สงครามชิงความเป็นเจ้าโลก AI ชัดเจนว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน แต่สิงคโปร์ก็พยายามสอดแทรกตัวเข้ามาในเกมนี้เช่นกัน ด้วยการชูนโยบาย "พื้นที่เป็นกลาง" ไม่เลือกข้างจีนหรือสหรัฐ เพื่อดึงดูดให้บริษัท AI ต่างชาติเข้ามาเปิดสำนักงาน
รัฐบาลสิงคโปร์ยังประกาศทุ่มเงิน 500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท) ในเทคโนโลยีด้าน AI และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นที่เกี่ยวข้อง และมีนโยบายดึงดูดบริษัท AI จากอเมริกาและจีนมาเปิดศูนย์วิจัยในสิงคโปร์
ปัจจุบันนโยบายนี้ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อย ตัวอย่างบริษัทที่มาเปิดศูนย์วิจัยด้าน AI ในสิงคโปร์มีทั้ง Alibaba, Salesforce, Element AI สตาร์ตอัพแคนาดาที่กองทุน GIC ของสิงคโปร์ไปลงทุนเอาไว้ รวมถึงศูนย์วิจัย AI ของมหาวิทยาลัยสิงคโปร์เองด้วย
รัฐมนตรีกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสิงคโปร์ S. Iswaran ก็ออกเดินสายพูดตามเวทีงานเสวนาด้าน AI ระดับโลกด้วย เช่น เวทีของ World Economic Forum หรือ Bloomberg
ที่มา - Bloomberg, ภาพจาก Getty Images
Comments
เสียดายที่ไม่เป็น ญีปุ่นด้วย เข้าใจว่าตอนนี้ญี่ปุ่นขาดแคลน it อย่างหนัก รอว่าเมื่อไรจะกลับมา
ญี่ปุ่นเก่งด้านหุ่นยนต์เป็นเบอร์ต้นๆ ของโลกนะครับ แต่ไม่รู้ยังไงด้านซอฟต์แวร์ ถึงยังดูเหมือนพัฒนาไม่ค่อยทันชาติอื่น ถ้าญี่ปุ่นเก่งทั้ง Hardware และซอฟต์แวร์ AI คงได้เห็นกันดั้มกันในเร็ววัน
ผมว่าปัญหาเรื่องชาตินิยม, มาตรฐานที่มใช้งานต่างกับประเทศอื่น กับทุนในการพัฒนามากกว่า
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าสิงคโปร์มีดีอะไรบริษัทยุโรปส่วนใหญ่ไปตั้งHead Office SEA ที่นั่นเพราะค่าแรงค่าเช่าที่ค่าเดินทางแพงกว่าไทยมากๆ ตอนนี้พอจะเข้าใจละว่ารัฐบาลเขาช่วยอย่างเต็มที่ที่จะดึงนักลงทุนเหล่านี้มา
ประเทศเขาเล็ก แถมไม่ต้องแบ่งงบไปสำรองเพื่อใช้ตอนเกิดภัยธรรมชาติหลายอย่าง เช่นแล้งหรือน้ำท่วม จะมีเหลือก็คงไม่กี่อย่างและเขาคงไม่โดนซึนามิด้วย จะมีก็คงน้ำทะเลสูงขึ้นกับน้ำรอการระบายเวลาฝนตกหนักถ้ามีนะ หรือต้องช่วยตอนผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำนะครับ จริงๆคือไม่ค่อยมีพื้นที่นั่นล่ะเลยต้องเน้นไปทางเทคโนโลยีแทนได้ง่าย เพราะคนส่วนมากก็เป็นกลุ่มค้าขาย กับอุตสาหกรรมมั้ง
พิมพ์ยาว เดาล้วนๆ พวกพื้นพักที่ปลูกคงปลูกปบบคอนโดแต่ก็คงผลิตได้น้อยอยู่ดี