ช่วงนี้แอปเปิลตกเป็นข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อพนักงานหลายประเด็น ก่อนหน้านี้คือการห้ามตั้งห้อง Slack คุยกันเรื่องการกลั่นแกล้งและเหยียดในที่ทำงาน จนพนักงานต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง Tim Cook
ล่าสุดมีพนักงานหญิงอีกราย ชื่อ Ashley Gjøvik มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการอาวุโสงานวิศวกรรม (Senior Engineering Program Manager) ได้ระบุว่าเธอถูกแอปเปิลไล่ออกด้วยเหตุผลที่เธอเปิดเผยข้อมูลลับของบริษัท
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา Ashley ทวีตเกี่ยวกับเรื่องการเหยียด, การสอดแนมพนักงาน และความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน โดยเธอระบุว่าเริ่มชูประเด็นด้านความปลอดภัยในสถานที่ทำงานมาตั้งแต่เดือนมีนาคม แต่ถูกตอบโต้และข่มขู่กลับทันที เธอจึงเตรียมตัวว่าอาจจะถูกไล่ออกได้ และมันก็เกิดขึ้นจริง
Ashley บอกว่าเธอเป็นห่วงสุขภาพเพราะสำนักงานแอปเปิลที่เธอประจำอยู่นั้นเคยมีประวัติการปนเปื้อนของของเสีย รวมถึงเธอยังโดนเหยียดและกลั่นแกล้งจากหัวหน้าและสมาชิกทีม นอกจากนี้เธอยังไม่สบายใจกับนโยบายที่แอปเปิลบังคับให้เชื่อม Apple ID ส่วนตัวของพนักงานเข้ากับบัญชีที่ทำงาน เพราะเมื่อ 3 ปีที่แล้วเธอเคยโดนฝ่ายกฎหมายบังคับให้ส่งข้อความแชททั้งหมดไปให้ และห้ามลบข้อมูลใดๆ ออกก่อน เธอแย้งว่าแชทเหล่านี้เป็นของส่วนตัวมาก เพราะมีแม้กระทั่งรูปโป๊ของตัวเธอเองอยู่ด้วย แต่ฝ่ายกฎหมายก็ไม่ยอมและบังคับให้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้ เพียงแต่ระบุว่ามันจะถูกเก็บอยู่ใน "ล็อคเกอร์หลักฐานถาวร"
Sooo, #Apple has pics of my boobs. During a discovery thing 3yr ago, legal forced me to hand-over all my texts. They refused to let me delete anything, even "fully personal," even when I said "by fully personal I mean nudes." They said they're in their "permanent evidence locker"
— Ashley M. Gjøvik (@ashleygjovik) August 19, 2021
Ashley ขอหยุดพักงานเมื่อต้นเดือนสิงหาคมระหว่างที่แอปเปิลสอบสวนเรื่องทั้งหมด และเมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่จากแอปเปิลส่งอีเมลถึง Ashley ว่าขอพูดคุยกับเธอในเรื่องนี้ทันที แต่เธอตอบกลับไปว่าขอคุยทางอีเมลแทนเพราะจะได้มีหลักฐาน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวตอบกลับมาว่า Ashley ไม่ให้ความร่วมมือจึงจะสอบสวนเรื่องนี้ต่อด้วยข้อมูลที่มีอยู่ พร้อมทั้งปิดการเข้าถึงระบบภายในของแอปเปิลทันที
Any bets if I get a literal knock on my physical door from #Apple today? pic.twitter.com/oFqw4VFaGi
— Ashley M. Gjøvik (@ashleygjovik) September 9, 2021
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง Ashley ก็ได้รับอีเมลอีกฉบับว่าเธอถูกให้พ้นสภาพการเป็นพนักงาน มีผลในวันถัดไป
ด้านโฆษกของแอปเปิลได้บอกกับเว็บไซต์ The Verge ว่าแอปเปิลพยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน และสอบสวนทุกเรื่องอย่างเต็มที่ แต่จะไม่กล่าวถึงพนักงานคนใดคนหนึ่ง
ที่มา - The Verge
Comments
นอกประเด็นนิดนึง เห็นว่า “แต่เธอตอบกลับไปว่าขอคุยทางอีเมลแทนเพราะจะได้มีหลักฐาน” มองกลับมาที่ไทย อีเมลล์ใช้เป็นหลักฐานได้ไหมครับ หรือมีกฎหมายอะไรรองรับรึยังครับ อยากรู้จริงๆ ?
