Vi Bilägare นิตยสารรถยนต์ของประเทศสวีเดน ลองทดสอบ user interface ของระบบ infotainment ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่นิยมใช้จอสัมผัส แทนการใช้ปุ่มหรือลูกบิดเหมือนรถยนต์สมัยเก่า ว่าการใช้งานรูปแบบใดง่ายกว่ากัน
กระบวนการทดสอบของ Vi Bilägare ใช้รถยนต์ทั้งหมด 11 ยี่ห้อ วิ่งที่ความเร็ว 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในทางวิ่งของสนามบินที่ไม่มีรถยนต์อื่น โดยกำหนดโจทย์ให้ผู้ขับลองทำงาน 4 ประเภทตามที่กำหนด (เช่น ปรับอุณหภูมิ เปลี่ยนคลื่นวิทยุ) แล้ววัดระยะเวลาที่ทำงานเหล่านี้สำเร็จ
ผู้ขับมีโอกาสได้ลองใช้งานระบบ infotainment ของรถยนต์ล่วงหน้า เพื่อสร้างความคุ้นเคยในการสั่งงานก่อนเริ่มทดสอบ
ภาพจากเว็บไซต์ MG
รถยนต์ที่เข้าร่วมทดสอบมีทั้งหมด 11 รุ่น ได้แก่
นอกจากนี้ยังมีรถยนต์เก่าคือ Volvo V70 รุ่นปี 2005 เป็นตัวแทนระบบ UI แบบดั้งเดิมที่ไม่ใช้จอสัมผัส มาทดสอบเปรียบเทียบด้วย วิธีการทดสอบแยกคิดเป็น 2 ส่วนคือ ระยะเวลาที่ใช้ทำงานสำเร็จ (วัดเป็นวินาที) และคะแนน (เต็ม 5)
ผลการทดสอบเป็นไปตามคาดว่า Volvo V70 ได้คะแนนรวมสูงสุด 4.5/5 คะแนน ใช้เวลาทำงาน 4 ประเภทรวมกัน 10 วินาที น้อยที่สุดในรถยนต์ทุกรุ่น
รถยนต์รุ่นที่ได้คะแนนรวมรองลงมาคือ BMW iX ได้ 4/5 แต่ใช้เวลาค่อนข้างมากคือ 30.4 วินาที (เหตุผลเพราะไม่ได้พึ่งพาจออย่างเดียว มีปุ่มจริงประกอบด้วย แต่ใช้เวลามากเพราะ UI ใช้ยากและซับซ้อนมาก) ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้เวลารวมน้อยที่สุดคือ Dacia Sendero ใช้ 13.5 วินาที ตามด้วย Volvo C40 ใช้ 13.7 วินาที (ทั้งสองรุ่นได้รับคำชมเรื่องการออกแบบ UI ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน)
รถยนต์ที่ได้คะแนนรวมน้อยที่สุดคือ Volkswagen ID.3 ได้ 2.25/5 คะแนน เวลารวม 25.7 วินาที ตามด้วย MG Marvel R ได้ 2.5/5 คะแนน และใช้เวลารวมเยอะที่สุด 44.9 วินาที
Vi Bilägare ยังชี้ประเด็นว่าหน้าจอในรถยนต์หลายรุ่นไม่มี backlighting ส่องสว่าง, ฟีเจอร์สั่งงานด้วยเสียงก็ใช้งานสั่งไม่ได้ทุกอย่าง และสั่งไม่ได้ผลเสมอไป ในการทดสอบนี้จึงไม่ได้ทดสอบการสั่งงานด้วยเสียงด้วย, การมีหน้าจอขนาดใหญ่อย่างของ MG Marvel R ทำให้ผู้ขับต้องก้มต่ำลงมองจอมากกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่หน้าจอของรถบางรุ่น เช่น Mercedes GLB ที่ออกแบบให้พอดีกับสายตา ไม่ต้องก้มต่ำลงมากนัก
ภาพจาก MG Marvel R จากเว็บไซต์ MG
ภาพแผงคอนโซลหน้าของ Mercedes GLB จากเว็บไซต์ Mercedes-Benz
ที่มา - Vi Bilägare
Comments
มันต้องละสายตาเลยเป็นปัญหา อนาล็อกมันแตะๆแล้วก็.....
