บริษัทสำนักพิมพ์การ์ตูนรายใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง โคดันชะ, ชูเอชะ, โชกะคุคัง และ คาโดคาวะ เตรียมรวมตัวกันฟ้องผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง Cloudflare ที่ศาลเขตโตเกียวในสัปดาห์นี้ ข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์โดยการโฮสต์เว็บไซต์ที่เปิดให้อ่านการ์ตูนเถื่อน มียอดวิวรวมกันกว่า 300 ล้านวิว และมีการ์ตูนกว่า 4,000 เรื่อง โดยจะเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 400 ล้านเยน หรือราว 115.5 ล้านบาท
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ 4 สำนักพิมพ์ใหญ่ฟ้อง Cloudflare เพราะก่อนหน้านี้มีการฟ้องร้องเว็บอ่านการ์ตูนเถื่อน Hoshi No Romi ที่อยู่บน Cloudflare ไปแล้วครั้งหนึ่งในปี 2019 ก่อนจะตกลงไกล่เกลี่ยกันสำเร็จในปี 2020 โดย Cloudflare จะหยุดการเก็บไฟล์แคช (Cache) บนเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่นสำหรับเว็บไซต์อ่านการ์ตูนเถื่อน หากทางศาลเขตโตเกียวได้ทำการตัดสินว่าเว็บใดทำการละเมิดลิขสิทธิ์จริง
ดูทีท่าว่าการหยุดการเก็บไฟล์แคชแค่บนเว็บอ่านการ์ตูนเถื่อนในญี่ปุ่นน่าจะยังไม่พอ เพราะยังมีเว็บไซต์การ์ตูนเถื่อนอีกมากที่อาจอยู่นอกประเทศญี่ปุ่น หรือ Cloudflare อาจจะยังไม่พยายามอย่างจริงจังพอที่จะหยุดให้บริการเว็บอ่านการ์ตูนเถื่อน เป็นที่มาของการฟ้องร้องครั้งใหม่โดย 4 บริษัทเดิมในรอบนี้
ที่มา - Japan Today
Comments
ยุคนี้มาเล่นไล่จับไม่น่าจะไหวแล้ว ต้องเปลี่ยนเป็นขายให้อ่านหรือยังไงก็ได้ให้ได้ผลประโยชน์ของการมี internet แบบนี้
เขาก็มีขายแล้วนะครับ ชูเอฉะก็ทำแอพอ่านการ์ตูนฟรีๆ อ่านได้นอกญี่ปุ่นด้วย พวกสิทธิ์การขายแบบ online ก็มีเป็นปกติหมดแล้ว
แต่สุดท้าย มันก็ยังมีคนเปิด web เถื่อน และก็ยังมีคนอ่านอยู่ดี ยังไงก็ต้องจับแหละครับ
หลักๆ น่าจะเป็นเพาะตอนนี้มีแต่เจ้าใหญ่ๆ เท่านั้นที่มีแบบแปล+แถมอ่านฟรีแบบมีเงื่อนไข
ส่วนเจ้าอื่นๆ จะเป็น JPN ล้วน แถมลงเฉพาะ JP Store
คนชอบอ่านเถื่อนก็เน้นสะดวก แบบอ่านที่ไหน platform ไหนก็ได้เลยติดอยู่กับเว็บเถื่อนยาวๆ
เคยคิดเล่นๆ นะว่าทางแก้ก็แค่ง่ายๆ คือให้รัฐมัดมือทุกเจ้ามาลงในเว็บเดียว แล้วเปิดอ่านฟรีครั้งแรกแข่งกับเว็บเถื่อนตรงๆ ไปเลย
แต่ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ในความจริง
อีกอย่าง คนจะขโมยยังไงเค้าก็ขโมยอยู่ดี ต่อให้มันฟรีก็เถอะ
ทำแบบนั้นไม่ไหวหรอกครับ
ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วคือ Muse [ตัวแทนลิขสิทธิ์อนิเมะรายใหญ่ในภาคพื้นเอเชีย (รวมถึงไทยด้วย)] ที่เอาอนิเมะลง YouTube ยังบอกเองเลยว่าแทบจะไม่มีรายได้จากการดูใน YouTube เมื่อเทียบกับขายสิทธิ์ให้แอพอื่นเอาไปฉาย ยังมีรายได้มากกว่า (อ่านจากบทสัมภาษณ์มา) แต่กับกรณี Muse เลือกที่จะยังทำเพราะอยากให้มีผู้คนได้รับชมอนิเมะเป็นวงกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าอนิเมะเรื่องไหนฉายไม่ได้ เช่น พวก ดาบพิฆาตอสูร , ผ่าพิภพไททัน ฯลฯ หรือเรื่องที่มีอนิเมะพากย์ไทย ก็ต้องลงในแอพที่ Muse ขายสิทธิ์ไปแทนครับ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
Muse มีรายได้หลายทางครับ นำเข้าสินค้า anime ด้วย
และไม่ได้แค่จับตลาดประเทศเดียว ก็เลยอยู่รอดได้
และก็ถ้าจะต่อสู้กับละเมิด ต้อง seo ดีกว่านี้
เพราะตอนนี้search google นี่ไม่รู้เลย เริ่องไหนมีลิขสิทธิ์ในไทยบ้าง
ส่วนมังงะก็ คงต้องเน้น ลงแต่ละประเทศเหมือนอนิเมะ
ยังไงถ้าเว็บถูกลิขสิทธิ์มีภาษาที่อ่าน อ่านฟรี search แล้วเจอ ยังไงคนด็ชอบอ่านมากกว่าเว็บเถื่อน โหลดช้า มีแต่โฆษณา
แต่บอกเลย แบบ webtoon นี่ก็หน้าเงินเกิน ของเดิมอ่านได้ ตอนนี้อ่านไม่ได้ ต้องจ่ายตัง
คงต้องใช้พวกเว็บภายนอกที่รวบรวมมาให้ อย่าง AniINFO ในเฟซบุค หรือ anime-os แบบเว็บครับ (สำหรันอนิเมะ)
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
เสริมครับมี hareshi.net อีกเว็บ
บล็อก: nitpum.com
cloudflare คงต้องทำ AI ไล่ตรวจอัตโนมัติแบบ gg yt fb ละมั๊ง
ซึ่งภาพนิ่งน่าจะสร้างง่ายกว่าวีดีโอนะ ?