Elon Musk เผยว่าได้ไล่วิศวกรซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า Eric Frohnhoefer ออก โดยเหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อวันอาทิตย์จากที่ Musk ได้ทวิตขอโทษผู้ใช้งาน Twitter เหตุแอปพลิเคชันทำงานช้าในหลายประเทศเนื่องจากปัญหาเรื่องการดึงข้อมูลการให้บริการ และ Frohnhoefer ก็ได้โควททวิตของ Musk ไปว่าในฐานะที่ตัวเองดูแล Twitter บน Android มาราว 6 ปี สิ่งที่ Musk พูดเป็นสิ่งที่ผิด จนทำให้เกิดการโต้แย้งกันไปมาหลายทวิตและหลายชั่วโมง
ในเธรดที่ถกเถียงกัน Musk ยังตั้งคำถามว่า Twitter บน Android ทำงานช้ามาก แล้ว Frohnhoefer ได้พยายามแก้ไขอะไรบ้าง ส่วนทางฝั่ง Frohnhoefer เมื่อมีผู้ถามว่าทำไมไม่ไปคุยกันส่วนตัว เขากลับตอบว่า Musk ต่างหากที่ควรจะตั้งคำถามกับเขาส่วนตัวโดยใช้ Slack หรือ Email
จนมาถึงวันจันทร์ที่ Musk ทวิตว่า Eric Frohnhoefer ได้ถูกไล่ออกแล้วและตัว Frohnhoefer เองก็โควททวิตของ Musk และใส่อิโมจิที่สื่อว่าเขาได้ออกจากบริษัทแล้วด้วย
ก่อนหน้านี้ก็มีกรณีที่ซอฟต์แวร์คนหนึ่งชื่อ Ben Leib ถูกไล่ออกหลังจากมาโต้แย้ง Musk ผ่านทวิตเดียวกันนี้ ซึ่งเขาได้ยืนยันกับ Bloomberg แล้วว่าเขาถูกไล่ออกแล้วเมื่อวันอาทิตย์นี้เอง
ที่มา: Bloomberg และ The Verge
I have spent ~6yrs working on Twitter for Android and can say this is wrong. https://t.co/sh30ZxpD0N
— Eric Frohnhoefer @ 🏡 (@EricFrohnhoefer) November 13, 2022
Comments
https://twitter.com/EricFrohnhoefer/status/1592287037805441024
ลาออกอย่างไร ให้ได้เงินชดเชย 👍
+1 แถมได้หักหน้า conman ด้วย
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ไม่น่าได้เงินชดเชยนะ ถ้าเป็นการไล่ออก with cause
และแบบนี้น่าจะเป็น with cause
ผมว่าเคสนี้ได้ชดเชยนะ เพราะเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ตอบไปตามความจริง (แต่ไม่ถูกใจใครบางคน แค่นั้น)
มองอีกมุมนะ แทนที่จะโต้แย้งหรือนำเสนอsolutionในที่ทำงาน แต่ออกมาหักหน้าผู้บริหารข้างนอกผ่านSNS มันก็ดูไม่ค่อยมืออาชีพสักเท่าไร และที่พูดๆไปถูกผิดไม่รู้ ไม่มีการพิสูจน์ เพราะมันเป็นcode ภายใน แต่คนนอกก็สะใจเฮตามๆกัน
ตลกที่ไปย้อนถามมัสก์ว่าทำไม ไม่คุยเป็นการส่วนตัว...คือการย้อนผ่าน sns แต่แรกนี่ส่วนตัวมาก?
free speech หมายถึงเสรีภาพในการพูด แต่ไม่ใช่เอาเรื่องภายในหรือความลับบริษัทมาพูด มันผิดกฎหมายหลายๆตัว แม้แต่การวิเคราะห์source code ภายในให้คนนอกฟัง ก็น่าจะผิดNDA หรือ trade secret แล้วล่ะ บางทีก็ต้องแยกระหว่างการshare knowledge กับการเปิดเผยความลับ โดยเฉพาะจุดมุ่งหมาย ที่ดูไม่ได้อยากให้แก้ไขปัญหา(เพราะน่าจะแจ้งเป็นการภายในก่อน)แค่อยากหักหน้าโชว์เฉยๆ?
อาจจะแค่อยากได้แพกเกจตอนจะออกเฉย ๆ พอดีเค้าไม่ยอมปลด
free speech absolutish นี่คือให้ทีมไปคุยในที่ลับหลังจากที่ตัวเองพูดกลางแจ้งเหรอครับ?