วิธีแก้ปัญหาคือสติ๊กเกอร์ปุ่มแปะหนะหละ (เบื้องต้น) แต่มันก็ลูกทุ่งเกิ๊นน
Apple ทำไงล่ะทีนี้
ผมละโคตรเกลียดระบบควบคุมต่าง ๆ ด้วยหน้าจอสัมผัส ชอบแบบ analog มากกว่า เพราะอย่างน้อยเราได้รู้สึกถึง feel ในการใช้งาน
การควบคุมฟังก์ชันบนหน้าจอสัมผัส มันทำให้ UX การใช้งานรถยนต์ในส่วนฟีเจอร์ต่าง ๆ มันเสียไปด้วย แถมมีโอกาสเรื่องอุบัติเหตุมากขึ้นอีก (tactile touch ไม่ช่วยอะไร)
Coder | Designer | Thinker | Blogger
จริง มันต้องละสายตาไปมองจอ
ในขณะที่แบบปุ่มถ้าใช้รถประจำ มันคลำได้ จำตำแหน่งปุ่ม กดได้หมดโดยไม่ต้องละสายตาเลย เช่นพวกเครื่องเสียง
เห็นหลายค่ายพยายามใช้การสั่งการด้วยเสียง ซึ่งที่ใช้มายังไม่ค่อยถูกใจฟังผิดฟังถูก ยกเว้นจะยกgoogle assistance มาใส่ แต่การพูดประโยคที่ซับซ้อนก็เสียเวลามากกว่ามือคลำปุ่มอยู่ดี
เอาจริง ๆ ทุกวันนี้ Google Assistant ยังทำงานได้ไม่เต็มร้อยเท่าไร ผมใช้กับ Android Auto แล้วพบว่ายังสั่งผิดสั่งถูกหลายรอบอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะตอนสั่งให้เล่นเพลงหลายเพลง
(และก็ยังมีบางพวกที่ยังไม่กล้าที่จะสั่งงานกับระบบคำสั่งเสียงพวกนี้ด้วยนะ)
Coder | Designer | Thinker | Blogger
คอมเม้นผิด
สวยอย่างเดียวไม่ค่อยมีประโยชน์ จะใช้ประโยชน์ได้ดี เมื่อมี Autopilot ใช้งานได้อย่างเต็มที่
เอาจริงคน design ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะ
มันน่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตมากกว่า
แบบเก่ามันตำแหน่งตายตัวไงไม่ต้องหันมาดูก็พอจะคล่ำๆ กดได้ หรือบางคนก็จำแม่นกดใช้ได้เลย แบบเจอมันต้องเสียเวลาหันมาดูอีกที ความรู้สึกการกดจอกับใช้แบบเก่ามันไม่เหมือนกัน แบบเก่ากดใช้แล้วมันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงได้ แต่จอกดแล้วก็เท่านั้น อาจจะมีเสียงก็ไม่ได้ช่วยอะไร
The Dream hacker..
ใช้แบบวงหมุนๆ กดๆ เหมือนของ mazda น่าจะพอช่วยลดการละสายตาได้ (มั้ง)
ยิ่งต้องมองจอ เพราะมันต้องเลือกเมนูจากจอ อาจจะยกเว้นพวกquick menu จำลำดับในใจได้
ไม่ต่างจากiDrive ของBMW ที่มีมาก่อน คือเมนูซับซ้อนมาก มันแค่แทนtouch screenที่ยังแพงมากยุคนั้นเท่านั้นเอง แต่รูปแบบการใช้งานก็ต้องมองจออยู่ดี
ทีมชอบหน้าจอสัมผัสใหญ่ ๆ 😅
เอาแค่เรื่องปรับแอร์ รุ่นใหม่พอเป็นปุ่มสัมผัสต้องละสายตามาดูถึงจะกดถูก
จากที่ผมใช้ Honda City ตัวปรับอุณหภูมิเป็น touch sensitive ส่วน infotainment เป็น touch screen สิ่งที่พบคือ
