มีความคืบหน้าคดีฟ้องร้องโดย Scarlett Johansson นักแสดงนำหนัง Black Widow ฟ้องร้องบริษัทดิสนีย์ จากการสตรีมหนังใน Disney+ ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ในฐานะนักแสดง โดยทนายความของดิสนีย์ร้องต่อศาลเพื่อระงับข้อพิพาทหรือ อนุญาโตตุลาการ
เนื้อหาส่วนหนึ่งในคำร้องของทนายความดิสนีย์ระบุว่าตามสัญญาระบุว่า ตัวหนังจะต้องมีการฉายในโรงหนังไม่ต่ำกว่า 1,500 จอ ซึ่งหนังเรื่องนี้เปิดตัวจริงมากกว่า 9,600 จอในสหรัฐอเมริกาและกว่า 30,000 จอทั่วโลก นอกจากนี้ ทนายความของดิสนีย์ยังมีปัญหากับคำกล่าวอ้างของ Johansson ที่ว่าเธอสูญเสียรายได้จากโมเดลฉายหนังคู่กับสตรีมมิ่ง ซึ่งไม่ได้ระบุแน่ชัดในสัญญา
ยังไม่รู้แน่ชัดว่าฝั่ง Johansson จะยอมรับการระงับข้อพิพาทหรือไม่ แต่ The Hollywood Reporter รายงานอ้างคำสัมภาษณ์ทนายความ John Berlinski ว่า Marvel ให้สัญญาว่าจะฉาย Black Widow ในโรงทั่วไปเหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆ และยืนยันว่า Disney+ จะไม่เข้ามากินส่วนแบ่งเพื่อหวังเพิ่มยอดผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม ทางทนายความตั้งตารอจะยื่นหลักฐานเพื่อพิสูจน์คดีนี้ต่อไป
คดีนี้เป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง ที่ไปไกลกว่าการเปรียบเทียบประสบการณ์ระหว่างดูหนังในโรงและสตรีมมิ่ง แต่ยังรวมถึงรายได้นักแสดงและทีมงานผู้สร้างหนังด้วย
ที่มา - The Verge
Comments
เจอแบบนี้โรงทั่วไปยอดมันตกไปเรียบร้อยแล้วเนี่ยสิ
จากปัญหาโควิดทำให้รูปแบบการฉายแบบเดิมไปคาดหวังรายได้แบบเดิมก็คงไม่ได้ ก็ขอให้เจรจาจบสวย ๆ กันนะ เพราะทั้งเจ้าของหนัง นักแสดง และผู้ที่เกี่ยวข้องก็ดิ้นรนเอาตัวรอดเหมือนกันแหละ
ฉายแบบสตรีมมิ่งพร้อมกับฉายโรง ยังไงก็มีผล มันเล็งเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่แรกแล้ว
กะตีหัวเข้าบ้านแต่นักแสดงไม่ยอมเป็นหมูให้เชือด
หนังดิสนีย์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะของค่ายนี้อ่ะ เดารุปแบบได้เลยว่าจบแบบไหน เดาเนื้อเรื่องได้ง่ายมาก ดูไมกี่รอบก็เบื่อ และดูซ้ำน้อยมากเพราะไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำมากนัก เทียบกับ Band of Brothers, Mr.Robot Ruroni Kenshin และอื่นๆยังมีความน่าจดจำ และดูซ้ำได้อีกหลายรอบ
แต่มันเป็นสูตรสำเร็จที่พัฒนาด้วยดาต้ามาแล้วครับ ว่าขายได้ดีกว่าแน่ๆ เขาไม่สนหรอกว่าแฟนๆ จะดูกี่รอบ ถ้ารวมแล้วแบบนี้ได้ตังเยอะกว่า ก็ทำแบบนี้
จะว่าไป ดิสนีย์ รวมทั้งเครือภายใต้ใช้วิธีนี้มาซักพักนึงแล้วครับ วางแผนอย่างกับขายบ้านหรือขายเสื้อผ้ามากกว่าขายศิลปะ มีการวางแผนว่าหนังจะออกกี่เรื่องๆ อยู่ในชุดไหนสลับไปมา เหมือนบริษัทรถวางแผนว่าอนาคตจะออกโปรดักส์ปีไหน ไลน์ไหน รุ่นไหน
รสนิยมของคนเราไม่เหมือนกันครับ Band of Brothers ผมดูแล้วก็เฉยๆ