Musk เริ่มก่อนว่าแอปทำงานแย่เพราะนั่นนี่ ทีมก็แค่แย้งว่านั่นมันผิดนะ โดยแทบจะไม่ได้เปิดเผยข้อมูลภายในอะไร ถ้าเปิดก็คือในระดับเดียวกันกับที่ Musk ทำ
ส่วนที่เผยมากกว่านั้นก็เพราะ Musk ถามรายละเอียดในที่แจ้งเองอีกครั้งนะครับ
ตอนแรกมัสต์โพสขอโทษuser แต่ไม่ได้เจาะจงโทษทีมไหน
แต่ลูกน้องตอบแบบนี้มันเหมือนหักหน้ามัสต์นะแหละ
ลองนึกว่าคุณกำลังโพสขอโทษลูกค้าที่ระบบมันช้า อยู่ดีๆลูกน้องมารีทวีตบอกที่คุณโพสหน่ะมันผิด เป็นผมก็ไม่เอาไว้นะ
ถ้าที่ลูกน้องบอกมามันถูกผมก็โอเคนะครับ ได้ข้อมูลหลายๆ ทางแล้วไปเช็คว่าอันไหนคือที่ต้องการจริงจนรู้ที่ถูกเร็วขึ้นจะได้หาทางรับมือได้เร็วขึ้นไปอีก
ก็ใช่ครับแต่ไม่ใช่ในทวิทเตอร์
ออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้มองว่าทำถูกกันทั้งสองฝั่ง และผมก็ไม่น่าจะทำแบบนั้นนะ
แต่ที่ผมบอกว่าผมโอเค คือผมโดนทักท้วงแบบนั้นกลางทวิตเตอร์ผมก็โอเคครับ
ช่องทางภายในมีไม่ใช้ล่ะครับ หรือdm ส่วนตัวก็ได้ ถ้าคิดว่าอยากจะแจ้งเพื่อให้ทราบจริงๆ
อีกอย่างการเอาเรื่องภายในมาพูดในที่สาธารณะ แม้จะไม่ได้เจาะจงละเอียด ก็ถือเป็นการแอบอ้างว่าเป็นการพูดในนามองค์กร(ผิดกับมัสก์ที่มีอำนาจเต็มตามกฎหมายที่จะพูดในนามตัวแทนได้) ตรงนี้แหละที่ไม่เป็นมืออาชีพที่สุด
ป.ล.free speech ไม่ได้ทำให้คุณมีสิทธิ์ที่จะเอาเรื่องภายในองค์กรเอกชนที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย มาพูดข้างนอกได้(โดยเฉพาะปกติน่าจะมีข้อห้ามการนำข้อมูลภายในมาเปิดเผยในสัญญาจ้างทั่วไปอยู่แล้ว)
ขอโทษลูกค้า แต่บอกว่าเป็นเพราะ app มันดึง rpc มากกว่า 1000 ในหน้า home ก็เหมือนเอาลูกน้องมาด่ากลางสาธารณะแหละครับ
คือง่ายๆ เหมือนบอก ขอโทษ ที่ app มันถูกเขียนมากาก แล้ว context คือเค้าเพิ่งมาซื้อบริษัท การที่เขาด่าแอพบริษัทตัวเองมันเลยเป็นการโทษทีมงานมากกว่า
เหมือนโรนัลโด้
เรื่องทำผิดกฎบริษัทอันนี้ผมไม่ทราบ แต่เท่าที่ดูต้นเรื่องเขาก็แค่บอกว่ามันผิด ไม่ได้เปิดเผยอะไรนะ แต่ผิดหรือไม่ก็คงต้องไปกางดูกฎบริษัทอีกทีแหละ
ส่วนเรื่องหักหน้า... มัสก์เป็นคนเริ่มหักหน้า Dev ผ่าน SNS ก่อนนะครับ Dev จะออกมาปกป้องตัวเอง(พร้อมหักหน้ากลับ)ผ่าน SNS ถึงจะไม่ค่อยดูสมกับเป็นมืออาชีพทั้งสองฝ่าย แต่ผมว่ามันก็แฟร์ๆดีนะ และย่อหน้าสุดท้ายของคุณเนี่ย ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงใคร แต่ผมว่ามันก็เข้าตัวมัสก์เต็มๆเลยนะ
สรุปก็คือ ทั้งมัสก์ทั้ง Dev ก็พอๆกันทั้งคู่นั่นแหละครับ ถ้าจะตำหนิเรื่องการเปิดเผยข้อมูล หรือเรื่องการหักหน้าหรือการใช้ Free Speech ผมว่าก็ควรจะว่าทั้งสองฝ่ายนั่นแหละครับ
ตอบรวมๆหลายๆท่านแล้วกัน โควต้าน้อย
มันผิดอยู่แล้ว เอาเรื่องภายในมาแฉข้างนอก จะปกป้องตัวเองหรือไม่ คนนอกไม่มีทางรู้ครับ อาจจะแค่บลัฟก็ได้
เทียบผู้บริหารที่มาด้วยอำนาจผู้ถือหุ้นไม่ได้หรอกครับ โดยเฉพาะมัสก์นี่น่าจะเป็นผู้บริหารที่มีอำนาจเต็ม มีสิทธิ์ที่จะพูดในนามของบริษัทอยู่ในตัวเต็มที่อยู่แล้ว
ส่วนพนักงานนี่สัญญาจ้างคนละฉบับเลย ผมว่าtrade secret กับ NDA นี่มันมาตรฐานวงการIT สากลอยู่แล้ว ที่สำคัญถ้าไม่ได้รับมอบหมาย คุณไม่มีสิทธิ์พูดในนามบริษัท
กรณีนี้คือหัวหน้าออกมาขอโทษลูกค้าแล้วโบ้ยว่าระบบแย่ แต่ก็ไม่ได้ระบุเจาะจงชื่อพนักงานแค่พูดรวมๆ และไม่ได้ลงโทษอะไรจนต้องเดือดร้อน(ถ้าโดนลงโทษเป็นแพะก็อีกเรื่องฟ้องศาลแรงงานสู้ได้) คนที่รู้ข้อเท็จจริงอาจจะมาบ่นเล่ากันเล่นๆในวงเหล้าได้
แต่พนักงานเอามาแฉในSNSข้างนอกนี่ผิดเต็มๆ โดยเฉพาะการโต้ตอบกับผู้บริหารในที่สาธารณะแบบนี้ คนนอกก็เชียร์เอามันตามกระแสได้อย่างเดียว จริงหรือเปล่าไม่มีใครรู้ และบ.ไม่จำเป็นต้องบอกให้รู้(สมมติว่าจริงใครจะโง่บอกคู่แข่งชัดเจน?)