ผมแทบไม่เปลี่ยนไม่แตะอะไรพวกนี้ตอนกำลังขับรถเลย แอร์ก็เป็น auto ที่ตั้งอุณหภูมิเอาอยู่แล้ว (auto Temp ไม่ใช่ auto temp and fan) ซึ่งทำได้ดีในการรักษาอุณหภูมิ ถ้าจะปรับความแรงพัดลม ผมสามารถเอื้อมมือไปปรับได้เพราะจำตำแหน่งได้ไม่ยากอะไร
ส่วนของ infotainment จะเปลี่ยนเพลงหรือเพิ่มลดเสียง ผมกดจากปุ่มที่พวงมาลัยเอา (ซึ่งเข้าใจว่ารถพวกนี้ก็ยังมีอยู่เหมือนกัน) และไม่ได้ฟังวิทยุมาหลายสิบปีแล้ว 555
เลยรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ค่อนข้าง overrated
"ผมกดจากปุ่ม"
พูดถึงแอร์ด้วยสิ อุตส่าห์ยกตัวอย่างว่าไม่มีปัญหากับ touch sensitive อย่างที่ว่ากัน 🤣
อีกอย่าง รถในการศึกษานี้มันก็ยังมีปุ่มบนพวงมาลัย แต่สรุปว่ามันเป็น “รถสมัยใหม่ใช้จอสัมผัส ใช้ยากกว่าอย่างชัดเจน” ผมก็เลยยกตัวอย่างว่ามันไม่ได้ยากนี่หน่า
เอาจริงๆมันควรจะสรุปว่า “รถรุ่นใหม่ที่ออกแบบ UI ดีใช้งานง่ายเหมือนเดิมแม้จะเป็น touchscreen” รึเปล่า 555
โอเคครับ ต้นทางมีพูดถึง
ลองเปลี่ยนพวงมาลัยเป็น touchscreen ไหมครับ ?
ผมมองงี้นะ
คุณไม่กด ไม่ปรับ ไม่ได้แปลว่ามันใช้ง่าย Touch screen ยังไงก็ใช้ลำบากกว่า Physical button โดยเฉพาะเวลาขับรถ
งานวิจัยมันก็ตรงตัวนะ ปุ่มใช้ง่ายกว่า Touch screen
มองลงไปลึกๆจะพบว่าทำไมรุ่นใหม่ๆเปลี่ยนมาใช้ Touch screen ก็ตอบได้เต็มปากเลยว่า "ลดต้นทุน"
ผมอยู่กับรถคันปัจจุบันของตัวเองนานพอจนจำตำแหน่งปุ่มได้
เพราะงั้นเวลาปรับแอร์ กดโน่นนี่ เอามือไปคลำๆเองแล้วก็รู้ว่าปุ่มไหนคือตรงไหน แต่มันต้องมีปุ่มให้คลำได้ก่อน
ถ้ามาสัมผัสหมดคิดว่ายังไงก็ต้องหันไปมอง ซึ่งไม่เหมาะกับการขับรถ
เหมือนกันกรณี surface touch keyboard เมื่อหลายปีที่แล้ว
ถึงคนจะพิมพ์สัมผัสได้ แต่พอไม่มีปุ่มมาเป็นตัวสร้างขอบเขต มันก็ใช้ไม่สะดวกอยู่ดี
ถ้าจะให้ดีต้องไปถึงแบบสั่งการด้วยเสียงเลย แล้วเอาปุ่มกดยืนยันคำสั่งไว้ใกล้มือซักข้างก็ได้
เรื่องจริง ชอบแบบมีปุ่มให้กด ใช้ง่ายกว่า เมนูซับซ้อนยังจำและตั้งค่าได้โดยไม่ต้องดู (นับเอา หมุนกี่ครั้ง กดกี่ครั้ง)
จริงแล้วเป็นแผนการตลาดที่จะขาย panel แบบปุ่มแยกต่างหาก #iAnalog :D
บนรถนี่จริงเลยย ปุ่มแอนาล็อกสะดวกกว่า
..: เรื่อยไป
เอามาใช้ในไทยน่าจะไม่ได้ผล เดี๋ยวก็มีกล่องปลดล๊อคความเร็ว เหมือนกับรถกระบะติดกล่องดันราง
เห็นด้วยครับ ปุ่มกดธรรมดามันใช้งานง่ายกว่าจอสัมผัสจริงๆ ใส่จอกลามแบบนี้ เป็นแค่การลดต้นทุนซะมากกว่า
