พูดถึงอารยธรรมโซนี่ปัจจุบัน ไลน์กล้อง alpha น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์ที่คนส่วนใหญ่นึกถึง ขณะที่สมาร์ทโฟนก็เป็นหนึ่งในความพยายามของโซนี่ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก และจุดด้อยหลัก ๆ ที่ผ่านมาก็คือเรื่องกล้อง

การกลับมาอีกครั้งของ Xperia 1 II โซนี่หมายมั่นปั้นมือมากกว่าจะมาแก้ตัวเรื่องกล้อง ในเมื่อทำ computational photography สู้เจ้าอื่นไม่ได้ โซนี่เลยตัดสินใจสู้ด้วยความแมนนวลและดึงเอาวิศวกรกล้อง alpha ที่เป็นจุดเด่นของตัวเองเข้ามาช่วยในการพัฒนา

ดีไซน์ของ Xperia 1 II ไม่แตกต่างจาก Xperia 1 เมื่อปีที่แล้ว ค่อนไปทางมินิมอล เรียบหรู ฝากหลังมันเงา ติดลายนิ้วมือง่ายมาก หน้าจอ OLED สัดส่วน 3840 x 1644 อัตราส่วน 21:9

ดีไซน์นี้และสัดส่วนหน้าจอแบบนี้ ส่วนตัวผมชอบมาก เพราะขนาดกำลังพอดีมือในแง่ความกว้าง สามารถเอื้อมนิ้วโป้งไปแตะอีกด้านของหน้าจอได้ไม่ยาก ถ้าจะมีปัญหาก็แค่การแตะพื้นที่ด้านบนของจอมากกว่า รวมถึงเหมาะกับการอ่านอะไรยาว ๆ มากกว่า ขณะที่สัดส่วน 21:9 ก็เป็นสัดส่วนเดียวกับโรงภาพยนตร์ ทำให้หนังหลายเรื่องบน Netflix ที่เรนเดอร์มาสัดส่วนนี้ สามารถแสดงผลได้โดยไม่มีขอบดำบนล่างรบกวน

ข้อด้อยใหญ่ ๆ เดียวที่พบคือเฟรมเรทจอแค่ 60Hz ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังอยู่ไม่น้อยด้วยราคาขนาดนี้

เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มล็อกหน้าจอด้านขวายังคงทำงานได้ดีเช่นเดิม ถาดใส่ซิมทางโซนี่ก็ยังคงเอกลักษณ์อย่างการแกะถาดออกมาได้โดยไม่ต้องใช้เข็มจิ้ม ลำโพงคู่ด้านหน้าก็ถือว่าค่อนข้างดี

การใช้งานในภาพรวมก็ตามสภาพเรือธง เร็ว ลื่น (ถ้าไม่นับจอ 60Hz ที่ตอนนี้ค่อนข้างชินกับจอ 90Hz หรือ 120Hz ไปแล้ว) การกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP65/68 แบตเตอรี่ 4,000mAh ที่ใช้งานได้ทั้งวัน และประสบการณ์แอนดรอยด์ของโซนี่ที่ค่อนข้างเพียว มีการปรับแต่งน้อยมาก

ส่วนตัวคิดว่าทั้งจุดเด่นและจุดด้อยหลัก ๆ ของ Xperia 1 II อยู่ที่กล้องเสียส่วนใหญ่ เพราะโซนี่ให้แอปกล้องมา 2 ตัวคือแอปกล้องธรรมดาพื้นฐาน และแอปกล้อง Camera Pro ซึ่งก็แอบวุ่นวายอยู่ไม่น้อยในการใช้งาน ควรทำแอปมาตัวเดียวเป็นโหมดโปรโดยดีฟอลต์ (ไหนๆ ก็จะขายทางนี้แล้ว) แล้วมีค่อยตัวเลือกโหมดออโต้ให้น่าจะง่ายกว่า

สำหรับแอปกล้องพื้นฐาน ที่พึ่งพาพลัง computational photography เป็นหลักยังค่อนข้างตามหลังเรือธงรุ่นอื่น ๆ อยู่ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะระยะเวลาในการเก็บภาพหลังกดชัตเตอร์ก็ค่อนข้างช้า (ยิ่งมืดยิ่งช้า) แต่ในภาพรวมก็ถือว่าไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้เด่นเช่นกัน