ถ้าเป็นเมืองไทย พนักงานคงโดนบ.ฟ้องเรียกค่าเสียหาย+ไล่ออกโดยไม่มีค่าชดเชย แต่ตอนนี้กระแสหมันไส้มัสก์เยอะ คนก็จะเข้าข้างพนักงานมากหน่อย เหมือนตอนที่มีคนคอสเพลย์ว่าโดนไล่ออกวันแรกที่เข้าทำงาน คนก็ด่ากันไปก่อนโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงนั่นแหละ
มัสก์ชอบเล่นกับกระแส ปั่นกันประจำ โพสอะไรแย่ๆบ่อย แต่วิธีที่พนักงานกระทำมันก็บิดเบี้ยวไป อย่าอ้างว่าก็พอๆกัน เดี๋ยวจะพลาดทำตามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องถูกต้อง กระแสสังคมอาจจะไม่ได้ช่วยเสมอไป
ผมจะยกตัวอย่างใกล้ๆตัว เช่นกรณีapp bank ล่ม ผู้บริหารออกมาขอโทษบอกว่าระบบมีปัญหา แล้วมีพนักงานคนนึงออกมาโพสในที่สาธารณะแย้งกับผู้บริหารบอกว่า ไม่จริง ผู้บริหารโกหก จริงๆแล้วเพราะ...ตะหาก บลาๆๆ คุณว่ายังไง? มันจะทำงานกันต่อได้หรือ ถ้ารู้ปัญหาจริงทำไมไม่บอกกันภายใน ไม่แจ้งหัวหน้าตัวเอง แต่มาบอกลูกค้า? ได้รับมอบหมายให้พูดเหมือนเป็นตัวแทนบ.ตั้งแต่เมื่อไร แล้วการพูดอะไรกระทบภาพลักษณ์แค่ไหน รับผิดชอบกันไหม? ที่สำคัญข้อเท็จจริงโดยรวม ไม่มีทางที่ข้างนอกจะรู้อยู่แล้ว คงไม่พูดแบบถ้าพนักงานพูดไม่จริงก็ฟ้องสิ กว่าจะฟ้องจบ คนเคยติดตามข่าวไหมว่ามันจบอย่างไร? แต่คำพูดมันออกไปวงกว้างแล้ว
(แต่จริงๆกรณีbank นี่ต่างกัน เพราะมีการกำกับดูแลโดยBOT สามารถสั่งให้ชี้แจงได้กรณีapp ล่ม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องบอกสาเหตุที่แท้จริงให้คนนอกรู้เช่นกัน)
ผมมีมุมมองที่ว่าไม่ว่าจะผู้บริหารหรือลูกน้องก็เป็นพนักงานเหมือนกัน ถ้าผิดก็ผิดเหมือนกันครับ
เรื่องกฎบริษัทผมขอไม่ออกความเห็นครับ เพราะไม่รู้ว่าเขาเขียนไว้ยังไงทั้งสองฝั่งเลย
ส่วนเรื่องผู้บริหารออกมาขอโทษ... ผมกับคุณมองต่างกันในเรื่อง "เจตนา" ของทวิตเตอร์ของมัสก์ครับ เพราะผมมองว่าสำนวนของมัสก์มันไม่ใช่ "ผู้บริหารขอโทษลูกค้า" เลย (จะมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ซักกี่คนที่รู้จัก RPC กันเชียว ปกติเวลาขอโทษเขาก็บอกแค่สาเหตุคร่าวๆ ไม่ได้ลงลึกเชิงเทคนิคอยู่แล้ว) เพราะงั้นข้อความของมัสก์คือตั้งใจที่จะพูดถึง Dev ครับ และไม่ว่าจะหมายถึง Dev คนไหน คนที่ได้รับผลกระทบก็คือ Dev ในนั่นแหละ
ถึงจะบอกว่าไม่ได้ระบุชื่อชัดเจน แต่มันก็คือการหักหน้า Dev ใน SNS อยู่ดี และผมไม่เคยผู้บริหารดีๆคนไหนทำแบบนั้นกันครับ
ท้ายที่สุดแล้ว ผมบอกว่าพอๆกัน แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ อย่างที่ผมบอกว่า "ไม่ค่อยดูสมกับเป็นมืออาชีพทั้งสองฝ่าย" ดังนั้นเจตนาของผมไม่ได้จะว่าการกระทำนี้ถูกต้องหรือเป็นเรื่องดีแน่นอนครับ ผมต่างกับคุณตรงที่ว่าไม่ได้ตำหนิแค่พนักงาน แต่ก็ตำหนิมัสก์ด้วยครับ ไม่ได้จะบอกว่ามีใครทำถูกต้องแต่อย่างใดเลย
ผู้บริหารกับพนักงานจ้าง อำนาจและความรับผิดชอบทางกฎหมายต่างกันครับ
โดยปกติพนักงานไม่ได้รับอนุญาตให้พูดในนามของบริษัทรวมถึงเรื่องภายในใดๆ เรื่องพวกนี้มีสัญญาจ้างค่อนข้างแน่นอน ผมจะแปลกใจมากๆที่คุณพยายามแย้งว่าไม่เห็น เลยไม่คิดว่าจะห้าม ผมย้ำแล้วว่ามันเป็นข้อตกลงพื้นฐานในสัญญาจ้างระดับสากลเลย ผมเห็นข้อสัญญาเรื่องพวกนี้มา20ปีแล้วครับ บ.ในและนอกประเทศก็มีคล้ายๆกัน จะแปลกใจมากกว่า ถ้ายังมีที่ไหน ไม่เขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในสัญญาจ้าง ถ้าเป็นบริษัทระดับมาตรฐานที่มีนักกฎหมายดูแล(ยังไม่นับว่าบ.ระดับอินเตอร์อีกนะ) โดยเฉพาะการเปิดเผยความลับ จุดอ่อน ของกระบวนการให้คนนอกทราบ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการละเมิด trade secret ครับ กฎหมายลงโทษรุนแรงมากกว่าละเมิดสิทธิบัตรซะอีก(มีโทษทางอาญาฯข้ามชาติด้วย)
มัสก์จะพูดถูกหรือผิด ก็มีอำนาจในทางกฎหมายครับ เพราะเขาเป็นผู้บริหารผู้มีอำนาจเต็ม ไม่ใช่"พนักงาน" พูดแย่ผลกระทบก็เข้าตัวและบริษัทที่เขาถือหุ้นและมีอำนาจบริหาร(เช่นดังตอนนี้ที่คนด่ามัสก์จนมองข้ามความผิดของพนักงาน)รวมไปถึงมีความรับผิดทางอาญาฯและแพ่งฯ หากบ.ทำผิดกฎหมายด้วย(ในขณะที่พนักงานพ้นความรับผิดตรงนี้ครับถ้าทำตามคำสั่งนายจ้าง ดูเคสเทรานอสนะ พนักงานมีหรือจะไม่รู้ว่างานที่ทำมันหมิ่นเหม่การหลอกลวง?)
