตัวเอง ต้องการและ ขายมันได้ด้วย คนมีอยู่ทั่วโลก มันต้องเข้าเป้าซัก 1 คน ชีวิตเหมือนดินสอ สั้นลงไปทุกวัน
ต้องมองมุมกลับว่าที่ผ่านมาฝ่ายบริหารชุดเก่าจ้างพวกไม่ qualify เข้ามาทำไมเยอะแยะ musk น่าจะมองขาดว่าพนักงานส่วนใหญ่ใน บ. ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ คือมีหรือไม่ก็ไม่เกิดประสิทธิผลกับงาน เลี้ยงไว้ก็เป็นตัวถ่วงเปล่าๆ
บริษัทเทคช่วงก่อน เน้นจ้างเข้ามาไว้เป็นทรัพย์สินของบริษัทมั๊งครับ เอาพนักงานที่จ้างมาตีเป็นมูลค่าบริษัทแล้วใช้มูลค่าตรงนี้ไปหาเงินทุน แล้วค่อยเอาคนที่จ้างมาจัดทีมสร้างอะไรใหม่ ๆ แต่ในกรณีของทวิตเตอร์ แอพมันแทบไม่มีอะไรเลย ส่งข้อความได้ 140 ตัวอักษร แนบรูปหรือวิดีโอได้ 1 อัน เป็นอย่างงี้่มาหลายปีแทบไม่มีอะไรเปลี่ยน เทียบกับบริษัทอื่นอย่าง meta microsoft google พวกนี้เรายังเห็นอะไรใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ
+1
WE ARE THE 99%
ลองคิดเล่น ๆ ว่า แอพอย่าง twitter ต้องมีโปรแกรมเมอร์ซักกี่คน
การที่ musk ยังไล่โปรแกรมเมอร์ออกเพิ่มอีก แสดงว่ายังเหลือมากเกินกว่าจำนวนที่จำเป็น
จากผลิตภัณฑ์ของทวิทเตอร์ผมว่าทั้งบริษัท 500 กว่าคนก็น่าจะพอ
นึกถึงเวลาดู a day in the life of a software engineer with ... เลย
แบบว่าทำงานชิล ๆ ไปวัน ๆ ชีวิตดีย์ ๆ 😅