Tags:
Node Thumbnail

Twitch แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งชั้นนำของโลก ดูเหมือนจะได้ผลประโยชน์จากช่วงที่คนอยู่บ้านเพราะโควิดแบบเต็มๆ เพราะหลังจากทำลายสถิติมียอดคนสตรีมเกมรวมกันกว่า 2 พันล้านชั่วโมง ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน และทำสถิติจำนวนชั่วโมงที่คนดูรวมกันในไตรมาสแรก ทะลุ 3 พันล้านชั่วโมง ล่าสุดก็ทำสถิติใหม่ทะลุ 5 พันล้านชั่วโมงไปแล้ว

Streamlabs บริษัทซอฟต์แวร์สตรีมมิ่งเจ้าดัง เปิดรายงานใหม่ว่า Twitch ทำลายสถิติเดิม มีจำนวนชั่วโมงคนดูรวมกัน เพิ่มขึ้นถึง 62.7% จากไตรมาสที่แล้ว เป็นกว่า 5 พันล้านชั่วโมงและเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว ถึง 83.1% ครองตำแหน่งผู้นำตลาดสตรีมมิ่ง มีส่วนแบ่งตลาดถึง 67.6%

No Description

ส่วนในด้านจำนวนชั่วโมงสตรีมบนแพลตฟอร์ม ก็เพิ่มขึ้นถึง 58.7% จาก 121.4 ล้านชั่วโมงในไตรมาสแรก เป็น 192.7 ชั่วโมงในไตรมาสที่สอง ส่วนจำนวนแชนแนลเพิ่มขึ้น 63.9% จาก 6.1 ล้าน เป็น 10 ล้านแชนแนล และยอดคนดูโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 63.4% เป็น 2.4 ล้านคน

No DescriptionNo Description

นอกจากนี้ Mixer แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของ Microsoft ที่เตรียมปิดตัวในวันที่ 22 กรกฎาคม ก็อาจทำให้ Twitch ได้ส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นอีกด้วย ส่วน YouTube Gaming Live ก็มียอดชั่วโมงที่มีคนดูรวมกันในไตรมาสที่สองของปี เพิ่มขึ้น 39.6% จากไตรมาสก่อน แตะที่ 1.5 พันล้านชั่วโมงแล้ว โดยเป็นผลจากการซื้อตัวสตรีมเมอร์ดังๆ อย่าง Jack “CouRage” Dunlop และ Rachell “Valkyrae” Hofstetter

ส่วนปัญหาที่ Twitch กำลังเผชิญในปัจจุบัน น่าจะเป็นเรื่องระบบการลบคอนเทนต์ผิดลิขสิทธิ์ ที่แจ้งผู้ใช้งานแค่เบื้องต้นเท่านั้น ที่เหลือเจ้าของแชนแนล ต้องไปตามหาวิดีโอนั้น และลบเอาเอง อีกประเด็นคือคุณภาพของชุมชนในแพลตฟอร์ม ที่มีทั้งปัญหาการคุกคามทางเพศ และการที่สตรีมเมอร์บางราย ใช้วาจาหยาบคาย หรือกลั่นแกล้งผู้ชมที่เป็นเด็ก

ปัญหาสุดท้ายอาจจะดูจริงจังที่สุด เพราะปัจจุบันแบรนด์ต่างๆ เริ่มตีตัวออกห่างจาก hate speech และประเด็นปัญหาทางสังคมมากขึ้น โดยล่าสุดมีแบรนด์ชั้นนำกว่า 400 แบรนด์ แห่บอยคอต ไม่ลงโฆษณาบน Facebook เนื่องจากปัญหาการจัดการข้อความเหยียดผิว และยั่วยุ ซึ่งปัญหาคล้ายคลึงกันในด้านการจัดการพฤติกรรม toxic ของสตรีมเมอร์และคนดู ก็อาจทำให้รายได้จากการโฆษณาของ Twitch ไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร แม้จำนวนชั่วโมงและยอดคนดูโดยรวมจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

ที่มา - TechCrunch, Streamlabs

Get latest news from Blognone