ส่วนพนักงานทั่วไป จริงๆแล้วไม่ควรที่จะเปิดเผยตัวว่าเป็นพนักงานในองค์กรในการพูดใดๆที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยซ้ำ(รวมถึงSNS) เพราะคนทั่วไปจะแยกไม่ออกว่านั่นคือความคิดเห็นส่วนตัว หรือความคิดเห็นของ"องค์กร" เหมือนกับเวลามีพนักงานที่ป่าวประกาศว่าอยู่องค์กรใดๆไปทำแย่ คนก็ด่าองค์กรไปด้วยนั่นแหละ ทั้งๆที่เป็นความผิดส่วนตัวแท้ๆ
อาจจะยกเว้นแค่ในกรณีที่บริษัททำผิดกฎหมาย ผิดกฎหมายแรงงานอะไรพวกนี้ แต่โดยทั่วไป การที่พนักงานธรรมดาออกมาพูดเรื่องภายในที่ไม่เกี่ยวกับการละเมิดส่วนตัว มันค่อนข้างร้ายแรง
คุณพยายามเอาหัวโขน dev มาใส่ว่าเหมือนโดนมัสก์กล่าวหา เลยดูจะอินจนมองข้ามข้อเท็จจริงทางกฎหมายไป โดยที่ในความเป็นจริง การพูดรวมๆถึงdevไม่ได้มีผลกระทบขนาดนั้น ไม่ได้มีคนรุมด่าล่าแม่มดถึงบ้าน หรือทำให้ชื่อเสียงเสียหาย นอกเสียจากคุณจะป่าวประกาศไปแต่แรกเองเลยรู้สึกร้อนตัวไปได้(อย่างที่ผมบอกไป ไม่ควรจะป่าวประกาศอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว)
"ผมจะยกตัวอย่างใกล้ๆตัว เช่นกรณีapp bank ล่ม ผู้บริหารออกมาขอโทษบอกว่าระบบมีปัญหา แล้วมีพนักงานคนนึงออกมาโพสในที่สาธารณะแย้งกับผู้บริหารบอกว่า ไม่จริง ผู้บริหารโกหก จริงๆแล้วเพราะ...ตะหาก บลาๆๆ คุณว่ายังไง?"
ผมว่าเทียบกันไม่ได้นะครับ เคสนี้ก็เปรียบได้กับผู้บริหารธนาคาร A ออกมาบอกว่า
ที่แอพธนาคารล่มตอนสิ้นเดือนเนี่ย เพราะแอพ Android มัน request RPC อะไรก็ไม่รู้เยอะมากๆเกินความจำเป็น
แต่ทีม dev ก็ออกมาบอกว่าไม่นะ แอพ Android มันก็ไม่ได้มี request เยอะมากอะไรขนาดนั้น แถมเรียกเป็น async อีก จริงๆอาจจะมาจากฝั่ง server ที่ช้าเองหรือเปล่า
ผมไม่ได้มองข้ามกฎหมายครับ ผมก็ระบุแล้วว่าผมไม่รู้ก็เลยเลือกที่จะไม่ออกความเห็นเรื่องกฎหมายเท่านั้นเอง (แล้วก็ขอบคุณนะครับที่ช่วยอธิบายให้ เพราะผมไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ) แต่คุณเปิดขึ้นมา 2 ประเด็นคือเรื่องกฎหมายและเรื่องการโพส SNS หักหน้า ซึ่งผมก็แสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ 2 ครับ
ส่วนเรื่องการโพส SNS หักหน้า แค่เป็น Android Dev ของ Twitter ผมว่าแค่นั้นก็เสียหายแล้วนะครับ แน่นอนว่าผลกระทบมันไม่เท่าการชี้หน้าตรงๆแบบที่มัสก์โดนหรอก แต่ไม่ว่าจะมากหรือน้อยมันก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำอยู่ดีครับ (หรือคุณมองว่าผลกระทบมันน้อยเพราะงั้นก็เลยทำได้?) หรืออย่างน้อยๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ขอเลือกที่จะทำงานกับผู้บริหารหรือหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ประจานความผิดพลาดของเพื่อนร่วมงานโดยไม่จำเป็นครับ
กรณีมัสก์ผมมองว่ามันไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่จะต้องลงรายละเอียดขนาดนั้นถ้าแค่อยากจะขอโทษลูกค้าจริงๆ ส่วนกรณีของ Dev นั้นผมขอไม่ตัดสินครับ เขาอาจจะจำเป็นต้องทำเพื่อที่จะปกป้องชื่อเสียงตัวเองก็ได้ หรืออาจจะแค่อยากเอาคืนมัสก์เฉยๆก็ได้
ย้ำอีกครั้งนะครับ ผมไม่ได้จะบอกว่าสิ่งที่ Dev ทำเป็นเรื่องถูกต้อง แม้ว่ามัสก์จะทำไม่ถูกต้องหรือ Dev มีความจำเป็นต้องทำก็ตาม การออกมาตอบโต้ในรูปแบบเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีอยู่ดี สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือข้อตำหนิที่คุณกล่าวถึง Dev (ในแง่ของการหักหน้าผู้อื่นผ่าน SNS) มันก็เข้าตัวมัสก์เหมือนกันครับ
แล้วคุณรู้ได้อย่างไร ว่าที่มัสก์พูดไม่จริง?