จุดประสงค์ของหนังแต่ละเรื่องแต่ละแนวมันก็ไม่เหมือนกันน่ะครับ ไม่ใช่ทุกคนจะชอบดูหนังล้ำลึกที่ดูซ้ำได้หลายรอบ
และที่ยกตัวอย่างมานานเป็นซีรี่ไป 2 เรื่องแล้วนะครับ ในมุมมองของคุณมันอาจจะเป็นหนังตอนเดียวกับหนังหลายตอน แต่เนื้อในมันต่างกันเยอะมากครับ แล้วอันนึงก็หนังสงครามที่รู้ตอนจบอยู่แล้ว อีกอันสร้างจากการ์ตูนที่เราก็รู้ตอนจบแล้วเช่นกัน คนจะชอบไม่ชอบ ดูซ้ำกันกี่รอบ มันเรื่องส่วนบุคคล จะวางว่าหนังประเภทนั้นดี หนังประเภทนี้ไม่ดี มัน self centered ไปหน่อยอ่ะครับ หนังดูง่ายก็มีคุณค่าของมันครับ หนังค่าย Marvel นี่ดูง่ายทุกเรื่อง แต่เห็นดูจบก็มานั่งถกเถียงกันต่อทุกที แถมทำรายได้หลักพันล้านไปหลายเรื่องอยู่
รสนิยมคนเราไม่เหมือนกันครับ บางคนไม่ได้ต้องการอะไรที่มันย่อยยาก น่าจดจำต้องไปดูซ้ำ เพราะบางคนก็ถือว่าภาพยนตร์เป็นสิ่งบันเทิง ดูเพื่อคลายเครียด ไม่ต้องคิดเยอะ และสูตรสำเร็จที่ดิสนีย์ทำมันเข้าถึงคนส่วนใหญ่ง่าย
ส่วนตัวผมดูได้หมดหนังรางวัล หรือหนังตลาด
Band of brother นี่ขอเห็นต่างครับ เพราะผมดูแค่รอบเดียว ไม่ได้น่าจดจำอะไร
ผมดูหลายรอบนะ ดูเพื่อเก็บตกความเชื่อมโยงระหว่างเรื่อง เพราะเค้าคิดมาค่อนข้างดีว่าจะให้มีอะไรเชื่อมต่อกันยังไง แถมมันเชื่อมโยงกันไปหลายเรื่องมาก ดูแล้วดูอีกก็สนุก และก็ไม่เห็นว่าตอนจบมันจะเดาได้ทุกเรื่อง อย่าง infinity war นี่จบแบบอึน ๆ เลย อ่ะ ถ้าเถียงว่าก็มันยังไม่จบไง งั้นไปต่อ end game ก็ได้ จบแบบมีคนตาย และตัวหลัก ๆ เกษียณออกไป อันนี้ก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน (ถ้าไม่ได้ไปตามข่าวว่าโรเบิร์ต ดาวนี่ จูเนียร์ แกหมดสัญญาแล้วอะนะ) ไหนจะช่วงแถมหลังเครดิตที่ชวนให้มานั่งถกกันต่อว่ามันจะบอกอะไรวะ เรื่องต่อ ๆ ไปมันจะไปทางไหนวะอีก
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
แบ่ง ยอด สตรีมมิ่งให้ก็จบ ละ งกจัง
ประเด็นคือต้องแบ่งเท่าไหร่นี่แหละครับ คือมันก็ตัดสินได้ยากว่ายอดที่ได้ของสตรีมเกิดจากหนังแต่ละเรื่องแค่ไหน แถมข้อมูลสตรีมมิ่งส่วนใหญ่เค้าก็ไม่ยอมเปิดเผยกันครับ
เรื่องนี้เค้าขาย Premier access ครับ ดูครั้งละ 29.99 เพราะงั้นยอดมันรู้ได้ตายตัวครับ ว่าคนจ่ายเท่าไร
แต่ถ้าจำไม่ผิดเหมือนดิสนีย์จะแบ่งยอดให้นะครับแต่ว่าที่เขาฟ้องเพราะว่าไม่ได้ตกลงจะเอาลง disney plus ตั้งแต่แรกทำให้รายได้ที่คาดว่าจะมาจากโรงหนังลดลงเขาฟ้องตรงนี้ ว่า disney เอาหนังชนโรงไปโปรโมท disney plusโดยที่ไม่ได้ระบุไว้ตั้งแต่แรก
https://www.blognone.com/node/123969
เห็น เควิน ไฟกี ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอยู่ข้างสกาเลต แบบนี้ Disney ก็ต้องเกรงใจบ้างแหละ
เพราะตอนแรกท่าทีแบบแข็งกร้าวมาก ตอนนี้ท่าทีอ่อนลงมาบ้างละ
ดีครับ หมั่นไส้ดิสนีย์ หลังๆทำตัวกร่างไม่น่ารักเลย ตอนฉาย the force awakens ก็จะไปแย่งเวลาจากหนังเควนตินทั้งๆที่เค้าจองไปก่อนแล้ว ตอนนั้นเควนตินหัวร้อนด่าออกอากาศตอนไปสัมภาษณ์เลย