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ผมว่าสมัยนี้เรียกว่าลดต้นทุนมากกว่า
อะไรๆ ใช้โปรแกรมเมอร์เพิ่มทำปุ่ม อยากได้ปุ่มอะไรไรก็ใส่เข้าไปบนจอง่ายดี ไม่ต้องทำ physical ขึ้นมา สายไฟไรก็ประหยัด วิ่งเข้ากล่องคอมกลางอันเดียว
รถที่จะใช้หน้าจอมีระบบสัมผัสได้ ควรมี Auto Pilot ช่วยเพราะเราต้องละสายตาไปกดปุ่ม
แต่เอาจริง ๆ มันควรมีผสมกัน โดยเฉพาะพวกที่ต้องใช้เวลาน้อยในการหาอย่างปุ่มไฟฉุกเฉิน (อันนี้ตัวอย่างชัดสุด)
แต่หน้าจอมันก็ดีถ้าสามารถ Customize ได้ เพราะแต่ละคนก็ใช้งานต่าง ๆ กันไปบางคนขับรถมาแทบไม่เคยปรับแอร์เลย บางคนไม่เคยใช้วิทยุเลยก็มี ถ้ามันปรับให้สิ่งที่ใช้บ่อย ๆ กดง่ายขึ้นสิ่งที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ซ่อนไว้ แบบนี้อาจจะกดง่ายขึ้นกว่าเดิมก็ได้
ใช้จอสัมผัสแล้วลำบากมาก ยิ่งถ้าเจอเจอที่การทัชมันห่วยๆ มันยิ่งลำบากหนักเข้าไปอีก ยังไม่ร่วมปุ่มแบบ touch ที่ทำให้เรากะทั้งตำแหน่ง และจำนวนครั้งที่เราแตะมันไม่ได้
โชคดีหน่อยที่รถเรายังมีอะไรพวกนี้ไม่มาก
ต่อไป รถรุ่น top จะมีตัวเลือก จ่ายเงินเพิ่ม เพื่อใช้งานปุ่มจริง
คิดค่าใช้ปุ่มจริงเป็นรายเดือนด้วย
รถมันไม่นิ่ง กดไม่โดน กดไม่ถูก
ผมว่าทำแบบ Ford Everest ตัวใหม่ก็โอเคนะ
มีปุ่มเพิ่มลดแอร์ให้ ที่เหลือจะปรับอะไรก็ไปปรับในจอ
ยังไงก็มีปุ่มบนพวงมาลัยเอาไว้คุมเพลงอยู่แล้ว
ใครบอกว่า "ใช้ทัชสกรีนง่ายกว่า" แนะนำให้ลองเปลี่ยนพวงมาลัยเป็นทัชสกรีนครับ :)
ปล. ก็คงมีคนตอบว่า "เดี๋ยวนี้รถมันวิ่งเองได้แล้ว" สินะ
เอาจริง ๆ แค่ yoke steering ก็เล่นปวดหัวมารอบหนึ่งแล้วนะ ถ้าหากเอา touch-controlled steering อีกน่าจะฉิบหายแน่นอน
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ตัวมันเล็ก กดผิด กดถูก รำคาญมากเหมือนกัน
นอกจากเรื่องใช้ยาก กดยาก ต้องละสายตาแล้ว
มันมีเรื่องความเสถียรด้วยนะครับ อย่าง MG นี่เจอกันเยอะมาก จอเอ๋อ จอค้าง ปรับอะไรไม่ได้เลย หรือแม้แต่ Volvo ก็ยังเจอครับ
พอเป็นรถแบบปุ่มๆ ปัญหาพวกนี้แทบไม่เจอเลย ใช้จนปุ่มพังไม่ก็แอร์พังกันไปข้างนึง
คือถ้า Setting รถ เอารวมไว้ในจอได้นะ
แต่ปุ่มที่ต้องกดบ่อยๆ อย่าง เพิ่มลดเสียง ปรับแอร์ ปรับที่ปัดน้ำฝน อยู่ในจอมันไม่ไหวจริงๆ รบกวนการขับขี่มากไป
ผมหวังว่าหลังจากบทความนี้ออกมา ค่ายรถจะพยายามปรับบ้างนะครับ เพราะรู้ว่าเรื่องพวกนี้เราก็รู้ ๆ กันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็ถูกละเลยมาเรื่อย ๆ