dev ที่ออกมาบอกว่ามัสก์พูดไม่จริงอาจจะพยายามปัดสวะก็ได้? คนดูไม่เห็นcode จะรู้ได้ไงว่าใครกำลังโกหก? (ย้ำว่ามัสก์ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยcode เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ถ้าทำแบบนั้นโดนผู้ถือหุ้นคนอื่นโวยแน่)
แต่ปัญหามีอยู่จริง แกพยายามออกมาอธิบาย ส่วนการพยายามหาroot cause เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ซึ่งควรทำเป็นการภายใน ซึ่งชื่อเสียงแกที่ผ่านมา ก็รับฟัง การเข้าหาโดยตรง(เป็นการภายใน) ไม่ได้ห้ามมาแจ้งอะไรกับตัวสักหน่อย
มัสก์ไม่น่าที่จะพูดละเอียดภายนอกจนดูเหมือนกล่าวหาdev(แต่จริงไม่จริงเราก็ไม่รู้?) แต่แก ชอบพยายามอธิบายอะไรผ่านทวิตเตอร์ประจำอยู่แล้ว จริงไม่จริงคนนอกก็ไม่รู้หรอก และแกก็รับผลกระทบไปเต็มๆในฐานะผู้บริหารที่มีอำนาจเต็ม ทั้งดอกไม้และก้อนอิฐประจำอยู่แล้ว
ประเด็นที่เราเถียงกัน คือ ตัวพนักงาน ไม่ควรจะออกมาพูดเรื่องภายใน ในที่สาธารณะครับ ตรงนี้แหละที่ผมมองว่า พนักงานไม่รู้กาลเทศะ(ฝรั่งไม่มีคำนี้ แต่ก็มีคำว่ามารยาทนะ) รวมถึงละเมิดข้อกฎหมาย/สัญญา ด้วยซ้ำ
ผมไม่เคยบอกว่ามัสก์พูดถูกนะ แต่แกมีสิทธิ์ที่จะพูด ในขณะที่พนักงานไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเรื่องภายใน ในที่สาธารณะ(ไม่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่)
มันมีสองประเด็นนะ การออกมาแย้งผู้บริหาร ในที่สาธารณะ มีปัญหาในเรื่องมารยาท การบังคับบัญชา แต่ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ที่ผิด คือการนำเรื่องภายในออกมาพูด
มัสก์พูดไม่ดีสักเท่าไร แต่dev นี่เข้าข่ายผิดกฎหมายและสัญญาจ้างหลายๆข้อ ยังไม่นับเรื่องมารยาท แม้ฝรั่งโดยเฉพาะบ.เมกันจะไม่ค่อยถือ และมองว่าการถกเถียงในเรื่องงานนั้นทำได้ แต่เขาก็มีเส้นแบ่ง ระหว่าง ภายใน กับภายนอกชัดเจนครับ
เราอาจจะเห็นdevยุคstartupเฟื่องฟู โชว์portfolio ว่าเคยร่วมงานเจ๋งๆที่ไหนมาบ้าง บางคนเล่ากระทั่งalgorithmที่ตัวเองทำ แต่บ.ใหญ่ๆหลายที่เขาก็เขียนสัญญาห้ามระบุอะไรชัดเจน(บางที่ห้ามพูดกระทั่งชื่อproject) และเป็นมารยาทในวงการว่าไม่ควรเอาไปพูดข้างนอกโดยเฉพาะเรื่องข้อเสีย ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปพูดในเชิง case study อาจโดนฟ้องไล่หลังได้
แต่ว่า
ผมไม่ได้พูดถึงเลยว่าใครพูดจริงไม่จริงนะครับ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
เรื่องการพูดข้อมูลภายใน ผมไม่รู้ และคุณช่วยอธิบายเรื่องกฎหมายในคอมเมนต์ก่อนหน้าให้แล้ว ซึ่งผมก็ยอมรับและขอบคุณไปแล้วครับ
เรื่องมารยาทพนักงานผมก็เห็นด้วยกับคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าพนักงานมารยาทไม่ดีที่หักหน้าผู้บริหารในที่สาธารณะ ไม่ได้แก้ต่างให้พนักงานใดๆเลย
ประเด็นที่ผมสื่อก็มีแค่มัสก์เองก็มารยาทไม่ดีที่หักหน้าพนักงานในที่สาธารณะเหมือนกันก็เท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม และเท่าที่อ่านคุณเองก็เห็นด้วยเหมือนกันว่ามัสก์เองก็ผิดในเรื่องมารยาท
ผมว่าเราน่าจะเคลียร์และเข้าใจตรงกันทุกประเด็นแล้วนะครับ?
ผมรู้สึกว่าการเปิดเกมด่าลูกน้อง (ใหม่) ตัวเองกลางที่สาธารณะ ก็ดูไม่ค่อยเป็นมืออาชีพเท่าไหร่ครับ
ดูทรงแล้วรายนี้ก็แค่น่าอยากจะหักหน้าโชว์ให้โดนไล่ออกแหละครับ
ขอโทษลูกค้าโดยโบ้ยไปให้พนักงาน ก็ไม่สมควรทำนะครับ เป็นเจ้าของเสียเปล่า แทนที่จะหาข้อเท็จจริงก่อนแจ้ง กลับพูดแบบผิด ๆ ดังนั้นถ้ามัสก์เริ่ม ก็ไม่แปลกครับที่พนักงานจะทวีตกลับแบบนั้นครับ
ตอนแรกเห็นคนรีทวีต ประโยค "I've spent 6..."