ไลตกลงยืมเงิน สามารถเอาข้อความในไลมายืนยันฟ้องร้องได้ตามข้อมูลที่ตกลง อยู่ในรูปแบบ สัญญาอิเล็กโทรนิก อีเมลก็น่าจะไม่ต่างกัน
https://youtu.be/CKQf3-WLnNc
คลิปพี่เอ็ดน่าจะเคลียร์อยู่ครับ
ได้ครับ มี พรบ. ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มีฎีกาเป็นแบบอย่างอยู่ครับว่าใช้ได้
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
กดไลค์ยังเป็นหลักฐานได้เลย เมล์ก็น่าจะเป็นนะครับ
แอบมึนตรง เอารูปโป้ตัวเองใส่ในไอดีที่ใช้ทำงาน
เดาว่าคงอยู่ใน ID ตัวเองนั้นแหละครับ
id ส่วนตัวครับ แต่โดนบังคับให้เอา id ส่วนตัวผนวกเข้ากับระบบของที่ทำงาน
งงๆ ตรงเอาIDส่วนตัวเชื่อมกับที่ทำงาน และเก็บรูปลับๆในนั้นนี่แหละ เพิ่มเติม ว่างงตรงที่บังคับให้เชื่อมID ส่วนตัว ซึ่งจริงๆุไม่น่าจะบังคับได้ ถ้าไม่ได้เอาapple deviceส่วนตัว ไปใช้ในพื้นที่การทำงาน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นความลับ
คือจริงๆควรจะแยกกันไปเลยนะ อย่างบางสถานที่ที่ sensitive เรื่องconfidential มากๆเช่นห้องควบคุม server สำคัญ เขาห้ามเอามือถือส่วนตัวเข้าไปในห้อง/zoneเลยด้วยซ้ำ แต่จะมีเครื่องของแผนก ให้ใช้ต่อทำงานได้(แต่ล็อค ลงอะไรไม่ได้ และmonitorตลอด)
เข้าใจว่านโนบาย BYOD(Bring your own device) มันก็ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในสถานะของเครื่องส่วนตัวที่ใช้ทำงานด้วย และสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลอื่นๆในเครื่อง เครื่องส่วนตัวก็จริงแต่เข้าถึงemail/ความลับในการทำงาน มันก็พูดยากว่า การเข้าถึงข้อมูลในเครื่องนี้ควรเป็นสิทธิ์ของใครบ้าง?
อย่างบ.ทั่วๆไปข้างนอก แม้แต่การ ลงVPN app ของบ.ในมือถือ แล้วขอสิทธิ์ยุบยับ(ถ้าจำได้มีสิทธิ์wipeเครื่องด้วย) ก็ดูจะหมิ่นเหม่ว่าจู่ๆจะมาบังคับล้างเครื่องเราได้ไง แต่ปัจจุบันดีappตัวใหม่ๆที่มันแยกชุดแอพ/ข้อมูลกัน เป็นtab งาน/ส่วนตัวไปเลย(กรณีandroidที่เคยใช้) โดยตอนลงระบุชัดเจนว่าจะมองไม่เห็นข้ามกัน คือบ.จะสามารถเข้าถึง folder ของworkและบันทึกการทำงานของapp ในกลุ่มworkได้และข้อมูลประจำเครื่อง แต่จะไม่เห็นข้อมูลสำคัญส่วนตัวอื่นๆหรือรูปถ่ายส่วนตัวแบบสมัยก่อน
แต่ก็มีช่องโหว่อีกเรื่องที่มีในไทย คือการใช้ Line ในการทำงาน บ.ไทยๆยังใช้คุยงานกัน ข้อมูลลงลับอะไรคุยกันในนั้นหมด และใช้ id เดียวกับ idส่วนตัว(เพราะปกติมันใช้ได้แค่ id เดียวต่อเครื่องยกเว้นบางเครื่องที่รองรับclone app)
ไม่ได้แยกไอดีกันเหรอ งง
《 นอกจากนี้เธอยังไม่สบายใจกับนโยบายที่แอปเปิลบังคับให้เชื่อม Apple ID ส่วนตัวของพนักงานเข้า 》
ในเนื้อข่าวเขาก็บอกชัดเจน
*เห็นหลายคนมาก งง กับตรงนี้
ไม่งง แต่แปลกใจ
จะบังคับได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ใช้IDส่วนตัวนั้นระหว่างงาน?
ให้เดาคือจะใช้มือถือส่วนตัวต่อVPN เข้าเช็คemail งาน เลยต้องผูกID ส่วนตัวเข้าไปด้วย?
พนงญ - ฝ่ายกฎหมายไม่ยอมแล้วไง ตรูจะลบ
ฝ่ายข้อมูล - data recovery complete.