ขณะที่กล้องหน้าน่าจะเป็นข้อด้อยที่สุดเรื่องกล้องของ Xperia 1 II แล้ว เพราะภาพที่ได้ค่อนข้างฟุ้งและไม่คม (น่าจะเพราะใช้เซ็นเซอร์เล็กที่สุด)

ความโดดเด่นของกล้อง Xperia เลยอยู่ที่โหมดโปรเป็นหลัก ด้วย UI ที่ถอดมาจากกล้อง alpha สามารถปรับแต่งได้ทุกอย่างตามที่ตัวเองกล้อง ช่วยเพิ่มลูกเล่นในการถ่ายภาพได้มากกว่าการหวังพึ่งแค่โหมดออโต้ของกล้องมือถือทั่วไป อย่างการถ่าย burst mode ที่ 20fps ที่กล้องจะโฟกัสแบบให้ตลอดเวลา, ถ่ายภาพแบบเปิดสปีดชัตเตอร์, ปรับรูรับแสง, แมนนวลโฟกัส ฯลฯ

แต่หากถามว่าแตกต่างจากกล้องบางรุ่นที่มีโหมดโปรมาให้แค่ไหน ส่วนตัวคิดว่าไม่ต่างกันมาก จะดีกว่าก็แค่หน้า UI ที่ปรับหลาย ๆ อย่างได้ง่ายกว่า และฟีเจอร์บางส่วนที่เอามาจากกล้อง เช่น ตรวจจับใบหน้าอัตโนมัติ, เลือกจุดหรือพื้นที่โฟกัส, การเลือกออโต้โฟกัส (แบบ continuous หรือ single) เป็นต้น

โหมดโปรแบบแต่ง lightroom

โหมดออโต้

จาก Xperia 1 II

จาก Pixel 3

ซ้าย Xperia 1 II | ขวา Pixel 3

กล้องหน้า

กล้องหน้า

เช่นเดียวกับการถ่ายวิดีโอที่โซนี่ให้แอป Cinema Pro แยกมาให้ต่างหาก ที่ช่วยให้ตากล้องสามารถปรับแต่งหลาย ๆ ฟีเจอร์ได้ตามใจ อย่างไรก็ตามเมื่อลองให้ตากล้องที่คุ้นชิ้นกับการใช้ a7 mk III ถ่ายวิดีโอ กลับได้รับคำตอบว่า ถึงจะปรับได้เยอะจริง แต่ก็รู้สึกยังไม่คุ้นมือในการปรับแต่งหลาย ๆ อย่างเท่ากับกล้องใหญ่ คงต้องใช้งานถ่ายวิดีโอต่อเนื่องจริง ๆ ถึงจะดึงความสามารถของแอปนี้มาได้จริง ๆ

สรุป

Xperia 1 II ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ดี (decent) รุ่นหนึ่ง ได้รับการปรับปรุงให้ดีกว่ารุ่นเดิม (ยกเว้นรีเฟรชเรทจอ) ขณะที่กล้องแม้โหมดโปรจะเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ (ที่โซนี่พยายามขายด้วย) แต่มันก็ไม่ได้เด่นขนาดทำให้ Xperia 1 II ขึ้นมาอยู่บนแถวหน้าของกลุ่มสมาร์ทโฟนเรือธง และเมื่อพิจารณาว่าการใช้งานกล้องบนสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่น่าจะเน้นไปที่ความง่ายและรวดเร็วจาก computational photography จากกล้องพื้นฐานแล้ว โซนี่ก็ยังทำได้ไม่ค่อยดี

ยิ่งเมื่อพิจารณาราคาที่สูงกว่า 35,990 บาท แถมยังไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก ท่ามกลางตลาดสมาร์ทโฟนที่อิ่มตัวสุด ๆ แล้ว บวกด้วยพิษเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคกล้าจ่ายเงินเท่านี้น้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้ส่วนตัวคิดว่า Xperia 1 Ii น่าจะเป็นความพยายามเฮือกท้าย ๆ ของโซนี่สำหรับตลาดสมาร์ทโฟนแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็คงต้องรอดู Xperia 5 II ที่สเปคบนกระดาษใกล้เคียงกันโดยเฉพาะเรื่องกล้อง (แต่จอได้ 120Hz) แต่ราคาถูกกว่า ว่าจะสามารถดึงความสนใจผู้บริโภคไปได้มากน้อยแค่ไหน