ตอนแรกผมไม่คิดอะไร มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นพนักงาน Twitter ก็แปลกใจว่าคิดอะไรอยู่ เป็นผม ผมก็ไม่เอาไว้ ลองมองในมุมนายจ้างดู
คือเหมือนเราแค่ขอโทษลูกค้าว่าบริการมีปัญหาเพราะ ... อยู่ๆลูกน้องมาหักหน้าในที่สาธารณะ โดย context มันก็ดูเหมือนต้องการประจาน และพูดข่ม ลองมองในมุม Musk ดู แล้วแบบนี้จะทำงานร่วมกันยังไง
ผมว่าหลายคนเข้าใจผิด ปัญหาไม่ใช่ที่เขาอธิบายเชิงเทคนิค ปัญหาจริงๆ คือประโยคนี้แหละ
จริง พนักงานที่เอาเรื่องภายในไปโม้ให้คนนอกฟังในที่สาธารณะเพื่อหักหน้าผู้บริหาร จะทำงานกันต่อได้ยังไง
ผมไม่ได้เข้าข้าง Dev หรือบอกว่าเขาทำถูกนะครับ แต่อยากจะแย้งว่าในมุมมองของผมทวิตของมัสก์มันไม่ใช่การ "ขอโทษลูกค้า" ครับ
ปกติการขอโทษลูกค้าพร้อมอธิบายสาเหตุที่ผู้บริหารทำเนี่ย ไม่มีใครเขาลงลึกไปในรายละเอียดเชิงเทคนิคที่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกครับ (และผมเชื่อว่าลูกค้า Twitter ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า RPC คืออะไร) ผมก็ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของทวิตมัสก์คืออะไรนะ แต่ถ้าผมเป็น Android Dev ของ Twitter ผมจะรู้สึกเหมือนโดนมัสก์ประจานในที่สาธารณะเลยครับ
แน่นอนว่าการไปหักหน้ากลับมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำอยู่ดีครับ แต่ผมแค่มองว่ามันผิดทั้งสองฝ่ายครับ
แซ่บพอกันทั้งสองฝ่าย
ยังไม่เข้าใจว่ามัสก์แกเป็นคนอีโก้สูงขนาดผิดต่อสาธารณะชนไม่เป็นเลยเหรอ?
typical estj/intj + narcissistic personality disorder ครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมดูอาการนี้อาการ intj นะครับ พวกที่อยู่ๆ ก็เกิดอารมณ์ rage fire พนักงาน เพราะโดนจี้จุดด้อย
พวก intj เป็นงี้จริงนะ ปกติจะดูเป็นคนนิ่งๆ คูลๆ ฉลาดๆ ใช้เหตุผล แต่พอโดนจี้จุดปุ๊บจะต้องทำอะไรแบบใช้อำนาจที่ตัวเองมีเพื่อจัดการไอ้คนจี้จุดทันที
โดยส่วนตัวผมว่า Elon เป็น estj ไม่ก็ intj ครับ
แต่โดยปกติคนมอง Elon เป็น entj หรือ intp มากกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่คน perceive(charismatic) จากสิ่งที่ elon พยายามแสดง ไม่ใช่สิ่งที่ elon เป็นครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
อันนี้ดีนะ ไม่ค่อยมีคนในบล็อกนันคุยด้วย mbti เท่าไร
ต่อให้เป็นหัวหน้างานธรรมดาก็ไม่ได้ครับ มันไม่เกี่ยวกับผิดถูกแต่มันเป็นเรื่องของการล้ำเส้น ถ้าหัวหน้าเจอลูกน้องที่เก่งมาเถียงๆๆในที่สาธารณะแบบนี้ลูกน้องคนอื่นๆจะมองยังไง
ถ้าปล่อยผ่านเรื่องนี้ทีมจะมีปัญหาแน่ๆเช่น คุณสั่งงานไปแต่ลูกน้องไม่ทำเขาจะถามหาเหตุผลทำไมต้องทำ
เอาการถกเถียงแบบเทคนิคัล มาเทียบกับการค้านแบบต่อต้านงัดข้อได้เหรอครับ?
ถ้าลูกน้องถามหาเหตุผล โดยเฉพาะลูกน้องในฟิลด์งานที่ใช้สติปัญญาเยอะๆ หัวหน้าก็ควรตอบเหตุผลมั้ยครับ
ขึ้นอยู่กับสถานที่แหละครับ ถ้ามาเถียงขัดคอในที่สาธารณะก็ถือเป็นการงัดข้ออยู่ดี
ก็เป็นอยู่นะครับ ตอนจรวดระเบิดบ่อยๆก็ประกาศว่าผิดเพราะอะไร ล่าสุดเช้านี้ไถทวิตก็เจออันล่างเลย
คนที่อีลอนพูดถึงในทวิตนี้ คือ สองคนที่ไม่ใช่พนักงานทวิตเตอร์เลย แต่มาเนียนให้สัมภาษณ์เป็นพนักงานที่โดนไล่ออกในวันแรกที่อีลอนเข้าออฟฟิศครับ
สรุปคือ อีลอนทวิตล้อเลียนเฉยๆ ไม่ได้พูดถึงคนที่ถูกไล่ออกจริงๆ ครับ
https://news.yahoo.com/elon-musk-posted-picture-him-223523677.html
https://twitter.com/elonmusk/status/1592619267803185152
LinkedIn
พลังของรูปที่ถูกใช้นอก context ช่างน่ากลัว เพราะคนพร้อมจะเชื่ออยู่แล้ว
นี่ขนาดผ่านมาแค่ไม่กี่วันนะเนี่ย 😅
แค่โควท Elon ก็ได้ eyeball มหาศาล
ไหนจะแพ็คเกจตอนออกอีก
มันคนละมิติกับประเด็นลูกน้องเถียงบอสแล้ว
กรณีผมว่า น่าจะเข้าข่ายไล่ออก มากกว่าให้ออกครับ ( = ไม่ได้แพคเกจนะ)
ขอบคุณครับ แต่ผมก็ยังมองว่าการที่พนักงานโควท Musk ออกสื่อแบบนี้
มันคนละมิติกับลูกน้องเถียงบอสในบริษัททั่วๆ ไปคนละเรื่องเลย
Elon นี่เขาเฝ้าทุกทวีตเลยหรือนี่ ปกติน่าจะมีคนไป Quote ทวีตแกเยอะมาก
เอ่อ...