เตรียมระบบสแกนรูปโป๊เครื่องลูกค้าเพราะกลัวว่าจะเอาไปก่ออาชญากรรม แต่บริษัทตัวเองเก็บรูปโป๊พนักงานได้โดยไม่ต้องมีconsent
เรื่องนี้ยังมองกลางๆ ยังแปลกใจเรื่องบังคับเชื่อม Apple ID ส่วนตัว
บังคับให้ทำจริงๆ ได้หรอ...ไปอ่านภาคแรกจาก The Verge มาละ
เหมือนบางเคสบังคับ แต่ส่วนมากเหมือนจะเป็นแนะนำ และกดดันกลายๆ
ว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องทำงานแยกกับเครื่องส่วนตัว ใช้อีเมลล์งาน มาสมัครก็ไม่ได้
Process ในงานทำงาน และตัว OS เองที่ทำให้หลายคนมองว่ามันยุ่งยากที่จะพกหลายเครื่อง
สุดท้ายพอมีปัญหาเกี่ยวกับ Lawsuit พอไม่ได้แยกเครื่องก็ถูกบังคับให้ส่งให้ทีมกฎหมายแบบห้ามลบ
น่าจะกดดันด้วยเงื่อนไขแลกกับการได้ทำงาน ทุกบริษัทมีมุมแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ได้งาน ก็ไม่ได้เลื่อนขั้น เงินเดือนไม่ขึ้น สารพัดรูปแบบ
หลายๆเรื่องมันเป็นประเด็นเรื่องความลับของที่ทำงาน ดูจากแผนกที่ทำในข่าวยิ่งต้องรักษาความลับ เอาแค่ในไทย อย่างที่เล่าไปข้างบน บางห้องควบคุมก็ห้ามเอามือถือส่วนตัวเข้า
หรือแม้แต่โรงงานผลิตอุปกรณ์electronicsในไทยเอง ส่วนใหญ่ก็ห้ามเอาของส่วนตัวเข้าlineการผลิตเลยด้วยซ้ำ ต้องเก็บของเข้าล็อคเกอร์หมด ชุดเปลี่ยนไปแบบไม่มีกระเป๋าเลย ให้ใช้ได้เฉพาะเวลาพัก ออกมาข้างนอก
ถ้าคิดว่ายอมรับเงื่อนไข จะอ้างว่าโดนกดดัน หรือแกมบังคับ เพราะกลัวไม่ได้งาน มันก็ต้องป้องกันตัวเองด้วย จริงๆถ้าไม่ใช่ตำแหน่งเด็กจบใหม่ การแยกมือถือเพื่อใช้ในการทำงาน กับมือถือส่วนตัว ไม่น่าจะลำบากมากนะครับ หรือแม้แต่รู้ตัวว่า กำลังใช้ระบบของบ.ที่มีสิทธิ์เข้าถึงอยู่นะ จะเก็บของส่วนตัวที่ถ้าหลุดไปเกิดความเสียหายเยอะก็คงไม่ใช่
อย่างที่บอกไป นโยบายBYOD มันทำให้เส้นแบ่ง ของส่วนตัวกับของที่ทำงานไม่ชัดเจน มือถือเรานะ คนอื่นไม่มีสิทธิ์อ่าน กับคุณใช้มือถือเข้าระบบภายในบ.นะ บ.ก็มีสิทธิ์ตรวจสอบข้อมูลภายใน ว่าเกิดการละเมิดอะไรไหม ซึ่งคนก็แย้งว่าก็ตรวจได้แต่ห้ามละเมิดสิทธิ์ไปดูของส่วนตัว ปัญหาคือจะแยกได้อย่างไรว่าอะไรคือของส่วนตัว ไม่ใช่แค่อ้างเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน?
ยังไม่นับแบบละเมิดเต็มๆ เช่นเอาlaptop ของบ.ไปเล่นเกม ไปเข้าเวบ18+ หรือแม้แต่เอาไปติดต่องานส่วนตัว(ช่างกล้า)พอเจอระบบเก็บlog หรือโดนยกมาเพื่อให้ใบเตือนว่าทำผิดกฎบริษัทก็โวยวายว่าละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือสอดแนมพนักงาน?
แต่เรื่องนี้พอเป็นข่าวดังแล้ว ผลก็อาจจะออกมาอีกแบบ ยิ่งกับเมกาที่ยึดถือสิทธิมากๆ ก็อาจต้องมีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงกันใหม่
น่าจะตอบไปแบบนี้ "ใช้ android ค่ะ มี account นะจะให้เชื่อมไหม"
น่าจะไม่ได้เข้าทำงานตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ ถ้าตอบแบบนี้
คุณต้องอาบัติปาราชิก ต้องออกจากบริเวณนี้โดยด่วน
ถึงแม้จะเป็นการฟังความข้างเดียว แต่ก็น่าคิดว่าถ้า Apple ทำแบบนี้กับพนักงานทุกคนในบริษัท ยังจะมีคนอยากทำงานกับ Apple Inc. ไหม?
ถ้าต้องทำงานในที่ทำงานที่มีการ tracking ทุก activities คงไม่สนุกเท่าไหร
บริษัท IT ใหญ่ๆ คงเป็นแบบนี้หมด
apple มีพนักงานเป็นหมื่นคนทั่วโลก คิดว่ามีคนอยากทำงานกับ apple มั๊ยครับ