ขอบเขตที่พนักงานกับผู้บริหาร สามารถแสดงข้อมูลในนามบริษัทคนละเรื่องเลยนะครับ ไม่เข้าใจการเข้าข้างพนักงานในเคสนี้จริงๆ
ต่อให้ออกและได้เงิน แถมได้ชื่อว่าได้เถียงกับอีลอน
แต่ที่ทำงานใหม่จะรับคนที่ทำไรแบบนี้ ณ ที่สาธารณะเหรอ
ผมไม่จ้างแล้วหล่ะ 1
ลูกจ้าง no name กล้าวัดเจ้าของกิจการผ่านสื่อ
ถ้าเจ๋งจริงคงไม่อยู่กินเดือนมาจนปานนี้ คงไปมีกิจการของตัวเองนานแล้ว
คนที่เก่งที่สุดของกูเกิล,ไมโครซอฟท์,แอปเปิล,เฟสบุค ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นพนักงานครับ
คนที่ "เก่งกว่า" คือคนที่ทำให้คนที่ "เก่งที่สุด" พอใจกับการเป็นพนักงานได้ครับ (ความเก่งในการเป็นประธานทุกบริษัทในโลก)
ความเก่ง มันเป็น skill ที่ขึ้นอยู่กับคุณจะวัดด้วยด้านใด
"เก่งที่สุด" ของคุณคือความหมายในทางเทคนิค แต่ "เก่งกว่า" ของผมคือความหมายในเชิงบริหารครับ
ถ้าคุณๆ มัวแต่ถกกันด้วยคำว่า "เก่ง" โดยไม่มี skill ขยายความห้อยท้าย ก็จะกลายเป็นถูกกันทุกคนแหละครับ
จะบอกว่าคนเจ๋งจริงไม่ควรอยู่กินเงินเดือน ผมว่ามันก็ไม่ค่อยถูกเท่าไรนะครับ บางคนอาจจะเป็นแนวไม่ชอบเสี่ยง หรือต้องการผิดชอบอะไรมากมายก็ได้ครับ
เจ๋งจริงแต่เป็นพนักงานเงินเดือนก็ได้ครับ
แค่ค่าตัวจะสูงและมีค่าขนาดบริษัทหวงแหนให้สวัสดิการหรือหุ้นก็ได้
ไม่ใช่ทุกคนจะเกิดมาเพิ่อเป็นเจ้าของกิจการ
การเป็นเจ้าของกิจการไม่ได้วัดความสำเร็จของคนนะครับ
ผมเห็นด้วยแค่กรณีที่ให้ออกง่ายๆแบบนี้คงไม่สำคัญกับองค์กรเท่าไหร่ครับ
+สำคัญตัวผิดและเรียกความสนใจไม่รู้กาลเทศะ
จากหนังสือประวัติอีลอน ที่ไปสัมภาษณ์คนใกล้ตัวและคนเคยทำงานด้วย
ถ้าคุณมีไอเดียที่ดีกว่า และมั่นใจว่าตัวเองทำได้จริงๆ สามารถเดินเข้าหาหรือติดต่ออีลอนโดยตรงได้เลย
เผลอๆจะได้โปรโมตแทนโดนไล่ออก
ย้ำอีกครั้ง การเป็นเจ้าของกิจการไม่ได้วัดค่าความสำเร็จหรือความเก่งของคนครับ
มนุษย์มีความเก่งหลายมิติ ผมเจอมนุษย์เงินเดือนระดับซีเนียร์ที่เจ๋งกว่าเจ้าของกิจการเยอะแยะไป
แต่เขาแฮปปี้กับจุดที่อยู่
การเก่งในสายตัวเองไม่ได้หมายความว่าทำธุรกิจเก่งนะครับ เจ๊งมาก็มีให้เห็นเยอะ มันไม่ได้ใช้แค่สกิลในสายนั้นๆอย่างเดียว ยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะ แล้วไหนจะเรื่องภาษีอีกที่ต้องคิดด้วย
นั่นอเมริกานะครับ ไม่ใช่ประเทศไทย
คนละเรื่องเดียวกันเลยครับ developer ที่เก่งที่สุดในโลกอาจไม่มีความสามารถในการตั้งกิจการของตัวเองเลยก็ได้ แต่คุณจะบอกว่าการเป็น developer ที่เก่งที่สุดในโลกคือไม่เจ๋ง?
ถ้าเอาแบบคุณว่า จางเหลียงก็ไม่เจ๋งเลย เพราะทำงานงกๆให้หลิวปังได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ แล้วยังต้อง early retire อีก
เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ไม่งั้น ถ้าไม่เกิดอะไร แล้วลูกน้องคนอื่นๆ จะไม่เลียนแบบหรือ
ก็จำเป็นต้องเชือดเป็นหนังตัวอย่าง
ผิดถูกผมไม่รู้แต่ผมอยากรู้ตอนจบจะเหลือลูกจ้างเก่าของ Twitter ที่ยังทำงานให้ Elon Musk สักกี่คน ไม่ใช่เหลือตัวคนเดียวนะ มีแต่ผู้บัญชาการแต่ไม่มีลูกน้องให้สั่งการแล้ว
Musk : Eric ช่วงนี้เราต้องปั่นฯ เดี๋ยวนายโพสตรงกันข้ามกับฉันทีนะ
Eric : ได้ครับเจ้านาย แต่ผมจะได้อะไรจากการทำแบบนี้ เดี๋ยวประชาชีจะด่าผมกันพอดี
Musk : เอาน่านายไม่ต้องคิดมากจะไปทำที่ SpaceX หรือกับอีกหลาย ๆ บริษัทของฉันก็ได้
Eric : ok ตามนั้นเดี๋ยวจะจัดให้ใหญ่โตเลย
Musk : เอาวันอาทิตย์เลยนะ กำลังว่าง ๆ
ปัจจุบัน 2 คนนี้อาจจะกำลังนั่งขำประชาชีอยู่ก็ได้
All for One ในชีวิตจริง
เป็นผมลูกน้องออกมาเถียงหัวหน้าต่อหน้าลูกค้าแบบนี้ก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน มันเสียการปกครอง
ลูกน้องที่อยากได้สิทธิ์ free speech แบบไม่จำกัดกาะเทศะก็ควรไปเปิดบริษัททำแอพ social เอาเองนะ
เข้ากับคอนเซ็ปต์ bn อยากได้จงทำเองซะ
มัสต์ขอโทษลูกค้าที่ android ช้า
v
ลูกน้องหนึ่งในทีม andorid ร้อนตัวออกมาเถียงมัสต์แถมเอาเรื่องภายในมาพูด
v
โดนไล่ออก
อะไรตามมาต่อ
- โดนฟ้อง NDA (รอกระแสก่อนแล้วค่อยฟ้อง)
- บริษัทอื่นใครจะกล้ารับหมอนี่เข้ามาทำงานกล้วจะโดนปากโป้งเรื่องภายในด้วย แถมทำงานมา6ปีแอปก็ช้าจริง
คิดเหมือนกัน ชอบที่สรุปสั้นกระชับดี
เอาแค่เรื่องสิทธิ์และสัญญาในข้อตกลงการจ้างแรงงาน ก็ไม่ต้องดูแล้วว่าใครถูกผิด ต่อให้มัสก์ทวิตมั่วจริงๆก็ตามและต่อให้เขาจะมีเจตนาตั้งข้อสังเกตถึงทีมพัฒนาแอพในที่สาธารณะหรือไม่ก็ตาม เขาไม่ได้อยู่ในฐานะแค่ผู้บริหารนะครับแต่เขาเป็นเจ้าของด้วยมีสิทธิ์ที่จะทำ ไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานที่จะทวิตตามมาหักเขาในที่สาธารณะเนื่องจากถือเป็นข้อมูลภายในบริษัท มันตีความว่าผิดสัญญาจ้างงานได้เลยนะ
อันนี้ไม่นับเรื่องมารยาทนะครับ ถูกผิดตามสิทธิ์หน้าที่ก็เรื่องนึง ถูกผิดตามวัฒนธรรมมารยาทก็อีกเรื่องนึง
ช่วงนี้ทวิตเตอร์ขาขึ้นนะเนี่ย ได้ออกข่าวโดยไม่เสียค่าโฆษณา 55
ว่าแต่ RPC มันคืออะไรครับ 555
สาวก Drupal และ Backdrop CMS ไม่ใช่ใคร ก็ผมนี่แหละ
Remote Procedure Call ความหมายสั้นๆ มันคือการสั่งให้เครื่องอื่นทำงานแทนและส่งผลลัพธ์กลับมาครับ
ขอบคุณมากครับ
สาวก Drupal และ Backdrop CMS ไม่ใช่ใคร ก็ผมนี่แหละ
ผมไม่แน่ใจว่าในนี้มีคนที่เคยต้องขึ้นศาลแรงงานจริงๆกี่คน
อยากให้บางท่านที่ถกเถียงกันในนี้ได้ศึกษากฎหมายแรงงานและคำพิพากษาต่างๆเยอะๆนะครับ ไม่ใช่จะดูถูกว่าไม่มีความรู้นะครับ แต่เหมือนว่า หลายๆท่านยังไม่ชัดเจนว่าสิ่งที่ทำ ควรหรือไม่ควร ซึ่งถ้าเถียงกันเฉยๆมันก็ไม่จบ แต่มันจะไปจบได้ด้วยกฎหมาย
ไม่รู้ว่าสมาชิกในเพจนี้ทำงานในเมืองไทยกันทุกคนไหม
แต่ถ้ากรณีนี้เกิดขึ้นในไทย ผมว่า MUSK มีสิทธิ์ให้ออกได้เต็มที่ และพนักงานท่านนี้จะไม่ได้รับเงินชดเชยด้วย ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เถียงกันจะจริงหรือไม่จริงหรือแม้แต่ Musk จะพูดจริงหรือไม่ด้วยนะ
พูดรวมไปถึงอีกข่าว ที่พนักงานล้อมัสก์แล้วโดนให้ออกด้วย นั่นก็น่าจะถูกให้ออกโดยไม่ได้รับชดเชยเหมือนกัน
ผมเห็นด้วยก้บความเห็นคุณ TheOrbital ครับ
ขนาดไม่นับนับเรื่องละเมิดกฎฯ เรืองนี้เองพนักงานก็ "ไม่ควร" ที่จะไปตอบโต้แบบนั้น
เรื่องแบบนี้ก็ง่ายสำหรับ Musk เลยที่จะกรองเอาคนออกใน ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ด้วย
ติดกับดัก Musk เต็ม ๆ เลย...